การบรรยาย ครั้งที่ ๒ นางสาวอินทิรา ฉิวรัมย์ รองอธิบดีผู้พพิ ากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง มาตรา ๑๙๘ ทวิ วรรคแรก เป็ นหลักทัว่ ไป คือ ศาลจะพิพากษา ให้ โ จทก์ เ ป็ นฝ่ ายชนะคดี เ.

Download Report

Transcript การบรรยาย ครั้งที่ ๒ นางสาวอินทิรา ฉิวรัมย์ รองอธิบดีผู้พพิ ากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง มาตรา ๑๙๘ ทวิ วรรคแรก เป็ นหลักทัว่ ไป คือ ศาลจะพิพากษา ให้ โ จทก์ เ ป็ นฝ่ ายชนะคดี เ.

การบรรยาย ครั้งที่ ๒
นางสาวอินทิรา ฉิวรัมย์
รองอธิบดีผู้พพิ ากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง
มาตรา ๑๙๘ ทวิ
วรรคแรก เป็ นหลักทัว่ ไป คือ ศาลจะพิพากษา
ให้ โ จทก์ เ ป็ นฝ่ ายชนะคดี เ พราะจ าเลยขาดนั ด ยื่ น
คาให้การไม่ได้ เว้นแต่ศาลเห็นว่าคาฟ้องของโจทก์
มีมูลและไม่ ขดั ต่ อกฎหมาย (ให้โจทก์ชนะ)
แต่ ถา้ ศาลจะพิ พ ากษาให้โจทก์ช นะทัน ที โ ดย
พิ เ คราะห์ ค าฟ้ องอย่ า งเดี ย วโดยไม่ สื บ พยานตาม
มาตรา ๑๙๘ ทวิ สามารถทาได้ แต่ขณะนี้ยงั ไม่มีฎีกา
แต่ ถ ้า ศาลพิ จ ารณาค าฟ้ องแล้ว เห็ น ว่ า ตาม
ค าฟ้ องของโจทก์ จ าเลยไม่ ไ ด้ก ระท าการอัน เป็ น
การโต้แย้งสิ ทธิ ของโจทก์ หรื อกระทาการตามฟ้ อง
ไม่เป็ นการละเมิดต่อโจทก์หรื อโจทก์ไม่มีอานาจฟ้ อง
เท่ า กับ เป็ นค าฟ้ องที่ เ สี ย ตั้ง แต่ แ รก ย่อ มถื อ ว่ า ฟ้ อง
โจทก์ไม่มีมูล ศาลมีอานาจพิพากษายกฟ้ องได้ทนั ที
เพราะเป็ นข้ อ กฎหมายอั น เกี่ ย วด้ ว ยความ
สงบเรียบร้ อยของประชาชน (ยกฟ้ องโจทก์)
มาตรา ๑๙๘ ทวิ วรรคหนึ่ง เป็ นกรณี ที่ศาลจะ
ยกฟ้ องโจทก์ไปทันที ได้แม้จาเลยจะขาดนัดยื่นคาให้การ
เว้นแต่ถา้ ศาลเห็นว่ามีมูลและไม่ขดั ต่อกฎหมาย แต่ขณะนี้
ยัง ไม่ มี ฎี ก า แต่ ถ ้า ศาลพิ จ ารณาค าฟ้ องแล้ว เห็ น ว่ า ตาม
คาฟ้ องโจทก์ จาเลยไม่ ไ ด้กระทาการอันเป็ นการโต้แย้ง
สิ ทธิ์ ของโจทก์ หรื อการกระทาตามฟ้ องไม่เป็ นการละเมิด
ต่อโจทก์หรื อโจทก์ไม่มีอานาจฟ้ อง กรณี น้ ี เป็ นคาฟ้ องที่
เสี ยตั้งแต่แรก ย่อมถือว่าฟ้ องโจทก์ไม่มีมูล ศาลมีอานาจ
พิพากษายกฟ้ องได้ทนั ทีเพราะเป็ นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วย
ความสงบเรี ยบร้อยของประชาชน
ฎีก าที่ ๓๕๒๘/๒๕๕๓ ตั ว อย่ า ง
ตามมาตรา ๑๙๘ ทวิ วรรคแรก คือ พิพากษา
ยกฟ้ อง โดยให้เหตุผลว่า ตามคาฟ้ อง โจทก์ท้ งั
เจ็ดมิใช่ ผูถ้ ูกข่มขู่ จึ งไม่มีอานาจฟ้ อง เป็ นเรื่ อง
ยกฟ้ องได้ทนั ที โดยไม่ตอ้ งสื บพยาน เนื่ องจาก
โจทก์ไม่มีอานาจฟ้ อง เป็ นกรณี ที่ศาลจะยกขึ้น
อ้า งโดยล าพัง ซึ่ งข้อ กฎหมายอัน เกี่ ย วด้ว ย
ความสงบเรี ยบร้อยของประชาชนก็ได้
ฎีก าที่ ๓๐๓๑/๒๕๔๔ เป็ นกรณี ที่
คาฟ้ องของโจทก์มีมูลและไม่ขดั ต่อกฎหมาย แต่ศาล
มีอานาจหยิบยกข้อกฎหมายอันเกี่ ยวด้วยความสงบ
เรี ยบร้ อยของประชาชนขึ้นวินิจฉัยเองได้ กล่าวคือ
เมื่อสื บพยานฝ่ ายเดียวไปแล้ว ฝ่ ายโจทก์อา้ งสัญญา
กู้ ยื ม เงิ น แต่ ไ ม่ ปิ ดอากรแสตมป์ จึ ง รั บ ฟั ง เป็ น
พยานหลัก ฐานในคดี ไ ม่ ไ ด้ต ามประมวลกฎหมาย
รัษฎากร ศาลต้องพิพากษายกฟ้ อง
ฎีกาที่ ๘๘๘๐/๒๕๔๗
ฎีกาที่ ๒๙๐๖/๒๕๔๘
ฎีกาที่ ๑๒๖๑/๒๕๔๗
สรุป มาตรา ๑๙๘ ทวิ วรรคหนึ่ง
เป็ นกรณี ที่ ศ าลจะยกฟ้ องโจทก์ ไ ปได้ท ัน ที
แม้จาเลยจะขาดนัดยืน่ คาให้การ
แต่ ถา้ พิเคราะห์ คาฟ้ องแล้วเห็ นว่ามี มูล
ไม่ขดั ต่อกฎหมาย มาตรา ๑๙๘ ทวิ วรรคสอง
แยกเป็ น ๒ กรณี คือ
๑. ตามมาตรา ๑๙๘ ทวิ วรรคสอง
ศาลเห็ น สมควรให้ สื บพยานโจทก์ ก่ อ น
พิพากษาตามที่เห็นว่าจาเป็ น กล่าวคือ เพื่อจะ
ดูว่าฟ้ องของโจทก์มีมูลและไม่ขดั ต่อกฎหมาย
หรื อไม่ ถ้า มี มูล ก็พิพ ากษาให้โจทก์ช นะคดี
แต่ถา้ ตามฟ้ องต้องยกฟ้ องแน่ ๆ ก็ไม่ตอ้ งสั่ง
ให้สืบพยาน
ฎีกาที่ ๔๖๒๓/๒๕๔๕
ฎีกาที่ ๕๗๘๖/๒๕๕๐
ฎี กานี้ โจทก์ฟ้ อง
ตั้ง ฐานว่ า เป็ นเรื่ องสั ญ ญาประนี ป ระนอมยอมความ
แต่ เ หตุ ที่ มี ก ารท าสั ญ ญาประนี ป ระนอมยอมความก็
เนื่ องมาจากเหตุละเมิด เวลาบรรยายฟ้ องก็บรรยายถึงเหตุ
ละเมิ ดต่าง ๆ แต่เวลานาสื บกลับไม่ ได้นาสื บรายละเอี ยด
มากเกี่ ยวกั บ เหตุ ล ะเมิ ด เพี ย งแต่ น าสื บถึ ง สั ญ ญา
ประนี ประนอมยอมความ ศาลฎี กาเห็ นว่ามี มูล ในเรื่ อง
สัญญาประนี ประนอมก็ใช้ได้แล้ว ไม่จาเป็ นต้องนาสื บไป
ถึงว่า รถยนต์ชนกันแล้วฝ่ ายจาเลยเป็ นฝ่ ายผิดอย่างไร
ฎีกาที่ ๔๒๕๐/๒๕๔๙
๒. คดีที่มีกฎหมายบังคับให้ตอ้ งสื บพยานก่อนพิพากษา
ตามมาตรา ๑๙๘ ทวิ วรรคสอง ตอนท้าย ที่วา่
๑. คดีเกี่ยวด้วยสิ ทธิ สภาพบุคคล
๒. สิ ทธิในครอบครัวหรื อ
๓. คดีพิพาทเกี่ยวด้วยกรรมสิ ทธิ์ ในอสังหาริ มทรัพย์
ให้ศาลสื บพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ ายเดียว และศาลอาจเรี ยก
พยานหลัก ฐานอื่ น มาสื บ ได้เ อง ตามที่ เ ห็ น ว่ า จ าเป็ นเพื่ อ
ประโยชน์แห่ งความยุติธรรม และมาตรา ๑๙๘ ทวิ วรรคสาม
(๑) และ (๒)
คดีสิทธิในครอบครัว จะต้อง
เป็ นคดีที่มีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวด้วยสิ ทธิ
และหน้าที่ระหว่างบุคคลที่มีความสัมพันธ์
กันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์
บรรพ ๕ เช่ น ระหว่า งสามี ภ ริ ย า บิ ด า
มารดากับบุตร บุตรบุญธรรมกับผูร้ ับบุตร
บุญธรรม
คดีครอบครัว (ตาม พ.ร.บ.จัดตั้ง
ศาลเยาวชนและครอบครัว) ได้แก่ คดีแพ่งที่ฟ้อง
หรื อร้องขอต่อศาลหรื อกระทาการใด ๆ ในทาง
ศาลเกี่ ยวกับผูเ้ ยาว์ห รื อครอบครั ว แล้ว แต่ ก รณี
ซึ่ งต้องบังคับตาม ป.พ.พ. คดีครอบครัวจึงกว้าง
ก ว่ า ค ดี สิ ท ธิ ใ น ค ร อ บ ค รั ว ต า ม ป . วิ . พ .
มาตรา ๑๙๘ ทวิ วรรคสอง เช่ น คดี ผิดสัญญา
หมั้นเป็ นคดีครอบครัว
ส่ วนคดีพพ
ิ าทเกีย่ วด้ วยกรรมสิ ทธิ์
ในอสั ง หาริ ม ทรั พ ย์ นั้ นเป็ นเรื่ องของ
อสั ง หาริ มทรั พ ย์ โ ดยตรง ได้ แ ก่ ที่ ดิ น
ที่มีโฉนด สค.๑ หรื อ นส.๓ เพราะสิ ทธิ
ครอบครองมี ผ ลท านองเดี ย วกั บ เรื่ อง
กรรมสิ ทธิ์
มาตรา ๑๙๘ ทวิ วรรคสาม (๑) (๒)
มีฎกี า ดังนี้
ฎีกาที่ ๒๖๘๕/๒๕๔๘ เป็ นเรื่ องที่
โจทก์มีคาขอบังคับให้จาเลยชาระหนี้ เป็ น
เงินจานวนแน่นอน ตาม (๑) ศาลมีอานาจที่
จะมี คาสั่งให้โจทก์ส่งพยานเอกสารตามที่
ศาลเห็นว่าจาเป็ นแทนการสื บพยานได้
แต่ ถ ้า เป็ น (๒) คดี ที่ โ จทก์ มี ค าขอ
บังคับให้จาเลยชาระหนี้ เป็ นเงินอันไม่อาจ
ก าหนดจ านวนได้ แ น่ นอน มาตรานี้
กาหนดให้ศาลสื บพยานหลักฐานโจทก์ไป
ฝ่ ายเดียว จะเรียกเอกสารอย่ างเดียวไม่ ได้
* ฎีกาที่ ๔๒๕๐/๒๕๔๙ เป็ นฎีกา
ที่ใช้ประโยชน์จากมาตรา ๑๙๘ ทวิ แทบจะ
ทุกอนุมาตรา ซึ่งเป็ นหน้าที่ลาดับที่สองของ
โจทก์ ก รณี จ าเลยขาดนั ด ยื่ น ค าให้ ก าร
คือ หน้าที่การนาพยานเข้าสื บ
มาตรา ๑๙๘ ตรี
มีหลัก ๒ ประการ
๑. จ าเลยหลายคนมี ค วามเกี่ ย วพัน กัน
ธรรมดาเป็ นคดีที่มูลความแห่ งคดีเป็ นการชาระ
หนี้จึ ง แบ่ ง แยกจากกั น ได้ เวลายื่ น ค าให้ก าร
กฎหมายไม่ ถื อ ว่ า กระท าแทนซึ่ งกัน และกัน
เพราะว่าเป็ นผูท้ ี่มีผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้นเอง
ฎีกาที่ ๒๔๗๔/๒๕๓๐
๒. จาเลยหลายคนมีความเกี่ยวพันกัน
คือ มู ลความแห่ งคดีเป็ นการชาระหนี้
ซึ่ ง แบ่ ง แยกจากกั น มิ ไ ด้ แบ่ ง ได้ เ ป็ น
๒ ข้ อ คือ
๒.๑ การช าระหนี้ ซึ่ ง แบ่ ง แยก
จากกันมิได้ เพราะสภาพวัตถุแห่งหนี้
ฎีกาที่ ๓๕๑/๒๕๑๐ โจทก์ฟ้อง
ให้จาเลยร่ วมกันส่ งมอบช้างคืนมูลแพ่ง
คดี เป็ นการชาระหนี้ ซึ่ งแบ่ งแยกจาก
กันมิได้
ฎีกาที่ ๒๗๘๗/๒๕๒๙ โจทก์
ฟ้ องขอให้บ งั คับ จ าเลยทั้ง สองซึ่ ง เป็ น
เจ้าของกรรมสิ ทธิ์ ร่ วมในที่ ดินรื้ อถอน
สิ่ งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทเป็ น
เรื่ องการชาระหนี้อนั ไม่อาจแยกได้
๒.๒ การชาระหนี้ ซ่ ึ งแบ่งแยกจาก
กัน มิ ไ ด้ เพราะมี ห ลายคนต้ อ งรั บ ผิ ด
ร่ ว มกัน อย่ า งลู ก หนี้ ร่ วม เช่ น ลู ก หนี้
ชั้นต้นกับผูค้ ้ าประกันหรื อผูเ้ อาประกันภัย
กับ ผูร้ ั บ ประกัน ภัย คื อ ลู ก หนี้ สองคน
ร่ วมกันรับผิดในหนี้อนั เดียวกัน
ฎีกาที่ ๒๐๘๘/๒๕๓๗
ฎีกาที่ ๑๙๓๘/๒๕๔๐
ฎี ก าที่ ๔๔๗๓/๒๕๔๑ เป็ น
ข้อกฎหมายในเรื่ องประกันภัยชัดเจนว่า
ผูร้ ั บ ประกัน ภัย จะต้อ งรั บ ผิ ด ก็ ต่ อ เมื่ อ
ผูเ้ อาประกันภัยนั้นต้องรับผิด
ที่ว่าการชาระหนี้แบ่ งแยกจากกั นมิไ ด้
นั้นแบ่ งออกเป็ น ๒ ประเภท
๑. การช าระหนี้ ซึ่ งแบ่ ง แยกจากกั น
ไม่ได้เพราะสภาพของวัตถุแห่งหนี้
๒. การช าระหนี้ ซึ่ งแบ่ ง แยกจากกัน
ไม่ ไ ด้เ พราะมี ห ลายคนต้อ งรั บ ผิ ด ร่ ว มกัน
อย่างลูกหนี้ร่วม หรื อเป็ นลูกหนี้ร่วม
กรณี ที่ ๒ นี้ ตามประมวลกฎหมาย
วิ ธี พิ จ ารณาความแพ่ ง มาตรา ๕๙ (๑)
บัญญัติให้ถือว่าบุคคลเหล่านี้ทาแทนซึ่ งกัน
และกัน ในการด าเนิ น กระบวนพิ จ ารณา
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
คาพิพากษาฎีกาที่ ๔๔๗๓/๒๕๔๗
ก ร ณี ที่ ๒ มู ล ค ว า ม แ ห่ ง ค ดี เ ป็ น
การช าระหนี้ ซึ่ งแบ่ ง แยกจากกัน มิ ไ ด้ ต าม
มาตรา ๑๙๘ ตรี ให้ศาลรอการพิพากษาหรื อมี
คาสัง่ ชี้ขาดคดีโดยขาดนัดยืน่ คาให้การไว้ก่อน
แล้ ว ด าเนิ น การพิ จ ารณาส าหรั บ จ าเลยที่
ยื่นคาให้การจนเสร็ จสิ้ น จากนั้นก็ให้ศาลมี
คาพิพากษาหรื อชี้ขาดคดีไปตามรู ปคดีสาหรับ
จาเลยทุกคน
ส าหรั บ กรณี ที่ ๒ ที่ ว่ า เป็ นหนี้ ที่ ไ ม่
อาจแบ่ ง แยกจากกั น ได้ น้ ั น การด าเนิ น
กร ะ บ ว น พิ จ าร ณา ส า ห รั บจ า เ ล ย ที่ ยื่ น
คาให้การอาจมีผลกระทบต่อจาเลยที่ขาดนัด
ยื่นคาให้การและศาลได้สั่งให้รอคดี ไว้ก่อน
หลายประการ เช่น
๑. คดีในส่ วนของจาเลยที่ยนื่ คาให้การมี
การทิ้ ง ฟ้ องตามมาตรา ๑๗๔ (๒) หรื อ
ถอนฟ้ องตามมาตรา ๑๗๕ ศาลย่อมมี คาสั่ง
จาหน่ ายคดีสาหรับจาเลยคนนั้น ส่ วนจาเลย
ที่ ข าดนั ด ยื่ น ค าให้ ก ารก็ พิ พ ากษาหรื อมี
คาสั่งชี้ ขาดคดี โดยขาดนัดยื่นคาให้การตาม
มาตรา ๑๙๘ ทวิ ต่อไป
๒. ถ้า ต่ อ มาคดี ใ นส่ ว นของจ าเลยที่ ยื่ น
คาให้ก ารมี ก ารประนี ประนอมยอมความตาม
ประมวลกฎหมายวิ ธี พิ จ ารณาความแพ่ ง
ม าต ร า ๑ ๓๘ ศ า ล ท า ย อ ม ไ ป ไ ด้ แล้ ว มี
คาพิพากษาตามยอมพร้อมกับการมีคาพิพากษา
หรื อ ค าสั่ง ชี้ ข าดโดยขาดนัด ยื่น ค าให้ก ารของ
จาเลยที่ขาดนัดยืน่ คาให้การตามมาตรา ๑๙๘ ทวิ
ต่อไป
๓ . ถ้ า ต่ อ ม า ค ดี ใ น ส่ ว น ข อ ง จ า เ ล ย ที่
ยื่นคาให้การ ศาลนัดสื บพยานโจทก์เป็ นนัดแรก
และคดี ใ นส่ ว นของจ าเลยที่ ข าดนัด ยื่น ค าให้ก าร
จ ะ ต้ อ ง มี ก า ร สื บ พ ย า น โ จ ท ก์ เ พิ่ ม เ ติ ม ห รื อ
สื บฝ่ ายเดี ยวตามมาตรา ๑๙๘ ทวิ วรรคสอง และ
วรรคสาม ศาลน่ าจะให้ถือว่านัดสื บพยานโจทก์
ดัง กล่ า วเป็ นวัน สื บ พยานโจทก์ส าหรั บ จ าเลยที่
ขาดนัดยืน่ คาให้การด้วย และถ้าคู่ความทั้งสองฝ่ าย
ขาดนั ด พิ จ ารณาตามมาตรา ๒๐๑ หรื อโจทก์
ขาดนัด ฝ่ ายเดี ย วตามมาตรา ๒๐๒ และจ าเลย
ไม่ ไ ด้แ ถลงด าเนิ น คดี ต่ อ ไป ศาลต้อ งมี ค าสั่ ง
จาหน่ า ยคดี จากสารบบความในส่ ว นของจาเลย
ที่ไม่ขาดนัด แต่ถา้ จาเลยแถลงขอดาเนิ นคดีต่อไป
ศาลต้อ งสื บ พยานต่ อ ไป ส าหรั บ จ าเลยที่ ไ ม่
ขาดนั ด แล้ ว พิ พ ากษาตามรู ปคดี ส่ วนคดี
ของจาเลยที่ขาดนัดยืน่ คาให้การต้องบังคับตาม
มาตรา ๑๙๘ ทวิ วรรคท้า ย ถื อว่าคดี ของโจทก์
ไม่ มีมูล เพราะไม่ นาพยานมาสื บเนื่ องจากโจทก์
ขาดนั ด ส าหรั บ จ าเลยที่ ข าดนั ด ยื่ น ค าให้ ก าร
ศาลจะจ าหน่ า ยคดี ไ ม่ ไ ด้ ถ้า โจทก์ไ ม่ ม าถื อ ว่ า
ไม่ นาพยานมาสื บ เท่ ากับคดี ของโจทก์ไม่ มีมูล
ศาลต้อ งพิ พ ากษายกฟ้ อง ตามมาตรา ๑๙๘ ทวิ
วรรคท้าย
๔. ถ้าคดี ในส่ วนของจาเลยที่ยื่นคาให้การ
ศาลนัดสื บพยานจาเลยเป็ นนัดแรกและคดีในส่ วน
ข อ ง จ า เ ล ย ที่ ข า ด นั ด ยื่ น ค า ใ ห้ ก า ร ต้ อ ง มี
การสื บ พยานโจทก์ เ พิ่ ม เติ ม หรื อสื บ ฝ่ ายเดี ย ว
ตามมาตรา ๑๙๘ ทวิ วรรคสอง หรื อ วรรคสาม
ถ้ า โจทก์ ข าดนั ด พิ จ ารณาตามมาตรา ๒๐๒
และจ าเลยมิ ไ ด้ แ ถลงขอให้ ด าเนิ นคดี ต่ อ ไป
ศาลต้อ งจ าหน่ า ยคดี โ จทก์ใ นส่ ว นของจ าเลยที่
ยืน่ คาให้การได้ ส่ วนคดีในส่ วนของจาเลยที่ขาด
นัดยื่นคาให้การ ศาลต้องสั่งให้สืบพยานโจทก์
ตามมาตรา ๑๙๘ ทวิ วรรคสอง หรื อวรรคสาม
ต่ อ ไปถ้า โจทก์ไ ม่ น าพยานมาสื บ ถื อ ว่า คดี ข อง
โจทก์ไ ม่ มี มู ล ศาลต้อ งพิ พ ากษายกฟ้ อง แต่ ถ้า
โจทก์ ข าดนั ด พิ จ ารณากรณี น้ ี คื อ นั ด สื บ พยาน
จาเลยเป็ นนัดแรก ถ้าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและ
จาเลยแถลงขอดาเนินคดีต่อไป เมื่อศาลสื บพยาน
จ าเลยเสร็ จ ต้อ งรอคดี ไ ว้ก่ อ นแล้ว สั่ ง ให้ โ จทก์
สื บพยานฝ่ ายเดียวตามมาตรา ๑๙๘ ทวิ วรรคสอง
และวรรคสามต่อไปสาหรับจาเลยที่ขาดนัดแล้วจึง
มี ค าพิ พ ากษาหรื อ ค าสั่ ง ชี้ ขาดคดี ส าหรั บ จ าเลย
ทุกคน
๕. ถ้ า คดี ในส่ วนของจ าเลยที่ ยื่ น
ค าให้ ก ารไม่ มี ใ ครขาดนั ด พิ จ ารณาและมี
การสื บ พยานจนเสร็ จ ทั้ง ในส่ ว นจ าเลยที่
ยื่ น ค า ใ ห้ ก า ร แ ล ะ ใ น ส่ ว น ข อ ง จ า เ ล ย ที่
ขาดนัดยื่นคาให้การ ศาลต้องพิจารณาหรื อมี
คาสัง่ ชี้ขาดคดีสาหรับจาเลยทุกคนพร้อมกัน
ต่อไปเป็ นเรื่ องจาเลยทุกคนขาดนัดยื่นคาให้การ
กฎหมายไม่ ไ ด้บญ
ั ญัติ โ ดยตรง จึ ง เป็ นกรณี เ ดี ย วกับ
จาเลยคนเดียวขาดนัดยื่นคาให้การตามมาตรา ๑๙๘ ทวิ
ต้องบังคับตามกฎหมายดังกล่าว โจทก์ตอ้ งยืน่ คาขอให้
ศาลมี ค าพิ พ ากษาหรื อมี ค าสั่ ง ชี้ ขาดคดี โ ดยขาดนัด
ยื่ น ค าให้ก ารตามมาตรา ๑๙๘ ส าหรั บ จ าเลยทุ ก คน
ข้อที่ควรระวังในการพิจารณาพิพากษาคดีก็คือต้องแยก
ให้ออกว่าคาฟ้ องของโจทก์เป็ นเรื่ องมูลความแห่ งคดี
เป็ นการชาระหนี้ซ่ ึ งแบ่งแยกจากกันได้หรื อไม่ได้
ทางแก้ของจาเลยที่ขาดนัดยืน่ คาให้ การ
จ าเลยที่ ข าดนัด ยื่น ค าให้ก ารจะแก้ไ ขด้ว ยวิ ธี ใ ด
ได้บา้ ง ทางแก้ของจาเลยที่ขาดนัดยื่นคาให้การมี
สองขั้นตอน
ขั้น ตอนแรกก็ คื อ ก่ อ นที่ ศ าลชั้ น ต้น จะ
พิพากษา มี ๒ วิธี
๑. ต้องแจ้งต่อศาลในโอกาสแรกว่าจาเลย
ประสงค์จะต่อสูค้ ดีตามมาตรา ๑๙๙ วรรคหนึ่ง
๒. ต้อ งยื่ น ค าร้ อ งขอขยายระยะเวลายื่ น
ค าให้ ก ารตามประมวลกฎหมายวิ ธี พิ จ ารณา
ความแพ่ ง มาตรา ๒๓ ทั้ง สองวิ ธี ที่ ก ล่ า วมา
สามารถทาพร้อมกันในเวลาเดียวกันได้
คาพิพากษาฎีกาที่ ๔๓๔๐-๔๓๔๑/๒๕๔๕
หมายความว่ า ถ้า จ าเลยอ้า งพฤติ ก ารณ์
พิเศษและเหตุสุดวิสัยเข้ามาด้วยศาลก็ตอ้ งวินิจฉัย
เกี่ ยวกับมาตรา ๒๓ ให้ดว้ ย เท่ากับว่าในคาร้ อง
ฉบับเดียวยืน่ ขอมาสองอย่างได้เลย
คาพิพากษาฎีกาที่ ๙๑๐๑/๒๕๔๗
ขั้นตอนที่สองคือหลังจากศาลพิพากษา
แล้วทาได้ ๒ วิธีเช่นเดียวกัน
วิ ธี แ รก จ าเลยที่ แ พ้ค ดี โ ดยขาดนั ด
ยื่ น ค าให้ ก ารเมื่ อ ศาลพิ พ ากษาคดี แ ล้ ว ก็ ยื่ น
ค า ร้ อ ง ข อ ใ ห้ พิ จ า ร ณ า ค ดี ใ ห ม่ ต า ม
มาตรา ๑๙๙ ตรี
วิธีที่สอง จาเลยร้ องขอให้เพิ กถอน
ก ร ะ บ ว น พิ จ า ร ณ า ที่ ผิ ด ร ะ เ บี ย บ ต า ม
ประมวลกฎหมายวิ ธี พิ จ ารณาความแพ่ ง
มาตรา ๒๗
การขออนุ ญ าตยื่ น ค าให้ ก ารตาม
มาตรา ๑๙๙ วรรคหนึ่ ง ในขั้น ตอนที่ ๑
มีหลักเกณฑ์อยู่ ๔ ข้อ
มาตรา ๑๙๙ วรรคหนึ่ ง บั ญ ญั ติ ว่ า
ถ้าจาเลยที่ขาดนัดยื่นคาให้การมาศาลก่อนศาล
วินิจฉัยชี้ ขาดคดีและแจ้งต่อศาลในโอกาสแรก
ว่าตนประสงค์จะต่อสู ้คดี เมื่ อศาลเห็ นว่าการ
ขาดนัดยื่นคาให้การนั้น มิได้เป็ นไปโดยจงใจ
หรื อมีเหตุอนั สมควร ให้ศาลมีคาสัง่ อนุญาตให้
จาเลยยืน่ คาให้การภายในกาหนดเวลาตามที่ศาล
เห็นสมควร และดาเนิ นกระบวนพิจารณาใหม่
ตั้งแต่เวลาที่จาเลยขาดนัดยืน่ คาให้การ
๑. จ าเลยที่ ข าดนัด ต้อ งมาศาลก่ อ นศาล
วินิจฉัยชี้ขาดคดี
๒. ต้อ งแจ้ง ต่ อ ศาลในโอกาสแรกว่า ตน
ประสงค์จะต่อสูค้ ดี
๓. ต้องอ้างเหตุว่าการขาดนัดมิได้เป็ นไป
โดยจงใจหรื อมีเหตุอนั สมควรประการอื่น
๔. จาเลยที่ขอจะต้องมิใช่จาเลยตามมาตรา
๑๙๙ วรรคสาม
๑. จาเลยที่ ขาดนัดต้องมาศาลก่อนศาล
วินิจฉัยชี้ขาดคดี
องค์ ป ระกอบที่ ส าคัญ ของข้อ นี้ ก็ คื อ
จาเลยต้องมาศาลก่อนศาลตัดสิ นคดี ถ้ามาไม่
ทันกาหนด ศาลตัดสิ นคดีไปแล้ว จาเลยต้อง
ไปใช้สิทธิตามมาตรา ๑๙๙ ตรี คือยืน่ คาขอให้
พิจารณาคดีใหม่ ระยะเวลาที่จะขออนุญาตยืน่
ค าให้ ก ารก็ คื อ นั บ แต่ เ วลายื่ น ค าให้ ก ารได้
สิ้ นสุ ด ลง เมื่ อ จาเลยไม่ ยื่นค าให้ก ารภายใน
ก าหนดถื อ ว่ า จ าเลยตกเป็ นผู ้ ข าดนั ด ยื่ น
คาให้การทันที ดังนั้นนับแต่เวลานี้ เป็ นต้นไป
จาเลยจึ งสามารถขออนุ ญาตยื่นคาให้การได้
จนกระทัง่ เวลาก่อนศาลพิพากษาคดี
คาพิพากษาฎีกาที่ ๓๘๕๔/๒๕๓๒
๒. ต้องแจ้งต่ อศาลในโอกาสแรกว่าตน
ประสงค์จะต่ อ สู้คดี เมื่ อจาเลยรู้ ว่า ถูกฟ้ องคดี
จาเลยต้องรี บมาศาลในโอกาสแรกและรี บแจ้ง
ต่อศาลทันทีวา่ ตนประสงค์จะต่อสู้คดีมิใช่ปล่อย
ให้ ศ าลสื บ พยานโจทก์ ฝ่ ายเดี ย วไปจนหมด
แล้ ว ค่ อ ยมาแจ้ ง ภายหลั ง หรื อไปด าเนิ น
กระบวนพิจารณาอย่างอื่นก่อน
คาพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๖๕/๒๕๑๗
คาพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๓๕/๒๕๒๑
คาพิพากษาฎีกานี้ ยืนยันตามตัวบทว่า
เมื่อมีโอกาสต้องรี บแจ้งให้ศาลทราบก่อน
๓. ต้องอ้างเหตุว่าการขาดนัดมิได้เป็ นไป
โดยจงใจหรื อมี เ หตุ อ ัน สมควรประการอื่ น
เหตุ ที่ ศ าลจะอนุ ญ าตให้ ยื่ น ค าให้ ก ารได้ มี อ ยู่
๒ เหตุ คื อ จ าเลยไม่ ไ ด้ จ งใจขาดนั ด ยื่ น
ค าให้ ก ารหรื อมี เ หตุ อ ัน สมควรประการอื่ น
เหตุใดเหตุหนึ่งก็ได้
คาพิพากษาฎีกาที่ ๔๖๘/๒๕๓๙
คาพิพากษาฎีกาที่ ๖๘๔๔/๒๕๔๐
๔. จาเลยผูข้ อจะต้องมิ ใช่ จาเลยตามมาตรา
๑๙๙ วรรคสาม ตามมาตรา ๑๙๙ วรรคสอง
ใ น ก ร ณี ต า ม ว ร ร ค ห นึ่ ง ถ้ า จ า เ ล ย ที่ ข า ด นั ด
ยื่นคาให้การมิ ได้แจ้งต่อศาลก็ดี หรื อศาลเห็ นว่า
การขาดนั ด ยื่ น ค าให้ ก ารนั้ นเป็ นไปโดยจงใจ
หรื อไม่ มี เ หตุ อ ั น สมควรก็ ดี ให้ ศ าลด าเนิ น
กระบวนพิจารณาต่อไป ในกรณี เช่ นนี้ จาเลยอาจ
ถามค้า น พยานโจทก์ ที่ อ ยู่ ร ะหว่ า งการสื บ ได้
แต่จะนาสื บพยานหลักฐานของตนไม่ได้
วรรคสาม บัญญัติว่า ในกรณี ที่จาเลยมิได้ยื่น
คาให้ก ารภายในก าหนดเวลาตามวรรคหนึ่ ง หรื อ
ศาลไม่อนุ ญาตให้จาเลยยื่นคาให้การตามวรรคสอง
หรื อ ศาลเคยมี ค าสั่ง ให้พิ จ ารณาคดี ใ หม่ ต ามค าขอ
ของจาเลยที่ขาดนัดยื่นคาให้การตามมาตรา ๑๙๙ ตรี
มาก่อน จาเลยนั้นจะขอยืน่ คาให้การตามมาตรานี้อีก
หรื อจะร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ไม่ได้
ตามมาตรา ๑๙๙ วรรคสาม จาเลยที่ไม่อาจขอ
อนุญาตยืน่ คาให้การได้ตามมาตรานี้มี ๓ ประเภท
๑. จาเลยที่เคยขาดนัดยืน่ คาให้การมาแล้ว
๒. จาเลยที่ศาลไม่อนุ ญาตให้ยื่นคาให้การ
ตามมาตรา ๑๙๙ วรรคสอง มาแล้ว มีสามกรณี คือ
กรณี ที่ ๑ จาเลยที่ มาศาลแต่ไม่แจ้งต่อศาล
ในโอกาสแรกว่าตนประสงค์จะต่อสู้คดีได้ยื่นขอ
ตอนหลังศาลจึ งไม่อนุ ญาต จะมายื่นขออนุ ญาต
อีกจึงต้องห้ามตามมาตรา ๑๙๙ วรรคสาม
กรณี ที่ ๒ จาเลยที่ มาศาลก่อนตัดสิ นคดี
และแจ้งต่อศาลในโอกาสว่าตนประสงค์จะต่อสู้
คดีแต่ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าการขาดนัดเป็ นไป
โดยจงใจและไม่มีเหตุอนั สมควร จึงไม่อนุญาต
จาเลยประเภทนี้ ไม่อาจขออนุ ญาตยื่นคาให้การ
ได้อี ก ต้อ งห้ า มตามมาตรา ๑๙๙ วรรคสาม
กรณี น้ ีเรี ยกว่ายืน่ ซ้ า
กรณี ที่ ๓ จาเลยที่ เคยขาดนัดยื่นคาให้การ
และแพ้ค ดี แ ล้ว มายื่ น ขอพิ จ ารณาคดี ใ หม่ ต าม
มาตรา ๑๙๙ ตรี และศาลอนุ ญาตให้พิจารณาคดี
ใหม่ ได้ ก าหนดให้ จ าเลยยื่ น ค าให้ ก ารตาม
มาตรา ๑๙๙ เบญจ วรรคสาม จาเลยกลับมาขาด
นัดยื่นคาให้การอีก แม้การขาดนัดในครั้งที่สองนี้
จะไม่ ไ ด้เ ป็ นไปโดยจงใจหรื อ มี เ หตุ อ ัน สมควร
ประการอื่น จาเลยจะขออนุ ญาตยื่นคาให้ก ารอีก
ไม่ได้ ต้องห้ามตามมาตรา ๑๙๙ วรรคสาม
บุ ค คลทั้ ง ๓ ประเภทจะยื่ น ขออนุ ญ าตตาม
มาตรา ๑๙๙ วรรคสาม ไม่ได้
การขออนุ ญ าตยื่นคาให้การนี้ มีขอ้ สังเกตหลาย
ประการ
๑. กฎหมายไม่ ไ ด้บ ัญ ญัติ ว่า ต้อ งท าเป็ นค าร้ อ ง
จาเลยสามารถแถลงด้วยวาจาต่อศาลได้
คาพิพากษาฎีกาที่ ๓๗๘/๒๕๐๓
คาพิพากษาฎีกาที่ ๙๑๐๑/๒๕๔๗
คาพิพากษาฎีกาที่ ๒๙๐๒/๒๕๓๘
๓. เหตุที่ศาลจะอนุ ญาตให้ยื่นคาให้การ
นั้นเพียงแต่เข้าเหตุใดเหตุหนึ่ งศาลก็อนุ ญาตให้
ยื่นคาให้การได้ เหตุใดเหตุหนึ่ งก็คือมิได้จงใจ
ขาดนัดยืน่ คาให้การหรื อมีเหตุอนั สมควรอื่น
คาพิพากษาฎีกาที่ ๔๖๘/๒๕๓๙
ฎีกานี้คือเหตุผลที่วา่ เหตุอนั สมควร ศาลก็
ไม่ตอ้ งพิจารณาประเด็นที่ว่าจาเลยขาดนัดโดย
จงใจหรื อไม่
๔. ค าสั่ ง อนุ ญ าตหรื อไม่ อ นุ ญ าตให้
ยื่นคาให้การตามมาตรา ๑๙๙ เป็ นคาสั่งระหว่าง
พิ จ ารณา คู่ ค วามที่ ไ ม่ เ ห็ น ด้ว ยต้อ งโต้แ ย้ง ไว้
ก่ อ น จะอุ ท ธรณ์ ท ั น ที ไ ม่ ไ ด้ ต ้ อ งห้ า มตาม
มาตรา ๒๒๖ (๒)
คาพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๖๑/๒๕๔๗
๕. การอุ ท ธรณ์ ห รื อ ฎี ก าว่ า จ าเลยจงใจ
ขาดนัด ยื่น ค าให้ก ารหรื อ ไม่ เ ป็ นอุ ท ธรณ์ ห รื อ
ฎี กาในปั ญหาข้อเท็จจริ ง ต้องอยู่ภายในบังคับ
เรื่ องการอุ ท ธรณ์ ฎี กาตามมาตรา ๒๒๔
วรรคหนึ่ ง หรื อมาตรา ๒๔๘ วรรคหนึ่ ง ต้องดู
ทุ น ทรั พ ย์ด้ว ยว่ า อุ ท ธรณ์ ห รื อฎี ก าในปั ญ หา
ข้อเท็จจริ งได้หรื อไม่
คาพิพากษาฎีกาที่ ๔๘/๒๕๔๕
๖. การขออนุ ญาตยื่ น ค าให้ ก ารตาม
มาตรา ๑๙๙ วรรคหนึ่ ง นี้ เป็ นคนละขั้นตอนกับ
การขอพิ จ ารณาคดี ใ หม่ ต ามมาตรา ๑๙๙ ตรี
ดังนั้นหากศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ยนื่ คาให้การ
จ าเลยมี สิ ท ธิ อุ ท ธรณ์ แ ละฎี ก าได้ไ ม่ เ ป็ นที่ สุ ด
ในชั้นอุทธรณ์
ค าสั่ ง ค าร้ อ งศาลฎี ก า ๒๑๑๕/๒๕๔๖
(ประชุมใหญ่)
คาสั่งคาร้องนี้ เขียนไว้ชดั เจนว่ากรณี
คาร้ องขออนุ ญาตยื่นคาให้การนั้นสามารถ
อุทธรณ์ฎีกาได้ตลอด ไม่เหมือนคาร้ องขอ
อนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่
ข้อสังเกตเกี่ยวกับการสื บพยานในคดี
ที่จาเลยขาดนัดยืน่ คาให้การ
๑. เป็ นหน้าที่ของศาลที่จะต้องแจ้งวัดนัด
สื บพยานไปให้ ท้ ั งโจทก์ แ ละจ าเลยทราบ
เนื่องจากจาเลยมีสิทธิที่จะมาซักค้านพยานโจทก์
จึ ง ต้ อ งแจ้ ง ก าหนดวั น นั ด สื บพยานโจทก์
ฝ่ ายเดียวให้จาเลยทราบโดยเป็ นหน้าที่ข องศาล
และการส่ งหมายนัดต้องชอบ
คาพิพากษาฎีกาที่ ๕๔๔๑/๒๕๔๖
กรณี น้ ี ก็คือสื บตามมาตรา ๑๙๘ ทวิ โดย
สื บพยานโจทก์ฝ่ายเดียวเพราะจาเลยขาดนัดยื่น
คาให้การ เวลาเลื่อนไปนัดสื บพยานโจทก์ศาลก็
ต้องปิ ดประกาศแจ้งวัดนัดไว้หน้าศาล กว่าจะมี
ผลต้อง ๑๕ วัน คดี น้ ี ปิ ดประกาศไม่ ครบ ๑๕
วันเต็มจึงไม่มีผลในการนัด ศาลไม่สามารถที่จะ
สื บพยานโจทก์ถึงอย่างไรก็สืบไม่ได้ ปรากฏว่า
โจทก์ไม่มา พยานไม่มา พอโจทก์ไม่มา พยาน
ไม่ ม าศาลชั้น ต้น ก็ สั่ ง ว่า คดี ข องโจทก์ไ ม่ มี มู ล
และให้ย กฟ้ องของโจทก์ เพราะโจทก์ไ ม่ น า
พยานหลักฐานมาสื บ อย่างนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
เป็ นการฟ้ องที่ไม่ชอบ เพราะว่าวันนัดสื บพยาน
ยังไม่มีผล การส่ งหมายยังไม่ชอบ
๒. การสื บพยานในคดี ที่ จ าเลยขาดนั ด ยื่ น
คาให้การ หากโจทก์หรื อจาเลยไม่ มาศาลในวันนัด
สื บพยานย่อมเข้าหลักเกณฑ์การขาดนัดพิจารณาแต่ไม่
ถือว่าโจทก์หรื อจาเลยขาดนัดพิจารณาคือต้องบังคับ
ไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
๑๙๘ ทวิ ถ้าโจทก์ไม่มาก็ถือว่าโจทก์ไม่นาพยานมา
สื บ ถื อ ว่ า คดี โ จทก์ ไ ม่ มี มู ล ถ้า จ าเลยไม่ ม าตาม
มาตรา ๑๙๘ ทวิ วรรคสี่ มิ ใ ห้ถื อ ว่ า จ าเลยขาดนัด
พิจ ารณา โจทก์ก็สื บพยานฝ่ ายเดี ย วต่ อ ไปแล้ว ศาล
พิพากษาตามพยานหลักฐานเท่าที่โจทก์สืบ
๓. การสื บ พยานในคดี ที่ จ าเลยขาดนัด
ยื่นคาให้การ โจทก์ตอ้ งปฏิบตั ิตามบทกฎหมาย
ว่ า ด้ ว ยการสื บพยานหลั ก ฐานเช่ น เดี ย วกั บ
คดีสามัญ เช่น ต้องยื่นบัญชีระบุพยาน ต้องส่ ง
ส า เ น า เ อ ก ส า ร ใ ห้ คู่ ค ว า ม อี ก ฝ่ า ย ห นึ่ ง
เว้ น แต่ ก รณี ศาลเรี ยกพยานมาสื บเองตาม
มาตรา ๑๙๘ ทวิ วรรคสอง หรื อวรรคสาม
มาตรา ๑๙๘ ทวิ วรรคสอง ศาลอาจเรี ยก
พยานหลั ก ฐานอื่ น มาสื บ ได้ เ องตามที่ เ ห็ น ว่ า
จ าเป็ นเพื่ อ ประโยชน์ แห่ งความยุ ติ ธ รรม
ที่ตวั บทเขียนว่าและศาลอาจเรี ยกพยานอื่นมาสื บ
ได้ เ องตามที่ เห็ นว่ า จ าเป็ นเพื่ อ ประโยชน์
แห่ ง ความยุ ติ ธ รรม อัน นี้ คื อ โจทก์ ไ ม่ ต้อ งยื่ น
บั ญ ชี ร ะบุ พ ยาน ไม่ ต้ อ งส่ งส าเนาเอกสาร
เพราะว่าเป็ นพยานหลักฐานที่ศาลเรี ยกมาเอง
๔. จาเลยที่ขาดนัดยื่นคาให้การไม่มีสิทธิ นา
พยานเข้าสื บ แต่มาตรา ๑๙๙ วรรคสอง ให้สิทธิ
จาเลยถามค้านพยานโจทก์ได้
คาพิพากษาฎีกาที่ ๖๑๖๕/๒๕๓๘
คาพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๑๒/๒๕๐๑
คาพิพากษาฎีกาที่ ๙๖๗๖/๒๕๓๙
คาพิพากษาฎีกาที่ ๒๔๔๓/๒๕๓๘
คาพิพากษาฎีกาที่ ๖๕๕๗/๒๕๓๙
๕. คดี ที่ จ าเลยขาดนั ด ยื่ น ค าให้ ก าร
ประเด็นแห่งคดีจะมีเฉพาะตามคาฟ้ องของโจทก์
เท่านั้น ข้อนี้กเ็ ป็ นไปตาม
คาพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๖๑/๒๕๔๗
๖. การชัง่ น้ าหนักพยานหลักฐานในคดีที่
จ าเลยขาดนั ด ยื่ น ค าให้ ก าร มาตรฐานการ
ชัง่ น้ าหนักจะต่ากว่าคดีสามัญทัว่ ไป ต่ากว่าคดีที่
โจทก์จาเลยนาสื บต่อสู้กนั อย่างเต็มที่ ถ้าเป็ นคดี
ที่โจทก์นาสื บฝ่ ายเดียว พยานหลักฐานที่โจทก์
นาสื บก็ตอ้ งมี มูลพอที่ จะรั บฟั งได้ หากรั บฟั ง
ไม่ได้ศาลก็ตอ้ งพิพากษายกฟ้ องเช่นเดียวกัน