การบรรยาย ครั้งที่ ๓ นางสาวอินทิรา ฉิวรัมย์ รองอธิบดีผู้พพิ ากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง กรณี ทางแก้ของจาเลยที่ขาดนัดยืน่ คาให้การ แล้วจะมีทางแก้อย่างไร มีทางแก้ ๒ ทาง คือ ๑.
Download ReportTranscript การบรรยาย ครั้งที่ ๓ นางสาวอินทิรา ฉิวรัมย์ รองอธิบดีผู้พพิ ากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง กรณี ทางแก้ของจาเลยที่ขาดนัดยืน่ คาให้การ แล้วจะมีทางแก้อย่างไร มีทางแก้ ๒ ทาง คือ ๑.
การบรรยาย ครั้งที่ ๓ นางสาวอินทิรา ฉิวรัมย์ รองอธิบดีผู้พพิ ากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง กรณี ทางแก้ของจาเลยที่ขาดนัดยืน่ คาให้การ แล้วจะมีทางแก้อย่างไร มีทางแก้ ๒ ทาง คือ ๑. ก่อนที่ศาลพิพากษา ถ้าก่อนศาลพิพากษา จาเลยก็ตอ้ งยืน่ คาขออนุญาตยืน่ คาให้การ ๒. หลังจากศาลพิพากษาแล้วศาลพิพากษา ให้ จ าเลยที่ ข าดนั ด ยื่ น ค าให้ ก ารแพ้ค ดี แล้ว จะ แก้อย่างไร หั ว ข้ อ ที่ ๒ เ มื่ อ จ า เ ล ย ข า ด นั ด ยื่นคาให้การแล้วศาลพิพากษาให้จาเลยแพ้คดี จ าเลยจะแก้ ไ ขอย่ า งไร กรณี นี้ เป็ นเรื่ อง ของการขอพิจารณาคดีใหม่ กฎหมายจึงได้บญั ญัติทางแก้ให้แก่จาเลยที่ มิ ได้จงใจขาดนัดยื่นคาให้การ และมาทราบว่า ถูกฟ้ องหลังจากศาลพิพากษาให้แพ้คดี แล้วโดย ให้มีสิทธิ ขอให้พิจารณาคดี ใหม่ตามหลักเกณฑ์ ในประมวลกฎหมายวิ ธี พิ จ ารณาความแพ่ ง มาตรา ๑๙๙ ตรี มาตรา ๑๙๙ จั ต วา และ มาตรา ๑๙๙ เบญจ ซึ่ ง มี ห ลัก การเช่ น เดี ย วกับ การขอให้พิจารณาคดีใหม่กรณี ขาดนัดพิจารณา การพิจารณาคดี ใหม่เนื่ องจาก จาเลยขาดนัดยื่นคาให้การนี้ สามารถ แบ่งเป็ น ๔ หัวข้อดังต่อไปนี้ หัวข้อที่ ๑ หลักเกณฑ์การขอให้พิจารณาคดีใหม่ มาตรา ๑๙๙ ตรี บั ญ ญั ติ ว่ า จ าเลยซึ่ ง ศาลมี คาพิพากษาหรื อคาสั่ งชี้ขาดให้ แพ้ คดีโดยขาดนัดยื่น คาให้ การ ถ้ ามิได้ ยนื่ อุทธรณ์ คาพิพากษาหรือคาสั่ งนั้น จาเลยนั้นอาจมีคาขอให้ พจิ ารณาคดีใหม่ ได้ เว้นแต่ ๑. ศาลเคยมี ค าสั่ ง ให้ พิ จ ารณาคดี น้ั น ใหม่ ม า ครั้งหนึ่งแล้ว ๒. คาขอให้ พิจารณาคดีใหม่ น้ั นต้ องห้ า มตาม กฎหมาย จากบทบัญญัติมาตรา ๑๙๙ ตรี สามารถ แบ่งแยกหลักเกณฑ์ออกได้ ๕ ประการ คือ ประการที่ ๑ จ าเลยที่ จ ะขอพิ จ ารณาคดี ใหม่ ต้อ ง เป็ นจ าเลยที่ แ พ้ค ดี โ ดยขาดนั ด ยื่ น คาให้การหมายความว่าต้องเป็ นจาเลยที่ แพ้คดี เท่านั้น ถ้าขาดนัดยื่นคาให้การแต่ศาลพิพากษา ยกฟ้ องโจทก์ จาเลยจะขอพิจารณาคดี ใหม่ตาม มาตรานี้ไม่ได้ หลัก เกณฑ์ป ระการที่ ๒ จ าเลยต้อ งไม่ ยืน่ อุทธรณ์คดั ค้านคาพิพากษาหรื อคาสั่งที่ให้ตน แพ้คดี เหตุผลก็คือว่า ให้จาเลยเลื อกเอาทางใด ทางหนึ่ งจะขอพิ จ ารณาคดี ใ หม่ ห รื ออุ ท ธรณ์ คัดค้านคาพิพากษาศาลชั้นต้น มิ ฉะนั้นแล้วจะ กลายเป็ นว่าเรื่ องเดียวได้รับการวินิจฉัยสองศาล ในเวลาเดียวกันและต่างชั้นกัน หลักเกณฑ์ประการที่ ๓ คาขอต้องอ้างเหตุว่า การขาดนั ด มิ ไ ด้ เ ป็ นไปโดยจงใจหรื อมี เ หตุ อัน สมควร ได้ บ ัญ ญัติ อ ยู่ ใ นมาตรา ๑๙๙ เบญจ วรรคสอง โดยเขียนหลักเกณฑ์ในกรณี ที่จะอนุ ญาต ให้พิ จ ารณาคดี ใ หม่ ว่า การขาดนัด ของจ าเลยนั้น จะต้อ งเป็ นไปโดยไม่ จ งใจหรื อ มี เ หตุ อ ัน สมควร ถ้าจงใจหรื อไม่มีเหตุอนั สมควรศาลก็ตอ้ งยกคาร้อง ค าพิ พ ากษาฎี ก าที่ ถื อ ว่ า จ าเลยจงใจขาดนั ด ยื่ น คาให้การคือ คาพิพากษาฎีกาที่ ๔๓๔๐/๒๕๔๕ คาพิพากษาฎีกาที่ ๔๖๒๖/๒๕๓๐ คาพิพากษาฎีกาที่ ๒๘๘๘/๒๕๓๑ คาพิพากษาฎีกาที่ ๗๕๒๗/๒๕๔๑ คาพิพากษาฎีกาที่ ๗๐๔๐/๒๕๔๓ คาพิพากษาฎีกาที่ ๒๒๔๖/๒๕๒๑ คาพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๑๓/๒๕๒๒ คาพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๒๑/๒๕๓๕ คาพิพากษาฎีกาที่ ๘๔๔/๒๕๓๖ คาพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๑๖/๒๕๔๕ มี ค าพิ พ ากษาฎี ก าที่ เ ป็ นกรณี ที่ ถื อ ว่า มี เหตุอนั สมควรที่จะให้พิจารณาคดีใหม่ได้คือ ค า พิ พ า ก ษ า ฎี ก า ที่ ๔ ๖ ๘ / ๒ ๕ ๓ ๙ เข้า หลัก เกณฑ์ไ ม่ ไ ด้จ งใจหรื อ มี เ หตุ ส มควร อย่างใดอย่างหนึ่งก็พอแล้ว หลักประการที่ ๔ เหตุ ผลที่ อา้ งมาในค าขอนั้น ต้องได้ความว่า ผูข้ ออาจมีทางชนะคดีได้หลักข้อนี้ อยู่ ในมาตรา ๑๙๙ เบญจ วรรคสอง เช่ น เดี ย วกัน โดย มาตรา ๑๙๙ เบญจ วรรคสอง บัญญัติวา่ ในการพิจารณา ค าขอให้ พิ จ ารณาคดี ใ หม่ ถ้า มี เ หตุ ค วรเชื่ อ ว่ า การ ขาดนัดยื่นคาให้การนั้นมิได้เป็ นไปโดยจงใจหรื อมีเหตุ อันสมควรและศาลเห็นว่ าเหตุผลที่อ้างมาในคาขอนั้น ผู้ขออาจมีทางชนะคดีได้ คาพิพากษาฎีกาที่ ๑๙๖๒/๒๕๒๕ ต่ อ ไปเป็ นหลักประการที่ ๕ จาเลยที่ ข อ พิ จ า ร ณ า ค ดี ใ ห ม่ จ ะ ต้ อ ง มิ ใ ช่ จ า เ ล ย ต า ม มาตรา ๑๙๙ ตรี (๑) หรื อ (๒) หัวข้อย่อย คือ ๕.๑ กรณี ตามมาตรา ๑๙๙ ตรี (๑) ๕.๒ กรณี ตามมาตรา ๑๙๙ ตรี (๒) มี ๒ กรณี คือ กรณี ที่ ๑ จาเลยขาดนัดยื่นคาให้การและ มาศาลก่อนศาลวินิจฉัยชี้ขาดคดี และแจ้งต่อศาล ในโอกาสแรกว่ า ตนประสงค์ จ ะต่ อ สู้ ค ดี ขออนุ ญ าตยื่ น ค าให้ ก าร ศาลเห็ น ว่ า จ าเลย ไม่ จ งใจขาดนั ด ก็ อ นุ ญ าตแต่ จ าเลยก็ ข าดนั ด ยื่ น ค าให้ ก ารอี ก เป็ นครั้ งที่ ส อง จ าเลยจะขอ อนุ ญาตยื่นคาให้การตามมาตรา ๑๙๙ วรรคหนึ่ ง อีกไม่ได้ กรณี ที่ ๒ เป็ นจ าเลยประเภทที่ ศ าลไม่ อนุญาตให้ยนื่ คาให้การตามมาตรา ๑๙๙ วรรคสอง มาแล้ว คือจาเลยที่มิได้แจ้งต่อศาลในโอกาสแรก ที่ ม าศาลว่ า ประสงค์จ ะสู้ ค ดี ห รื อ จ าเลยที่ ศ าล ไม่ อ นุ ญ าตเพราะเห็ น ว่ า จงใจขาดนัด หรื อ ไม่ มี เหตุ สมควร จาเลยนี้ จะขออนุ ญาตยื่นคาให้การ ตามมาตรา ๑๙๙ วรรคหนึ่งอีกไม่ได้ ข้ อ สั ง เกตในการขอพิ จ ารณาคดี ใ หม่ มีท้ งั หมด ๕ ประการ ประการที่ ๑ คาขอพิจ ารณาคดี ใหม่ ตาม มาตรา ๑๙๙ ตรี ถือว่าเป็ นคาฟ้ อง คาพิพากษาฎีกาที่ ๘๒๑/๒๕๑๑ ถ้าหากศาลมี คาสั่งยกคาร้ องขอพิจารณา คดี ใหม่จาเลยอุทธรณ์คาสั่งระหว่างนี้ ถ้าจาเลย มายื่ น ค าร้ อ งขอให้ พิ จ ารณาคดี ใ หม่ อี ก เป็ น ฉบับที่ ๒ ก็ตอ้ งเป็ นฟ้ องซ้อนเพราะถือว่าคาขอ พิจารณาคดีใหม่เดิมนั้นอยูร่ ะหว่างอุทธรณ์จึงยัง ไม่ถึงที่สุด คาพิพากษาฎีกาที่ ๗๖๐๓/๒๕๔๘ ประการที่ ๒ คาขอให้พิจารณาคดีใหม่น้ นั ต้ อ งยื่ น ต่ อ ศาลชั้ นต้ น ที่ ตั ด สิ นคดี นั้ นตาม มาตรา ๗ (๑) จะยื่ น ขอต่ อ ศาลอุ ท ธรณ์ ห รื อ ศาลฎี การวมมากั บ อุ ท ธรณ์ ฎี กาที่ ค ั ด ค้ า น คาพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ได้ คาพิพากษาฎีกาที่ ๗๖/๒๕๒๓ คาพิพากษาฎีกาที่ ๖๑๑๔/๒๕๓๘ ประการที่ ๓ ค าขอให้พิ จ ารณาคดี ใ หม่ ไม่ใช่ สิทธิ เฉพาะตัว หากจาเลยถึงแก่ความตาย ไปก่อน ทายาทสามารถร้ องขอให้พิจารณาคดี ใหม่ได้ คาพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๙๐/๒๕๓๖ คดีน้ ี เป็ นคดีที่เกี่ ยวกับทรัพย์สินไม่ใช่คดีที่สิทธิ เฉพาะตัวของผูต้ าย ถ้าเป็ นเรื่ อ งสิ ทธิ เ ฉพาะตั ว ของ ผู ้ต ายก็ ต ้ อ งจบไปพร้ อ มกั บ ความตายของจ าเลย แต่ เรื่ องนี้ เป็ นเรื่ องทรั พย์สินซึ่ งตกทอดแก่ ทายาทได้ เพราะฉะนั้ นทายาทของจ าเลยก็ ม ายื่ น ค าร้ อ งขอ พิจารณาคดี ใหม่ได้ แต่ก่อนจะยื่นคาร้ องขอพิจารณา คดีใหม่ก็ตอ้ งยืน่ คาร้องขอเข้าเป็ นผูร้ ับมรดกความตาม มาตรา ๔๒ และ ๔๓ ก่อน เมื่ อศาลอนุ ญาตแล้วก็มา ร้องขอพิจารณาคดีใหม่ ประการที่ ๔ คาขอให้พิจารณาคดีใหม่เป็ น กิ จ การที่ ต้อ งระบุ ไ ว้เ ป็ นพิ เ ศษตามมาตรา ๖๒ เพราะฉะนั้ นในใบแต่ ง ทนายจะต้อ งระบุ ใ ห้ อานาจทนายความที่ จะยื่นคาขอให้พิจารณาคดี ใหม่ ไ ว้ด้ว ย ถ้า ใบแต่ ง ทนายความไม่ ไ ด้ใ ห้ อานาจไว้ถือว่าคาร้องไม่ชอบ คาพิพากษาฎีกาที่ ๓๗๕๐/๒๕๓๓ ประการที่ ๕ การสั่งคาร้องขอพิจารณา คดีใหม่ไม่ถือว่าเป็ นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาท แห่ งคดี ผู ้ พิ พ ากษาคนเดี ยวสั่ ง ได้ ต าม พระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๒๔ (๒) คาพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๕๒/๒๕๒๔ ต่ อ ไ ป เ ป็ น หั ว ข้ อ ที่ ๒ เ กี่ ย ว กั บ ก าหนดเวลายื่ น ค าขอให้ พิ จ ารณาคดี ใ หม่ กฎหมายบั ญ ญั ติ ใ ห้ เ ป็ นไปตามประมวล กฎหมายวิธี พิ จ ารณาความแพ่ง มาตรา ๑๙๙ จัตวา วรรคหนึ่ง ตามบทบั ญ ญั ติ ด ั ง กล่ า วแบ่ ง ก าหนด เวลาในการยื่นคาขอพิจารณาคดี ใหม่ ได้เป็ น ๒ กรณี คือ ๑. กาหนดเวลาตามปกติ ๒. กาหนดเวลาที่มีพฤติการณ์นอกเหนื อ ไม่อาจบังคับได้ ส าหรั บ ก าหนดเวลาตามข้อ ๑ ที่ ว่า เป็ น กาหนดเวลาตามปกติน้ นั ยังแบ่งได้เป็ น ๒ กรณี คื อ ต้ อ งยื่ น ภายใน ๑๕ วัน นั บ จากวัน ที่ ส่ ง ค าบัง คับ ให้ แ ก่ จ าเลยที่ ข าดนั ด ยื่ น ค าให้ ก าร หมายความว่า การส่ ง ค าบัง คับ ให้จ าเลยมี ผ ล เมื่ อ ใดก็ ใ ห้ นั บ ไป ๑๕ วัน จ าเลยจะต้อ งยื่ น คาขอให้พิจารณาคดีใหม่ มีข้อสั งเกตดังนี้ ๑. ระยะเวลา ๑๕ วัน ตามมาตรา ๑๙๙ จัตวา วรรคหนึ่ง จะเริ่ มนับต่อเมื่อการส่ งคาบังคับนั้นเป็ น การส่ งโดยชอบด้วยกฎหมาย ถ้าการส่ งคาบังคับ เป็ นไปโดยไม่ ช อบด้ ว ยกฎหมาย ระยะเวลา ๑๕ วัน ยัง ไม่ เ ริ่ มนั บ เป็ นไปโดยไม่ ช อบด้ว ย กฎหมายก็เปรี ยบเสมื อนกับไม่มีการส่ งคาบังคับ เพราะฉะนั้นระยะเวลายังไม่เริ่ มนับ ข้อสังเกตที่ ๒ ถ้ายังไม่มีการส่ งคาบังคับ เลย กาหนดเวลา ๑๕ วันยังไม่เริ่ มนับ จาเลยมี สิ ทธิพิจารณาคดีใหม่เมื่อใดก็ได้ คาพิพากษาฎีกาที่ ๔๕๗๑/๒๕๓๖ คาพิพากษาฎีกาที่ ๕๖๙๘/๒๕๔๑ ข้อสังเกตข้อที่ ๓ คือกาหนดเวลา ๑๕ วัน นับ แต่ ว นั ส่ ง ค าบัง คับ จะน าระยะเวลาที่ ต้อ ง ปฏิบตั ิตามคาบังคับมารวมด้วยไม่ได้ คาพิพากษาฎีกาที่ ๒๘๑๒/๒๕๓๖ คาพิพากษาฎีกาที่ ๗๔๔๔/๒๕๔๒ ข้อสังเกตข้อที่ ๔ ถ้ามีจาเลยหลายคนต้อง แยกพิ จ ารณาจ าเลยแต่ ล ะคน เพราะการส่ ง คาบังคับให้จาเลยแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน กรณี ที่สอง (๑.๒) ต้องยืน่ ภายใน ๑๕ วัน นับ แต่ ร ะยะเวลาที่ ศ าลก าหนดเพื่ อ ให้ ก ารส่ ง ค าบัง คับ นั้น มี ผ ล ข้อ นี้ ในทางปฏิ บ ัติ แ ทบจะ ไม่ เ คยพบ (เป็ นเรื่ อ งที่ ศ าลต้อ งก าหนดไว้เ ป็ น พิเศษนอกเหนือจาก มาตรา ๗๙ เช่น จาเลยไป ท างานในเรื อ ประมงนาน ๆ จะกลับ มาบ้า น สั ก ครั้ ง ศาลอาจสั่ ง ให้ ปิ ดค าบั ง คั บ ไว้ ที่ บ้า นก านัน ผู้ใ หญ่ มี ก าหนด ๓๐ / ๕๐ วัน ก่อนการส่ งคาบังคับมี ผล (ต้องให้ระยะเวลา นั้นล่วงพ้นไปก่อนแล้วจึงสามารถยืน่ ได้ภายใน ๑๕ วัน) คาพิพากษาฎีกาที่ ๒๑๕๒/๒๕๓๖ ข้อสังเกตข้อที่ ๔ ถ้ามีจาเลยหลายคนต้อง แยกพิ จ ารณาจ าเลยแต่ ล ะคน เพราะการส่ ง คาบังคับให้จาเลยแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน คาพิพากษาฎีกาที่ ๒๑๕๒/๒๕๓๖ ๒. กาหนดเวลาที่มีพฤติการณ์นอกเหนื อ ไม่ อ าจบัง คับ ได้ ที่ ว่ า พฤติ ก ารณ์ น อกเหนื อ ไม่ อ าจบัง คับ ได้น้ ัน หมายถึ ง เหตุ ใ ด ๆ ที่ ท าให้ จ าเลยที่ ข าดนั ด ยื่ น ค าให้ ก ารไม่ ส ามารถยื่ น ค าขอให้ พิ จ ารณาคดี ไ ด้ ท ั น ภายในก าหนด กฎหมายจึ งได้กาหนดเวลาให้สิทธิ แก่จาเลยใน การยื่นคาขอให้พิจารณาคดี ใหม่เป็ นกรณี พิเศษ แยกได้เป็ นสองกรณี คือ ๒.๑ ภายใน ๑๕ วัน นับแต่วนั ที่พฤติการณ์ นอกเหนือไม่อาจบังคับได้น้ นั สิ้ นสุ ดลง ๒.๒ หรื ออย่างช้าที่สุดต้องไม่เกิน ๖ เดือน นับ แต่ ว นั ที่ ไ ด้ยึด ทรั พ ย์ห รื อ ได้มี ก ารบัง คับ ตาม คาพิพากษาหรื อคาสัง่ โดยวิธีอื่น คาว่าพฤติ การณ์นอกเหนื อไม่อาจบังคับได้ นั้นสามารถยกตัวอย่างได้ เช่น ๑. จาเลยไม่ทราบว่าถูกฟ้ อง กรณี ที่จาเลยถูก ฟ้ องแล้วแต่จาเลยไม่ทราบเลย เพราะว่าไม่อยูบ่ า้ น จาเลยไม่ทราบว่าถูกฟ้ องเป็ นพฤติการณ์นอกเหนื อ ไม่อาจบังคับได้ อาจเนื่ องมาจากจาเลยเดินทางไป ต่างประเทศ หรื อการส่ งคาบังคับไปยังภูมิลาเนาที่ ไม่ใช่ที่อยูท่ ี่แท้จริ งของจาเลย คาพิพากษาฎีกาที่ ๔๒/๒๕๐๖ คาพิพากษาฎีกาที่ ๗๓๓๑/๒๕๔๐ ๒. ความเจ็บป่ วยของจาเลยเป็ นพฤติการณ์ นอกเหนือที่ไม่อาจบังคับได้เช่นเดียวกัน คาพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๒๘/๒๕๑๙ ๓. เจ้าหน้าที่ศาลถ่ายเอกสารในสานวนให้จาเลย ล่าช้าเกินไป ทาให้จาเลยตรวจคาฟ้ องและคาพิพากษา ไม่ทนั ถือว่าเป็ นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ คาพิพากษาฎีกาที่ ๑๖๓๓/๒๕๓๒ การเดินทางไปต่างจังหวัดไม่ถือว่าเป็ นพฤติการณ์ นอกเหนื อที่ไม่อาจบังคับได้ เพราะว่าเป็ นธุ ระส่ วนตัว ของจาเลยเอง คาพิพากษาฎีกาที่ ๔๖๘๔/๒๕๔๑ น อ ก จ า ก นี้ ยั ง มี ข้ อ สั ง เ ก ต ที่ เ กี่ ย ว กั บ พฤติการณ์นอกเหนื อไม่อาจบังคับได้อีกหลายข้อ เช่ น พฤติ ก ารณ์ น อกเหนื อ ไม่ อ าจบัง คับ ได้น้ ัน จะต้ องไม่ ได้ เกิดขึน้ เพราะความผิดของจาเลย เอง หากเป็ นความผิ ด ของจ าเลยก็ จ ะยื่น ขอให้ พิจารณาคดีใหม่เกิน ๑๕ วัน นับแต่วนั ส่ งคาบังคับ ไม่ได้ คาพิพากษาฎีกาที่ ๕๐๕๐/๒๕๓๙ ข้อ สั ง เกตอี ก ข้อ หนึ่ ง ก็ คื อ พฤติ ก ารณ์ น อกเหนื อ ไม่ อ าจบัง คับ ได้จ ะต้อ งสิ้ น สุ ด ลงเมื่ อ พ้น ก าหนดเวลา ขั้น ตอนที่ ๑ แล้ว และจ าเลยไม่ ส ามารถยื่ น ค าขอให้ พิ จ ารณาใหม่ ไ ด้ต ามปกติ หากพฤติ ก ารณ์ น อกเหนื อ ดังกล่าวสิ้ นสุ ดลงก่อนกาหนดเวลาในขั้นตอนที่ ๑ จาเลย ก็ตอ้ งยื่นคาขอตามปกติคือภายใน ๑๕ วัน นับแต่วนั ส่ ง คาบังคับ ถ้าเวลาเหลื อน้อยเกิ นไปไม่ เพียงพอจาเลยก็ ต้องยืน่ คาขอขยายระยะเวลายืน่ คาขอพิจารณาคดีใหม่ คาพิพากษาฎีกาที่ ๖๓๘๒/๒๕๓๙ จาเลยต้องบรรยายให้ชดั เจนว่าพฤติการณ์ นอกเหนื อ ไม่ อ าจบัง คับ ได้เ กิ ด ขึ้ น เมื่ อ ใดและ สิ้ นสุ ดลงเมื่ อใด เพื่อให้เห็ นว่าจาเลยยื่นคาขอ ภายในกาหนด ๑๕ วัน นับแต่พฤติการณ์น้ ันได้ สิ้ น สุ ดลงหรื อไม่ ถ้ า ไม่ บ รรยายถื อ ว่ า เป็ น คาขอให้พิจารณาคดีใหม่ที่ไม่ชอบ มีตัวอย่ าง คาพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๑๗/๒๕๔๗ ๒.๒ อย่า งช้า ที่ สุ ด ต้อ งไม่ เ กิ น ๖ เดื อ น นับแต่วนั ที่ได้ยึดทรั พย์หรื อได้มีการบังคับตาม ค าพิ พ ากษาหรื อค าสั่ ง โดยวิ ธี อื่ น ที่ ผ่ า นมา เป็ นเรื่ อง ๒.๑ ก็คือกาหนดเวลาปกติ จะต้องยื่น ค าขอพิ จ ารณาคดี ใ หม่ ภ ายใน ๑๕ วัน นับ แต่ วัน ที่ พฤติ การณ์ น อกเหนื อ ไม่ อ าจบังคับ ได้น้ ัน สิ้ นสุ ดลง มาตรา ๑๙๙ จัต วา วรรคหนึ่ งที่ ต อนท้า ย บัญญัติวา่ แต่ กรณีจะเป็ นอย่ างไรก็ตามห้ ามมิให้ ยื่น คาขอเช่ นว่ านี้เมื่อพ้ นกาหนด ๖ เดือน นับแต่ วันที่ ได้ ยึดทรั พย์ หรื อได้ มีการบังคับตามคาพิพากษา หรือคาสั่ งโดยวิธีอื่น หมายความว่าจาเลยจะขอให้ พิ จ ารณาคดี ใ หม่ ไ ด้อ ย่ า งช้า ที่ สุ ด ต้อ งขอภายใน ๖ เดือน นับแต่วนั ที่ถูกยึดทรัพย์หรื อได้มีการบังคับ ตามคาพิพากษาหรื อคาสั่งโดยวิธีอื่นหากพ้นเวลา ดังกล่าวจาเลยหมดสิ ทธิ คาพิพากษาฎีกาที่ ๓๑๕๓/๒๕๓๓ ค าพิ พ ากษาฎี ก านี้ หมายความว่ า ถ้า ส่ ง คาบังคับโดยชอบมีการยึดทรัพย์ มีการบังคับคดี ตามคาพิพากษาเรี ยบร้อยเกิน ๖ เดือนแล้วไม่วา่ จะ เป็ นพฤติการณ์นอกเหนื อไม่อาจบังคับได้อย่างไร ก็ต ามถ้า เกิ น ๖ เดื อ นแล้ว ถื อ ว่า คดี สิ้ น สุ ด จะมา ยืน่ คาร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ไม่ได้เด็ดขาด ๑. ต้ อ งมี พ ฤติ ก ารณ์ น อกเหนื อ ไม่ อ าจ บังคับได้ ทาให้ไม่อาจยืน่ คาขอได้ภายใน ๑๕ วัน นั บ จากวัน ที่ ไ ด้ ส่ ง ค าบัง คับ ให้ แ ก่ จ าเลยตาม ขั้ นตอนที่ ๑ ถ้ า จ าเลยสามารถยื่ น ค าขอใน ก าหนดเวลาตามขั้น ตอนที่ ๑ จ าเลยก็ ต้อ งยื่ น จะรอให้มีการยึดทรัพย์แล้วค่อยมายื่น โดยอาศัย กาหนด ๖ เดือนนี้ไม่ได้ คาพิพากษาฎีกาที่ ๓๕๒๖/๒๕๓๒ ๓. ผูท้ ี่จะใช้สิทธิกรณี ๖ เดือนนี้จะต้องเป็ น จ า เ ล ย ที่ ถู ก ยึ ด ท รั พ ย์ ห รื อ ไ ด้ มี ก า ร บั ง คั บ ตามค าพิ พ ากษาหรื อค าสั่ ง โดยวิ ธี อื่ น เท่ า นั้ น ไม่รวมถึ งจาเลยคนอื่ น ๆ ในคดี เดี ยวกันที่ ไม่ถูก ยึด ทรั พ ย์ห รื อ บัง คับ ตามค าพิ พ ากษาหรื อ ค าสั่ง โดยวิธีอื่นด้วย คาพิพากษาฎีกาที่ ๒๑๕๒/๒๕๓๖ ๔. ในกรณี ที่มีการบังคับตามคาพิพากษา โดยวิธีอื่นที่ไม่มีการบังคับคดีโดยการยึดทรัพย์ เช่ น ค าพิ พ ากษาที่ บ ั ง คั บ ให้ จ าเลยโอน กรรมสิ ทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบตั ิตาม ให้ ถื อ เอาค าพิ พ ากษาแทนการแสดงเจตนา แทนจาเลย โจทก์จึงสามารถบังคับคดีโดยการ น าค าพิ พ ากษาไปแสดงต่ อ เจ้า พนัก งานที่ ดิ น เพื่ อ จดทะเบี ย นโอนกรรมสิ ท ธิ์ ที่ ดิ น ให้ แ ก่ โจทก์ได้ ดังนั้น กาหนดเวลา ๖ เดือน จึงให้ นับตั้งแต่วนั ที่โจทก์นาคาพิพากษาไปแสดงต่อ เจ้าพนักงานที่ ดินเพื่อดาเนิ นการเปลี่ ยนแปลง ทางทะเบียน คาพิพากษาฎีกาที่ ๔๑๖๕/๒๕๓๖ คาพิพากษาฎีกาที่ ๒๔๓๓/๒๕๒๓ คาพิพากษาฎีกาที่ ๔๑๖๕/๒๕๓๖ คาพิพากษาฎีกาที่ ๑๓๓๐/๒๕๓๘ ๕. ในคดี ที่ มีจ าเลยหลายคนก็ให้พิจ ารณา เ ป็ น ร า ย บุ ค ค ล ไ ป ต า ม ค า พิ พ า ก ษ า ฎี ก า ที่ ๒๑๕๒/๒๕๓๖ คาพิพากษาฎีกาที่ ๒๔๓๓/๒๕๒๓ คาพิพากษาฎีกาที่ ๘๔๓/๒๕๓๙ หั วข้ อที่ ๓ แบบของคาขอให้ พิจารณา คดี ใ หม่ กฎหมายบัญ ญัติ เ รื่ องแบบค าขอให้ พิ จ า ร ณ า ค ดี ใ ห ม่ ไ ว้ ใ น ป ร ะ ม ว ล ก ฎ ห ม า ย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๙๙ จัตวา วรรคสอง กาหนดแบบมีหลักเกณฑ์ดงั ต่อไปนี้ ๑. ต้องระบุเหตุที่จาเลยขาดนัดยื่นคาให้ การโดย ชัดแจ้ง ๒. ต้อ งมี ข ้อ คัด ค้า นค าตัด สิ น ชี้ ขาดของศาลที่ แสดงให้เห็นว่าหากศาลพิจารณาคดีใหม่แล้วตนอาจเป็ น ฝ่ ายชนะคดี ๓. ในกรณี ยื่นคาขอล่าช้าต้องแสดงเหตุแห่ งการ ล่าช้านั้นด้วย คาพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๕๙๕/๒๕๒๙ สาหรับกรณี ที่ยื่นคาขอล่าช้าตามหลักเกณฑ์ ข้อ ๓ นั้น หมายถึ ง จ าเลยยื่น ค าขอเกิ น ๑๕ วัน นับจากวันที่ ได้มีการส่ งคาบังคับตามคาพิพากษา หรื อค าสั่ ง ให้ แ ก่ จ าเลยเพราะมี พฤติ การณ์ นอกเหนื อไม่อาจบังคับได้ คาขอจึ งต้องบรรยาย ถึงเหตุแห่งการล่าช้า ดังนี้ หลักเกณฑ์ท้ งั ๓ ข้อ ดังกล่าวแยกอธิ บายได้ ๑. เหตุ ที่จาเลยขาดนัดยื่นคาให้การ คาขอ ของจาเลยต้องบรรยายให้เห็นว่าเหตุใดจาเลยจึงไม่ ยื่นคาให้การภายในกาหนด สาเหตุดงั กล่าวเป็ น เหตุผลอยูใ่ นตัวว่าจาเลยจงใจขาดนัดยื่นคาให้การ หรื อมีเหตุผลอันสมควรหรื อไม่ เช่น ก. อ้ า งว่ า จ าเลยย้า ยไปอยู่ ที่ อื่ น แล้ ว จึ ง ไม่ทราบว่าถูกฟ้ อง คาพิพากษาฎีกาที่ ๔๒/๒๕๐๖ คาพิพากษาฎีกาที่ ๔๔๒/๒๕๑๐ คาพิพากษาฎีกาที่ ๙๖๐/๒๕๑๑ คาขอให้พิจารณาใหม่ ของจาเลยกล่าวว่า จ าเลยไปอยู่ ที่ ประเทศอิ นเดี ยยั ง มิ ได้ ก ลั บ ประเทศไทย จึ งไม่ ท ราบการถู ก ฟ้ องและ การพิจารณาของศาลถือว่าได้กล่าวถึงเหตุที่ขาดนัด โดยละเอียดชัดแจ้งแล้ว