Transcript บทที่ 6.1 รีมันน์อินทิกรัล
Slide 1
Slide 2
6.1 การอินทิเกรตได้ ของรีมันน์ (Riemann Integrability)
บทนิยาม 6.1.1 ให้ [ a, b ] เป็ นช่วงปิ ดใดๆ และ P = { x0, x1,
x2, …, xn } เป็ นเซตของจุดบน [ a, b ] โดยที่ a = x0 < x1 < x2
< … < xn = b
จะเรี ยก P ว่าเป็ น ผลแบ่ งกั้น (partition) ของ [ a, b ]
Slide 3
จุดในผลแบ่งกั้น P แบ่งช่วง [ a, b ] ออกเป็ นช่วงย่อย n ช่วง คือ
n
[x0, x1], [x1, x2], …, [xn–1, xn] โดยที่ i 1[ x i 1 , x i ] = [ a, b ] และ
[xi–1, xi] [xj–1, xj] = , i jดังรู ป 6.1.1
a = x0
x1 x2
xk–1
xk
ผลแบ่ งกั้นอันหนึ่งของ [a, b]
xn–1 xn= b
Slide 4
บทนิยาม 6.1.2 ให้ f : [a, b] เป็ นฟังก์ชนั ที่มี
ขอบเขตบน [ a, b ] และ P = { x0, x1, x2, …, xn } เป็ นผลแบ่ง
กั้นบนของ [ a, b ] สาหรับ k = 1, 2, 3, …, n
ให้ mk = g.l.b.{ f(x) | x[xk–1, xk] }
Mk = l.u.b.{ f(x) | x[xk–1, xk] }
Slide 5
บทนิยาม 6.1.3 ให้ f : [a, b] เป็ นฟังก์ชนั ที่มี
ขอบเขตบน [a, b] และ P = { x0, x1, x2, …, xn } เป็ นผล
แบ่งกั้นบนของ [ a, b ]
ผลบวกล่ าง (lower sum) ของ f ที่มี P เป็ นผลแบ่งกั้น แทนด้วย
L( P; f ) เมื่อ
L( P; f ) =
n
m k (xk – xk–1)
k1
Slide 6
ผลบวกบน (upper sum) ของ f ที่มี P เป็ นผลแบ่งกั้น แทน
ด้วย U( P; f ) เมื่อ
U( P; f ) =
n
Mk
k1
ผลบวกล่ าง L( P; f )
(xk – xk–1)
ผลบวกบน U( P; f )
Slide 7
บทตั้ง 6.1.4 ถ้า f : [a, b] เป็ นฟังก์ชนั ที่มีขอบเขตบน
[ a, b ] และ P เป็ นผลแบ่งกั้นใดๆของ [ a, b ] แล้ว
L( P; f ) U( P; f )
การพิสูจน์ ให้ P = { x0, x1, x2, …, xn } เป็ นผลแบ่งกั้นของ [ a, b ]
mk = g.l.b.{ f(x) | x[xk–1, xk] สาหรับ k = 1, 2, 3, …, n }
l.u.b.{ f(x) | x[xk–1, xk] สาหรับ k = 1, 2, 3, …, n } = Mk
ดังนั้น mk Mk สาหรับ k = 1, 2, 3, …, n
Slide 8
L( P; f )
n
= mk
k1
n
Mk
k1
(xk – xk–1)
(xk – xk–1)
= U( P; f )
Slide 9
บทนิยาม 6.1.5 ให้ P, Q เป็ นผลแบ่งกั้นของ [ a, b ] ที่
P Q แล้วจะเรี ยก Q ว่า ผลแบ่ งกั้นที่ละเอียด(refinement) ของ P
บทตั้ง 6.1.6 ให้ f : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ที่มีขอบเขต
บนช่วงปิ ด [ a, b ] P เป็ นผลแบ่งกั้นของ [ a, b ] และ Q เป็ นผล
แบ่งกั้นที่ละเอียดของ P แล้ว
(1) L( P; f ) L( Q; f )
(2) U( Q; f ) U( P; f )
Slide 10
การพิสูจน์ ให้ P = { x0, x1, x2, …, xn } เป็ นผลแบ่งกั้นของ [ a, b ]
P = P{ z } โดยที่ xk–1 < z < xk
ดังนั้น P = { x0, x1, x2, …, xk–1, z, xk, …, xn }
P เป็ นผลแบ่งกั้นที่ละเอียดของ P
(1)
ให้ mk = g.l.b.{ f(x) | x[xk–1, z] }
mk = g.l.b.{ f(x) | x[z, x k] }
ดังนั้น mk mk และ mk mk
Slide 11
L( P; f ) = m1(x1–x0)+m2(x2–x1)+ …+mk(xk–xk–1)+ …+mn(xn–xn–1)
= m1(x1–x0)+m2(x2–x1)+ …+mk(z–xk–1)+mk(xk–z)+ …+mn(xn–xn–1)
m1(x1–x0)+m2(x2–x1)+ …+mk(z–xk–1)+mk(xk–z)+ …+mn(xn–xn–1)
= L( P; f )
L( P; f ) L( P; f ) เมื่อ P มีสมาชิกเพิ่ม 1 ตัว จาก P ในช่วงที่ k
ถ้า Q เป็ นผลแบ่งกั้นที่ละเอียดใดๆของ P ดังนั้น
Q = P{ z1, z2, z3, ..., zi } ซึ่ง xj–1 < zi < xj , i j = 1, 2, 3, ..., n
สามารถแสดงการแบ่งช่วงที่ zi เป็ นสมาชิกได้ในทานองเดียวกัน
ดังข้างต้น และย่อมได้วา่
L( P; f ) L( Q; f )
(2) ให้ผอู้ ่านพิสูจน์เป็ นแบบฝึ กหัด
Slide 12
บทตั้ง 6.1.7 ให้ f : [a, b] เป็ นฟังก์ชนั ที่มีขอบเขตบน [ a, b ]
ถ้า P1, P2 เป็ นผลแบ่งกั้นใดๆของ [ a, b ] แล้ว L( P1; f ) U( P2; f )
การพิสูจน์ ให้ Q = P1P2
ดังนั้น Q เป็ นผลแบ่งกั้นของ [ a, b ] ซึ่งเป็ นผลแบ่งกั้นที่
ละเอียดของ P1, P2
จากบทตั้ง 6.1.4 และบทตั้ง 6.1.6
จึงได้วา่ L( P1; f ) L( Q; f ) U( Q; f ) U( P2; f )
Slide 13
อินทิกรัลบน และอินทิกรัลล่ าง (Upper and Lower Integrals)
ให้ f : [a, b] เป็ นฟังก์ชนั ที่มีขอบเขตบน [ a, b ]
ถ้า P เป็ นผลแบ่งกั้นใดๆของ [ a, b ] สามารถคานวณหาค่า
U( P; f ) และ L( P; f )หรื ออาจกล่าวได้วา่ แต่ละผลแบ่งกั้น P ให้
ค่าจานวนจริ ง 2 จานวนให้ [a, b] เป็ นหมู่ (collection) ของผล
แบ่งกั้นทั้งหมดบน [ a, b ] [a, b] จึงกาหนดเซตได้ 2 เซต คือ
เซตของผลบวกบน { U( P; f ) | P [a, b] } และ
เซตของผลบวกล่าง { L( P; f ) | P [a, b] }
Slide 14
บทนิยาม 6.1.8 ให้ f : [a, b] เป็ นฟังก์ชนั ที่มีขอบเขต
1) อินทิกรัลล่ าง (lower integral) ของ f บน [ a, b ] แทนด้วย
b
a f(x)dx หมายถึง จานวนจริ ง ซึ่ง
b
a f(x)dx = l.u.b.{ L( P; f ) | P [a, b] }
2) อินทิกรัลบน (upper integral) ของ f บน [ a, b ] แทนด้วย
b
a f(x)dx หมายถึง จานวนจริ ง ซึ่ง
b
af(x)dx = g.l.b.{ U( P; f ) | P [a, b] }
Slide 15
ทฤษฎีบท 6.1.9 ให้ f : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ที่มีขอบเขต
แล้ว
b
b
af(x) dx a f(x) dx
การพิสูจน์ ให้ P1, P2 เป็ นผลแบ่งกั้นใดๆของ [ a, b ]
โดยบทตั้ง 6.1.7 ได้วา่ L( P1; f ) U( P2; f )
Slide 16
U( P2; f ) ย่อมเป็ นขอบเขตบนตัวหนึ่งของ { L( P; f ) |
P [a, b] }
b
และ f(x) dx = l.u.b{ L( P; f ) | P [a, b] } U( P2; f )
a
b
เนื่องจาก P2 เป็ นผลแบ่งกั้นใดๆของ [ a, b ] ดังนั้น a f(x) dx
เป็ นขอบเขตล่างตัวหนึ่งของ { U( P; f ) | P [a, b] } และ
b
a f(x) dx
g.l.b.{ U( P; f ) | P [a, b] }
b
นัน่ คือ af(x) dx
b
a f(x) dx
Slide 17
Slide 18
บทนิยาม 6.1.10 ให้ f : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ที่มีขอบเขต
บน [ a, b ] แล้วจะเรี ยก f ว่าเป็ น ฟังก์ ชันที่มีรีมันน์ อนิ ทิกรัล
(Riemann–integrable) บน [ a, b ]
b
b
ถ้า f(x)dx = af(x)dx
a
b
และเขียนแทนด้วย f ( x ) dx
a
Slide 19
ตัวอย่ าง 1 ให้ f(x) = x , x[ 0, 1 ]
ให้ Pn เป็ นผลแบ่งกั้นของ [ 0, 1 ] โดยแบ่ง [ 0, 1 ] ออกเป็ น n
ช่วงดังนี้
2
n
1
3
Pn = { 0, n , n , n , . . . , n = 1 }
เนื่องจาก f(x) = x เป็ นฟังก์ชนั เพิ่มที่มีขอบเขต มีค่าสูงสุ ด และ
ค่าต่าสุ ดในแต่ละช่วง
พิจารณาช่วงที่ k [ k n 1 , nk ] จะได้วา่ Mk = nk
และ mk = k n 1 และความกว้างของช่วง k คือ
1 ทุก k = 1, 2, 3, ..., n
k
k1
xk – xk–1 = n - n = n
Slide 20
ดังนั้น U( Pn; f ) =
n
M k (x k x k1 )
k1
=
1
n2
=
1
( 1+2+3+…+n ) 2
n
1
n ( n 1)
n2
2
1 ( 1+ 1 )
n
2
=
=
+ n22 + n32 + . . . + nn2
Slide 21
และ L( Pn; f ) =
=
n
m k (x k x k 1 )
k1
0 + n12
+ +
2
n2
3
n1
+ . . . + n2
n2
= ( 0+1+2+3+…+n–1 ) 12
=
( n 1) n
2
= 21 ( 1 - n1 )
n
1
n2
Slide 22
เนื่องจาก { Pn | n } เป็ นเซตย่อยของ { P | P [0, 1] }
1
ดังนั้น 2 = l.u.b.{ L( Pn; f ) | n }
l.u.b.{ L( P; f ) | P [0, 1] } =
1
0 f(x)dx
1
และ 0 f(x)dx = g.l.b.{ U( P; f ) | P [0, 1] }
1
g.l.b.{ U( Pn; f ) | n } = 2
Slide 23
1
1
1
1
ทาให้ 2 f(x)dx 0 f(x)dx 2
0
1
1
1
0 f(x)dx = 0 f(x)dx = 2
นัน่ คือ f(x) = x เป็ นฟังก์ชนั ที่มีรีมนั น์อินทิกรัลบน [ 0, 1
Slide 24
ทฤษฎีบท 6.1.11 เงื่อนไขรีมันน์ (Riemann’s Criterion for
Integrability)
ให้ f : [a, b] เป็ นฟังก์ชนั ที่มีขอบเขตบน [ a, b ]
แล้ว f จะเป็ นฟังก์ชนั ที่สามารถหาอินทิกรัลได้บน [ a, b ] ก็
ต่อเมื่อแต่ละ > 0 จะมีผลแบ่งกั้น P ของ [ a, b ]ซึ่ง
U( P; f ) – L( P; f ) <
Slide 25
การพิสูจน์ ถ้า f เป็ นฟังก์ชนั ที่สามารถหาอินทิกรัลได้บน [ a, b ]
ดังนั้น
ให้
b
a f(x)dx
=
b
a
f(x)dx
b
> 0 , เนื่องจาก f(x)dx
a
= l.u.b.{ L( P; f ) | P [a, b] }
จะมี P1 เป็ นผลแบ่งกั้นบน [ a, b ] ที่
b
เนื่องจาก a f(x)dx
b
af(x)dx
– 2 < L( P1; f )
= g.l.b.{ U( P; f ) | P [a, b] }
Slide 26
จะมี P2 เป็ นผลแบ่งกั้นบน [ a, b ] ที่ U( P2; f ) <
b
a f(x)dx + 2
ให้ P = P1P2 ดังนั้น P เป็ นผลแบ่งกั้นที่ละเอียดของ P1, P2
ผลที่ตามมา จากบทตั้ง 6.1.6 และบทตั้ง 6.1.4 จึงได้
b
f(x)dx
–
a
2
< L( P1; f ) L( P; f )
b
และ U( P; f ) U( P2; f ) < a f(x)dx + 2
b
ดังนั้น U( P; f ) – L( P; f ) < ( f(x)dx + 2 ) –( bf(x)dx – )
a
2
a
Slide 27
นัน่ คือ U( P; f ) – L( P; f ) <
ในทางกลับกัน ให้ P เป็ นผลแบ่งกั้นใดๆบน [ a, b ]
L( P; f )
b
af(x)dx
( หรื อ – ab f(x)dx – L( P; f ) )
b
และ f(x)dx U( P; f )
a
b
b
ดังนั้น af(x)dx – af(x)dx
< U( P; f ) – L( P; f )
เนื่องจากกาหนดให้แต่ละ > 0 จะมีผลแบ่งกั้น P ของ [ a, b ] ที่
U( P; f ) – L( P; f ) <
Slide 28
b
ดังนั้น f(x)dx
a
b
– f(x)dx U( P; f ) – L( P; f ) <
a
b
b
โดยทฤษฎีบท 6.1.9 a f(x)dx a f(x)dx
b
b
0 af(x)dx - af(x)dx
เนื่องจาก เป็ นจานวนบวกใดๆ จะได้
b
af(x)dx
b
a f(x)dx
b
- f(x)dx
a
= bf(x)dx
a
นัน่ คือ f R(x) บน [ a, b ]
=0
Slide 29
ตัวอย่ าง 3 กาหนด f : [ 0, 1 ] โดยที่ f(x) = x2 , x[ 0, 1 ]
ให้ > 0 และ P = { x0, x1, x2, …, xn } เป็ นผลแบ่งกั้น
ใดๆบน [ 0, 1 ] ซึ่ง
max { xk – xk–1 | k = 1, 2, 3, …, n } < 2
เนื่องจาก f เป็ นฟังก์ชนั เพิม่ และต่อเนื่อง ดังนั้น
n 2
Mk = f(xk) = xk2 จึงได้ U( P; f ) = x k ( xk – xk–1)
k1
n
2
2
x
และ mk = f(xk–1) = x k–1 จึงได้ L( P; f ) = k 1 k 1 ( xk – xk–1)
Slide 30
n 2
U( P; f ) – L( P; f ) = [ x k
k1
( xk – xk–1)] – [
=
n 2
2
( x k x k 1) ( x k
k1
=
n
(x k
k1
<
n
2 ( 2 ) ( xk – xk–1)
k1
=
n
2
xk 1
k1
( xk – xk–1)]
xk1 )
x k 1 ) ( xk – xk–1)( xk – xk–1)
n
(x k
k1
xk1)
นัน่ คือ f R(x) บน [ 0, 1 ]
=
Slide 31
6.2 สมบัตขิ องรีมันน์ อนิ ทิกรัล
ทฤษฎีบท 6.2.1 ให้ f, g : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ที่สามารถหา
อินทิกรัลได้บน [ a, b ]
ถ้า k แล้วฟังก์ชนั kf และ f + g เป็ นฟังก์ชนั ที่
สามารถหาอินทิกรัลได้บน [ a, b ] และ
b
b
a
a
(1) kf (x)dx = k f (x)dx
b
b
b
a
a
a
(2) ( f ( x ) g ( x ) ) dx = f (x)dx + g (x)dx
Slide 32
บทแทรก 6.2.2 ให้ f : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ที่หาอินทิกรัล
n
บน [ a, b ] และki สาหรับ i = 1, 2, 3, ..., n แล้ว k i fi
i1
เป็ นฟังก์ชนั ที่หาอินทิกรัลบน [ a, b ]
b n
และ k i fi (x)dx =
a i1
n
b
i1
a
k i f i (x)dx
Slide 33
ทฤษฎีบท 6.2.3 ให้ f : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ที่มีอินทิกรัล
บน [ a, b ]
b
ถ้า f(x) 0 สาหรับทุก x[ a, b] แล้ว f (x)dx 0
a
บทแทรก 6.2.4 ให้ f, g : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ที่หา
อินทิกรัลบน [ a, b ] ได้
ถ้า f(x) g(x) สาหรับทุก x[ a, b ] แล้ว
b
f
a
b
(x)dx g (x)dx
a
Slide 34
บทตั้ง 6.2.5 ถ้า f : [ a, b] เป็ นฟังก์ชนั ที่มีอินทิกรัล
บน [ a, b ] และ a < c < b แล้ว
b
f(x)dx
a
=
c
f(x)dx
a
+
b
f(x)dx
c
Slide 35
ทฤษฎีบท 6.2.6 ให้ f : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ที่มี
ขอบเขตบน [ a, b ] และa < c < b จะได้วา่ f มีอินทิกรัล
บน [ a, b ] ก็ต่อเมื่อ f มีอินทิกรัลบน [ a, c ] และ [ c, b ]
โดยที่
b
f (x)dx
a
=
c
b
a
c
f (x)dx + f (x)dx
Slide 36
ทฤษฎีบท 6.2.7 ให้ f : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ที่มี
ขอบเขตบน [ a, b ] แล้ว
ข้อความ (1) – (3) สมมูลกัน
(1) ฟังก์ชนั f เป็ นฟังก์ชนั ที่มีอินทิกรัลบน [ a, b ]
(2) สาหรับแต่ละ > 0 จะมีผลแบ่งกั้น P = { x0, x1, x2,
..., xn } ของ [ a, b ]
ซึ่ง
n
( M k m k )(xk – xk–1) <
k1
Slide 37
(3) สาหรับแต่ละ > 0 จะมีผลแบ่งกั้น P = { x0, x1, x2, ...,
xn } ของ [ a, b ]
ซึ่ง
n
w k (xk – xk–1) <
k1
เมื่อ wk = l.u.b. { f(x) – f(y) | x, y[ xk–1, xk ] }
สาหรับ k = 1, 2, 3, ..., n
Slide 38
ทฤษฎีบท 6.2.8 ให้ f : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ทางเดียวบน
[ a, b ] แล้ว f เป็ นฟังก์ชนั ที่มีอินทิกรัลบน [ a , b ]
ทฤษฎีบท 6.2.9 ให้ f : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ต่อเนื่องบน
[ a, b ] แล้วฟังก์ชนั fมีอินทิกรัลบน [ a, b ]
ทฤษฎีบท 6.2.10 ให้ I = [ a, b ] และ J = [ c, d ] ถ้า f เป็ น
ฟังก์ชนั ที่มีอินทิกรัลบน I และ g เป็ นฟังก์ชนั ต่อเนื่องบน J
โดยที่ f( I ) J แล้วฟังก์ชนั ประกอบ
gf : I เป็ นฟังก์ชนั ที่มีอินทิกรัลบน I
Slide 39
บทแทรก 6.2.11 ให้ f : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ที่มี
อินทิกรัลบน [ a, b ] แล้ว | f | เป็ นฟังก์ชนั ที่มีอินทิกรัลบน
[ a, b ]
Slide 40
6.3 ทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลสั
(The Fundamental Theorem of Calculus)
บทตั้ง 6.3.1 ถ้าให้ f : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ที่มีอินทิกรัล
บน [ a, b ] และ f(x) K สาหรับทุกๆ x[ a, b ] แล้ว
b
b
a
a
f (x)dx f(x)dx K(b – a)
Slide 41
ทฤษฎีบท 6.3.2 ถ้า f : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ที่มีอินทิกรัล
บน [ a, b ] แล้ว Fa : [ a, b ] นิยามโดย
x
Fa(x) = f (t)dt , a x b
a
เป็ นฟังก์ชนั ต่อเนื่องแบบเอกรู ปบน [ a, b ]
Slide 42
ทฤษฎีบท 6.3.3 ถ้า f : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ที่มี
อินทิกรัลบน [ a, b ] และ Fa : [ a, b ] โดยที่
x
Fa(x) = f (t)dt สาหรับ a x b ถ้า f เป็ น
a
ฟังก์ชนั ต่อเนื่องแล้ว Fa เป็ นฟังก์ชนั ที่มีอนุพนั ธ์ที่จุด x0 และ
Fa(x0) = f(x0) สาหรับ x0 [ a, b ]
Slide 43
ทฤษฎีบท 6.3.4 ทฤษฎีบทหลักมูลแคลคูลสั
(Fundamental Theorem of Integral Calculus)
ให้ f เป็ นฟังก์ชนั ต่อเนื่องบน [ a, b ] แล้ว
F : [ a, b ] สอดคล้องกับ
x
F(x) – F(a) = f (t)dt
a
ก็ต่อเมื่อ F(x) = f(x) สาหรับทุก x [ a, b ]
Slide 44
บทแทรก 6.3.5 ถ้า f เป็ นฟังก์ชนั ต่อเนื่องบน [ a, b ] และ
F(x) = f(x) สาหรับ x [ a, b ] แล้ว
b
f (x)dx = F(b) – F(a)
a
Slide 45
ทฤษฎีบท 6.3.6 การอินทิเกรตโดยวิธีแยกส่ วน (Integration
by Parts)
ให้ f, g : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ที่มีอนุพนั ธ์ ถ้า f และ
g เป็ นฟังก์ชนั ต่อเนื่อง แล้ว
b
f ( x ) g
a
b
(x)dx = [ f(b)g(b) – f(a)g(a) ] – f ( x ) g (x)dx
a
Slide 46
ทฤษฎีบท 6.3.7 ให้ J = [ , ] และ : J เป็ น
ฟังก์ชนั ที่มีอนุพนั ธ์ และ เป็ นฟังก์ชนั ต่อเนื่องบน J ถ้า f
เป็ นฟังก์ชนั ต่อเนื่องบน I โดยที่ I = (J) แล้ว
f ( ( t )) ( t ) dt
=
( )
f ( x ) dx
( )
Slide 47
Slide 48
Slide 2
6.1 การอินทิเกรตได้ ของรีมันน์ (Riemann Integrability)
บทนิยาม 6.1.1 ให้ [ a, b ] เป็ นช่วงปิ ดใดๆ และ P = { x0, x1,
x2, …, xn } เป็ นเซตของจุดบน [ a, b ] โดยที่ a = x0 < x1 < x2
< … < xn = b
จะเรี ยก P ว่าเป็ น ผลแบ่ งกั้น (partition) ของ [ a, b ]
Slide 3
จุดในผลแบ่งกั้น P แบ่งช่วง [ a, b ] ออกเป็ นช่วงย่อย n ช่วง คือ
n
[x0, x1], [x1, x2], …, [xn–1, xn] โดยที่ i 1[ x i 1 , x i ] = [ a, b ] และ
[xi–1, xi] [xj–1, xj] = , i jดังรู ป 6.1.1
a = x0
x1 x2
xk–1
xk
ผลแบ่ งกั้นอันหนึ่งของ [a, b]
xn–1 xn= b
Slide 4
บทนิยาม 6.1.2 ให้ f : [a, b] เป็ นฟังก์ชนั ที่มี
ขอบเขตบน [ a, b ] และ P = { x0, x1, x2, …, xn } เป็ นผลแบ่ง
กั้นบนของ [ a, b ] สาหรับ k = 1, 2, 3, …, n
ให้ mk = g.l.b.{ f(x) | x[xk–1, xk] }
Mk = l.u.b.{ f(x) | x[xk–1, xk] }
Slide 5
บทนิยาม 6.1.3 ให้ f : [a, b] เป็ นฟังก์ชนั ที่มี
ขอบเขตบน [a, b] และ P = { x0, x1, x2, …, xn } เป็ นผล
แบ่งกั้นบนของ [ a, b ]
ผลบวกล่ าง (lower sum) ของ f ที่มี P เป็ นผลแบ่งกั้น แทนด้วย
L( P; f ) เมื่อ
L( P; f ) =
n
m k (xk – xk–1)
k1
Slide 6
ผลบวกบน (upper sum) ของ f ที่มี P เป็ นผลแบ่งกั้น แทน
ด้วย U( P; f ) เมื่อ
U( P; f ) =
n
Mk
k1
ผลบวกล่ าง L( P; f )
(xk – xk–1)
ผลบวกบน U( P; f )
Slide 7
บทตั้ง 6.1.4 ถ้า f : [a, b] เป็ นฟังก์ชนั ที่มีขอบเขตบน
[ a, b ] และ P เป็ นผลแบ่งกั้นใดๆของ [ a, b ] แล้ว
L( P; f ) U( P; f )
การพิสูจน์ ให้ P = { x0, x1, x2, …, xn } เป็ นผลแบ่งกั้นของ [ a, b ]
mk = g.l.b.{ f(x) | x[xk–1, xk] สาหรับ k = 1, 2, 3, …, n }
l.u.b.{ f(x) | x[xk–1, xk] สาหรับ k = 1, 2, 3, …, n } = Mk
ดังนั้น mk Mk สาหรับ k = 1, 2, 3, …, n
Slide 8
L( P; f )
n
= mk
k1
n
Mk
k1
(xk – xk–1)
(xk – xk–1)
= U( P; f )
Slide 9
บทนิยาม 6.1.5 ให้ P, Q เป็ นผลแบ่งกั้นของ [ a, b ] ที่
P Q แล้วจะเรี ยก Q ว่า ผลแบ่ งกั้นที่ละเอียด(refinement) ของ P
บทตั้ง 6.1.6 ให้ f : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ที่มีขอบเขต
บนช่วงปิ ด [ a, b ] P เป็ นผลแบ่งกั้นของ [ a, b ] และ Q เป็ นผล
แบ่งกั้นที่ละเอียดของ P แล้ว
(1) L( P; f ) L( Q; f )
(2) U( Q; f ) U( P; f )
Slide 10
การพิสูจน์ ให้ P = { x0, x1, x2, …, xn } เป็ นผลแบ่งกั้นของ [ a, b ]
P = P{ z } โดยที่ xk–1 < z < xk
ดังนั้น P = { x0, x1, x2, …, xk–1, z, xk, …, xn }
P เป็ นผลแบ่งกั้นที่ละเอียดของ P
(1)
ให้ mk = g.l.b.{ f(x) | x[xk–1, z] }
mk = g.l.b.{ f(x) | x[z, x k] }
ดังนั้น mk mk และ mk mk
Slide 11
L( P; f ) = m1(x1–x0)+m2(x2–x1)+ …+mk(xk–xk–1)+ …+mn(xn–xn–1)
= m1(x1–x0)+m2(x2–x1)+ …+mk(z–xk–1)+mk(xk–z)+ …+mn(xn–xn–1)
m1(x1–x0)+m2(x2–x1)+ …+mk(z–xk–1)+mk(xk–z)+ …+mn(xn–xn–1)
= L( P; f )
L( P; f ) L( P; f ) เมื่อ P มีสมาชิกเพิ่ม 1 ตัว จาก P ในช่วงที่ k
ถ้า Q เป็ นผลแบ่งกั้นที่ละเอียดใดๆของ P ดังนั้น
Q = P{ z1, z2, z3, ..., zi } ซึ่ง xj–1 < zi < xj , i j = 1, 2, 3, ..., n
สามารถแสดงการแบ่งช่วงที่ zi เป็ นสมาชิกได้ในทานองเดียวกัน
ดังข้างต้น และย่อมได้วา่
L( P; f ) L( Q; f )
(2) ให้ผอู้ ่านพิสูจน์เป็ นแบบฝึ กหัด
Slide 12
บทตั้ง 6.1.7 ให้ f : [a, b] เป็ นฟังก์ชนั ที่มีขอบเขตบน [ a, b ]
ถ้า P1, P2 เป็ นผลแบ่งกั้นใดๆของ [ a, b ] แล้ว L( P1; f ) U( P2; f )
การพิสูจน์ ให้ Q = P1P2
ดังนั้น Q เป็ นผลแบ่งกั้นของ [ a, b ] ซึ่งเป็ นผลแบ่งกั้นที่
ละเอียดของ P1, P2
จากบทตั้ง 6.1.4 และบทตั้ง 6.1.6
จึงได้วา่ L( P1; f ) L( Q; f ) U( Q; f ) U( P2; f )
Slide 13
อินทิกรัลบน และอินทิกรัลล่ าง (Upper and Lower Integrals)
ให้ f : [a, b] เป็ นฟังก์ชนั ที่มีขอบเขตบน [ a, b ]
ถ้า P เป็ นผลแบ่งกั้นใดๆของ [ a, b ] สามารถคานวณหาค่า
U( P; f ) และ L( P; f )หรื ออาจกล่าวได้วา่ แต่ละผลแบ่งกั้น P ให้
ค่าจานวนจริ ง 2 จานวนให้ [a, b] เป็ นหมู่ (collection) ของผล
แบ่งกั้นทั้งหมดบน [ a, b ] [a, b] จึงกาหนดเซตได้ 2 เซต คือ
เซตของผลบวกบน { U( P; f ) | P [a, b] } และ
เซตของผลบวกล่าง { L( P; f ) | P [a, b] }
Slide 14
บทนิยาม 6.1.8 ให้ f : [a, b] เป็ นฟังก์ชนั ที่มีขอบเขต
1) อินทิกรัลล่ าง (lower integral) ของ f บน [ a, b ] แทนด้วย
b
a f(x)dx หมายถึง จานวนจริ ง ซึ่ง
b
a f(x)dx = l.u.b.{ L( P; f ) | P [a, b] }
2) อินทิกรัลบน (upper integral) ของ f บน [ a, b ] แทนด้วย
b
a f(x)dx หมายถึง จานวนจริ ง ซึ่ง
b
af(x)dx = g.l.b.{ U( P; f ) | P [a, b] }
Slide 15
ทฤษฎีบท 6.1.9 ให้ f : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ที่มีขอบเขต
แล้ว
b
b
af(x) dx a f(x) dx
การพิสูจน์ ให้ P1, P2 เป็ นผลแบ่งกั้นใดๆของ [ a, b ]
โดยบทตั้ง 6.1.7 ได้วา่ L( P1; f ) U( P2; f )
Slide 16
U( P2; f ) ย่อมเป็ นขอบเขตบนตัวหนึ่งของ { L( P; f ) |
P [a, b] }
b
และ f(x) dx = l.u.b{ L( P; f ) | P [a, b] } U( P2; f )
a
b
เนื่องจาก P2 เป็ นผลแบ่งกั้นใดๆของ [ a, b ] ดังนั้น a f(x) dx
เป็ นขอบเขตล่างตัวหนึ่งของ { U( P; f ) | P [a, b] } และ
b
a f(x) dx
g.l.b.{ U( P; f ) | P [a, b] }
b
นัน่ คือ af(x) dx
b
a f(x) dx
Slide 17
Slide 18
บทนิยาม 6.1.10 ให้ f : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ที่มีขอบเขต
บน [ a, b ] แล้วจะเรี ยก f ว่าเป็ น ฟังก์ ชันที่มีรีมันน์ อนิ ทิกรัล
(Riemann–integrable) บน [ a, b ]
b
b
ถ้า f(x)dx = af(x)dx
a
b
และเขียนแทนด้วย f ( x ) dx
a
Slide 19
ตัวอย่ าง 1 ให้ f(x) = x , x[ 0, 1 ]
ให้ Pn เป็ นผลแบ่งกั้นของ [ 0, 1 ] โดยแบ่ง [ 0, 1 ] ออกเป็ น n
ช่วงดังนี้
2
n
1
3
Pn = { 0, n , n , n , . . . , n = 1 }
เนื่องจาก f(x) = x เป็ นฟังก์ชนั เพิ่มที่มีขอบเขต มีค่าสูงสุ ด และ
ค่าต่าสุ ดในแต่ละช่วง
พิจารณาช่วงที่ k [ k n 1 , nk ] จะได้วา่ Mk = nk
และ mk = k n 1 และความกว้างของช่วง k คือ
1 ทุก k = 1, 2, 3, ..., n
k
k1
xk – xk–1 = n - n = n
Slide 20
ดังนั้น U( Pn; f ) =
n
M k (x k x k1 )
k1
=
1
n2
=
1
( 1+2+3+…+n ) 2
n
1
n ( n 1)
n2
2
1 ( 1+ 1 )
n
2
=
=
+ n22 + n32 + . . . + nn2
Slide 21
และ L( Pn; f ) =
=
n
m k (x k x k 1 )
k1
0 + n12
+ +
2
n2
3
n1
+ . . . + n2
n2
= ( 0+1+2+3+…+n–1 ) 12
=
( n 1) n
2
= 21 ( 1 - n1 )
n
1
n2
Slide 22
เนื่องจาก { Pn | n } เป็ นเซตย่อยของ { P | P [0, 1] }
1
ดังนั้น 2 = l.u.b.{ L( Pn; f ) | n }
l.u.b.{ L( P; f ) | P [0, 1] } =
1
0 f(x)dx
1
และ 0 f(x)dx = g.l.b.{ U( P; f ) | P [0, 1] }
1
g.l.b.{ U( Pn; f ) | n } = 2
Slide 23
1
1
1
1
ทาให้ 2 f(x)dx 0 f(x)dx 2
0
1
1
1
0 f(x)dx = 0 f(x)dx = 2
นัน่ คือ f(x) = x เป็ นฟังก์ชนั ที่มีรีมนั น์อินทิกรัลบน [ 0, 1
Slide 24
ทฤษฎีบท 6.1.11 เงื่อนไขรีมันน์ (Riemann’s Criterion for
Integrability)
ให้ f : [a, b] เป็ นฟังก์ชนั ที่มีขอบเขตบน [ a, b ]
แล้ว f จะเป็ นฟังก์ชนั ที่สามารถหาอินทิกรัลได้บน [ a, b ] ก็
ต่อเมื่อแต่ละ > 0 จะมีผลแบ่งกั้น P ของ [ a, b ]ซึ่ง
U( P; f ) – L( P; f ) <
Slide 25
การพิสูจน์ ถ้า f เป็ นฟังก์ชนั ที่สามารถหาอินทิกรัลได้บน [ a, b ]
ดังนั้น
ให้
b
a f(x)dx
=
b
a
f(x)dx
b
> 0 , เนื่องจาก f(x)dx
a
= l.u.b.{ L( P; f ) | P [a, b] }
จะมี P1 เป็ นผลแบ่งกั้นบน [ a, b ] ที่
b
เนื่องจาก a f(x)dx
b
af(x)dx
– 2 < L( P1; f )
= g.l.b.{ U( P; f ) | P [a, b] }
Slide 26
จะมี P2 เป็ นผลแบ่งกั้นบน [ a, b ] ที่ U( P2; f ) <
b
a f(x)dx + 2
ให้ P = P1P2 ดังนั้น P เป็ นผลแบ่งกั้นที่ละเอียดของ P1, P2
ผลที่ตามมา จากบทตั้ง 6.1.6 และบทตั้ง 6.1.4 จึงได้
b
f(x)dx
–
a
2
< L( P1; f ) L( P; f )
b
และ U( P; f ) U( P2; f ) < a f(x)dx + 2
b
ดังนั้น U( P; f ) – L( P; f ) < ( f(x)dx + 2 ) –( bf(x)dx – )
a
2
a
Slide 27
นัน่ คือ U( P; f ) – L( P; f ) <
ในทางกลับกัน ให้ P เป็ นผลแบ่งกั้นใดๆบน [ a, b ]
L( P; f )
b
af(x)dx
( หรื อ – ab f(x)dx – L( P; f ) )
b
และ f(x)dx U( P; f )
a
b
b
ดังนั้น af(x)dx – af(x)dx
< U( P; f ) – L( P; f )
เนื่องจากกาหนดให้แต่ละ > 0 จะมีผลแบ่งกั้น P ของ [ a, b ] ที่
U( P; f ) – L( P; f ) <
Slide 28
b
ดังนั้น f(x)dx
a
b
– f(x)dx U( P; f ) – L( P; f ) <
a
b
b
โดยทฤษฎีบท 6.1.9 a f(x)dx a f(x)dx
b
b
0 af(x)dx - af(x)dx
เนื่องจาก เป็ นจานวนบวกใดๆ จะได้
b
af(x)dx
b
a f(x)dx
b
- f(x)dx
a
= bf(x)dx
a
นัน่ คือ f R(x) บน [ a, b ]
=0
Slide 29
ตัวอย่ าง 3 กาหนด f : [ 0, 1 ] โดยที่ f(x) = x2 , x[ 0, 1 ]
ให้ > 0 และ P = { x0, x1, x2, …, xn } เป็ นผลแบ่งกั้น
ใดๆบน [ 0, 1 ] ซึ่ง
max { xk – xk–1 | k = 1, 2, 3, …, n } < 2
เนื่องจาก f เป็ นฟังก์ชนั เพิม่ และต่อเนื่อง ดังนั้น
n 2
Mk = f(xk) = xk2 จึงได้ U( P; f ) = x k ( xk – xk–1)
k1
n
2
2
x
และ mk = f(xk–1) = x k–1 จึงได้ L( P; f ) = k 1 k 1 ( xk – xk–1)
Slide 30
n 2
U( P; f ) – L( P; f ) = [ x k
k1
( xk – xk–1)] – [
=
n 2
2
( x k x k 1) ( x k
k1
=
n
(x k
k1
<
n
2 ( 2 ) ( xk – xk–1)
k1
=
n
2
xk 1
k1
( xk – xk–1)]
xk1 )
x k 1 ) ( xk – xk–1)( xk – xk–1)
n
(x k
k1
xk1)
นัน่ คือ f R(x) บน [ 0, 1 ]
=
Slide 31
6.2 สมบัตขิ องรีมันน์ อนิ ทิกรัล
ทฤษฎีบท 6.2.1 ให้ f, g : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ที่สามารถหา
อินทิกรัลได้บน [ a, b ]
ถ้า k แล้วฟังก์ชนั kf และ f + g เป็ นฟังก์ชนั ที่
สามารถหาอินทิกรัลได้บน [ a, b ] และ
b
b
a
a
(1) kf (x)dx = k f (x)dx
b
b
b
a
a
a
(2) ( f ( x ) g ( x ) ) dx = f (x)dx + g (x)dx
Slide 32
บทแทรก 6.2.2 ให้ f : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ที่หาอินทิกรัล
n
บน [ a, b ] และki สาหรับ i = 1, 2, 3, ..., n แล้ว k i fi
i1
เป็ นฟังก์ชนั ที่หาอินทิกรัลบน [ a, b ]
b n
และ k i fi (x)dx =
a i1
n
b
i1
a
k i f i (x)dx
Slide 33
ทฤษฎีบท 6.2.3 ให้ f : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ที่มีอินทิกรัล
บน [ a, b ]
b
ถ้า f(x) 0 สาหรับทุก x[ a, b] แล้ว f (x)dx 0
a
บทแทรก 6.2.4 ให้ f, g : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ที่หา
อินทิกรัลบน [ a, b ] ได้
ถ้า f(x) g(x) สาหรับทุก x[ a, b ] แล้ว
b
f
a
b
(x)dx g (x)dx
a
Slide 34
บทตั้ง 6.2.5 ถ้า f : [ a, b] เป็ นฟังก์ชนั ที่มีอินทิกรัล
บน [ a, b ] และ a < c < b แล้ว
b
f(x)dx
a
=
c
f(x)dx
a
+
b
f(x)dx
c
Slide 35
ทฤษฎีบท 6.2.6 ให้ f : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ที่มี
ขอบเขตบน [ a, b ] และa < c < b จะได้วา่ f มีอินทิกรัล
บน [ a, b ] ก็ต่อเมื่อ f มีอินทิกรัลบน [ a, c ] และ [ c, b ]
โดยที่
b
f (x)dx
a
=
c
b
a
c
f (x)dx + f (x)dx
Slide 36
ทฤษฎีบท 6.2.7 ให้ f : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ที่มี
ขอบเขตบน [ a, b ] แล้ว
ข้อความ (1) – (3) สมมูลกัน
(1) ฟังก์ชนั f เป็ นฟังก์ชนั ที่มีอินทิกรัลบน [ a, b ]
(2) สาหรับแต่ละ > 0 จะมีผลแบ่งกั้น P = { x0, x1, x2,
..., xn } ของ [ a, b ]
ซึ่ง
n
( M k m k )(xk – xk–1) <
k1
Slide 37
(3) สาหรับแต่ละ > 0 จะมีผลแบ่งกั้น P = { x0, x1, x2, ...,
xn } ของ [ a, b ]
ซึ่ง
n
w k (xk – xk–1) <
k1
เมื่อ wk = l.u.b. { f(x) – f(y) | x, y[ xk–1, xk ] }
สาหรับ k = 1, 2, 3, ..., n
Slide 38
ทฤษฎีบท 6.2.8 ให้ f : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ทางเดียวบน
[ a, b ] แล้ว f เป็ นฟังก์ชนั ที่มีอินทิกรัลบน [ a , b ]
ทฤษฎีบท 6.2.9 ให้ f : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ต่อเนื่องบน
[ a, b ] แล้วฟังก์ชนั fมีอินทิกรัลบน [ a, b ]
ทฤษฎีบท 6.2.10 ให้ I = [ a, b ] และ J = [ c, d ] ถ้า f เป็ น
ฟังก์ชนั ที่มีอินทิกรัลบน I และ g เป็ นฟังก์ชนั ต่อเนื่องบน J
โดยที่ f( I ) J แล้วฟังก์ชนั ประกอบ
gf : I เป็ นฟังก์ชนั ที่มีอินทิกรัลบน I
Slide 39
บทแทรก 6.2.11 ให้ f : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ที่มี
อินทิกรัลบน [ a, b ] แล้ว | f | เป็ นฟังก์ชนั ที่มีอินทิกรัลบน
[ a, b ]
Slide 40
6.3 ทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลสั
(The Fundamental Theorem of Calculus)
บทตั้ง 6.3.1 ถ้าให้ f : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ที่มีอินทิกรัล
บน [ a, b ] และ f(x) K สาหรับทุกๆ x[ a, b ] แล้ว
b
b
a
a
f (x)dx f(x)dx K(b – a)
Slide 41
ทฤษฎีบท 6.3.2 ถ้า f : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ที่มีอินทิกรัล
บน [ a, b ] แล้ว Fa : [ a, b ] นิยามโดย
x
Fa(x) = f (t)dt , a x b
a
เป็ นฟังก์ชนั ต่อเนื่องแบบเอกรู ปบน [ a, b ]
Slide 42
ทฤษฎีบท 6.3.3 ถ้า f : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ที่มี
อินทิกรัลบน [ a, b ] และ Fa : [ a, b ] โดยที่
x
Fa(x) = f (t)dt สาหรับ a x b ถ้า f เป็ น
a
ฟังก์ชนั ต่อเนื่องแล้ว Fa เป็ นฟังก์ชนั ที่มีอนุพนั ธ์ที่จุด x0 และ
Fa(x0) = f(x0) สาหรับ x0 [ a, b ]
Slide 43
ทฤษฎีบท 6.3.4 ทฤษฎีบทหลักมูลแคลคูลสั
(Fundamental Theorem of Integral Calculus)
ให้ f เป็ นฟังก์ชนั ต่อเนื่องบน [ a, b ] แล้ว
F : [ a, b ] สอดคล้องกับ
x
F(x) – F(a) = f (t)dt
a
ก็ต่อเมื่อ F(x) = f(x) สาหรับทุก x [ a, b ]
Slide 44
บทแทรก 6.3.5 ถ้า f เป็ นฟังก์ชนั ต่อเนื่องบน [ a, b ] และ
F(x) = f(x) สาหรับ x [ a, b ] แล้ว
b
f (x)dx = F(b) – F(a)
a
Slide 45
ทฤษฎีบท 6.3.6 การอินทิเกรตโดยวิธีแยกส่ วน (Integration
by Parts)
ให้ f, g : [ a, b ] เป็ นฟังก์ชนั ที่มีอนุพนั ธ์ ถ้า f และ
g เป็ นฟังก์ชนั ต่อเนื่อง แล้ว
b
f ( x ) g
a
b
(x)dx = [ f(b)g(b) – f(a)g(a) ] – f ( x ) g (x)dx
a
Slide 46
ทฤษฎีบท 6.3.7 ให้ J = [ , ] และ : J เป็ น
ฟังก์ชนั ที่มีอนุพนั ธ์ และ เป็ นฟังก์ชนั ต่อเนื่องบน J ถ้า f
เป็ นฟังก์ชนั ต่อเนื่องบน I โดยที่ I = (J) แล้ว
f ( ( t )) ( t ) dt
=
( )
f ( x ) dx
( )
Slide 47
Slide 48