คู่มือการช่วยชีวิตเด็กสาหรับประชาชน งานการพยาบาลกุมารเวชศาสตร์ ภาควิชาพยาบาลศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล คานา การพัฒนาคุณภาพบริการเชิงวิชาการสู่ประชาชน เป็ นหนึ่งพันธกิจหลักที่สาคัญของคณะ แพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โดยเฉพาะการให้ บริการตามหลักวิช าการ แก่ประชาชนในการให้ ความช่ วยเหลือแก่เด็กที่ประสบอุบัติเหตุ ณ จุ ดเกิดเหตุได้ อย่ างทันท่วงที ถูกต้ อง และปลอดภัย จะทาให้ เด็กที่ประสบอุบัติเหตุมีโอกาสรอดชีวิต ปราศจากความพิการ หรือ มีความพิการเกิดขึ้นน้

Download Report

Transcript คู่มือการช่วยชีวิตเด็กสาหรับประชาชน งานการพยาบาลกุมารเวชศาสตร์ ภาควิชาพยาบาลศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล คานา การพัฒนาคุณภาพบริการเชิงวิชาการสู่ประชาชน เป็ นหนึ่งพันธกิจหลักที่สาคัญของคณะ แพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โดยเฉพาะการให้ บริการตามหลักวิช าการ แก่ประชาชนในการให้ ความช่ วยเหลือแก่เด็กที่ประสบอุบัติเหตุ ณ จุ ดเกิดเหตุได้ อย่ างทันท่วงที ถูกต้ อง และปลอดภัย จะทาให้ เด็กที่ประสบอุบัติเหตุมีโอกาสรอดชีวิต ปราศจากความพิการ หรือ มีความพิการเกิดขึ้นน้

คู่มือการช่วยชีวิตเด็กสาหรับประชาชน
งานการพยาบาลกุมารเวชศาสตร์
ภาควิชาพยาบาลศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล
คานา
การพัฒนาคุณภาพบริการเชิงวิชาการสู่ประชาชน เป็ นหนึ่งพันธกิจหลักที่สาคัญของคณะ
แพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โดยเฉพาะการให้ บริการตามหลักวิช าการ
แก่ประชาชนในการให้ ความช่ วยเหลือแก่เด็กที่ประสบอุบัติเหตุ ณ จุ ดเกิดเหตุได้ อย่ างทันท่วงที
ถูกต้ อง และปลอดภัย จะทาให้ เด็กที่ประสบอุบัติเหตุมีโอกาสรอดชีวิต ปราศจากความพิการ หรือ
มีความพิการเกิดขึ้นน้ อยที่สุด สามารถมีชีวิตอยู่ในสังคมได้ อย่ างมีคุณภาพ ดังนั้น จึงมีความ
จาเป็ นอย่างยิ่งที่ผ้ ูให้ การช่วยเหลือจะต้ องมีความรู้ มีหลักการปฏิบัติการช่วยเหลือที่ถูกต้ อง อีกทั้ง
การมีทกั ษะในการปฏิบัติ ซึ่งจะทาให้ การช่วยเหลือนั้นประสบความสาเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ
คู่มือการช่ วยชีวิตเด็กสาหรับประชาชน เป็ นเอกสารที่จัดทาขึ้นเพื่อให้ ประชาชนใช้ เป็ น
แนวทางในการศึกษา การช่ วยชีวิตขั้นพื้นฐานแก่ เด็กที่ประสบอุบัติเหตุ ซึ่ ง ผู้ เข้ ารับการอบรม
สามารถนามาทบทวนขั้นตอนต่ าง ๆ ในการช่ วยชี วิตให้ เกิดทักษะพร้ อมที่จะให้ การช่ วยเหลือได้
ทันท่วงทีและถูกต้ อง
ผู้จัดหวังเป็ นอย่างยิ่งว่าคู่มือเล่ มนี้จะเป็ นประโยชน์แก่ผ้ ูเข้ าอบรม และผู้สนใจทุกท่านได้
เป็ นอย่างดี
คณะผูจ้ ดั ทำ
6 กรกฎำคม 2546
การช่วยชีวิตพื้ นฐานในเด็ก
เด็กที่มีภาวะหยุดหายใจ หรือหัวใจหยุดเต้ น หรือไม่ทางาน สาเหตุ
ที่พบได้ บ่อยคือ
จมนา้ ไฟฟ้ าช็อต และสูดสาลัก
เช่น การสาลักนม
สาลักควัน เป็ นต้ น ซึ่งในภาวะเหล่านี้ ถ้ าได้ รับการช่วยเหลืออย่างถูกต้ อง
ทันที โดยทาให้ มีการแลกเปลี่ยนออกซิเจนที่ปอด และมีเลือดไหลเวียนเอา
ออกซิเจนไปเลี้ยงสมองเพียงพอ โดยไม่เกิดการตายของเนื้อสมอง จะทา
ให้ เด็กมีโอกาสกลับฟื้ นขึ้นมามีชีวิตเป็ นปกติได้
ไฟฟ้ าช็อต
ไฟฟ้ าช็อต เป็ นอุบัติเหตุท่พี บได้ บ่อย
ทั้งในบ้ าน โรงเรียน โรงงาน และ
สถานที่ต่าง ๆ ที่มีการใช้ ไฟฟ้ า สาเหตุ
อาจเกิดจากการประมาท ไม่รอบคอบ
หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็ นต้ น มักพบ
ในเด็กอายุ 1-5 ปี ซึ่งผู้ท่ถี ูกไฟฟ้ าช็อต
อาจมีอาการรุนแรงมากหรือน้ อย
ขึ้นอยู่กบั ปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
1.
ลักษณะของผิวหนังที่สมั ผัสกับไฟฟ้ า
- ผิวหนังแห้ งจะมีส่อื ไฟฟ้ าต่า เกิดอันตรายน้ อย อาการรุนแรงไม่มาก
- ผิวหนังเปี ยกชื้น (มีเหงื่อหรือเปี ยกนา้ ) จะเป็ นสื่อนาไฟฟ้ าสูง ทาให้ เกิดอันตราย
และมีอาการรุนแรงมาก
2.
ชนิดของกระแสไฟฟ้ า
- ไฟฟ้ ากระแสตรง เช่น แบตเตอรี่ หรือถ่านไฟฉาย ทาให้ เกิดอันตรายน้ อย
- ไฟฟ้ ากระแสสลับ ทาให้ เกิดอันตรายมาก และกระแสไฟฟ้ าที่ใช้ ในบ้ านเป็ น
ไฟฟ้ าชนิดที่ทาให้ เกิดอันตรายมาก
3.
ตาแหน่ง และทางเดินของกระแสไฟฟ้ าในร่างกาย
- กระแสไฟฟ้ าที่ว่ิงจากแขนหนึ่งไปยังอีกแขนหนึ่ง หรือจากแขนลงไปที่เท้ า จะมี
อันตรายมากกว่ากระแสไฟฟ้ าที่ว่ิงจากเท้ าลงดิน เนื่องจากกระแสไฟฟ้ าสามารถ
วิ่งผ่านหัวใจ ทาให้ หัวใจเต้ นผิดจังหวะ และเกิดอันตราย
- กระแสไฟฟ้ าวิ่งผ่านสมอง จะทาให้ หยุดหายใจ
- กระแสไฟฟ้ าวิ่งผ่านกล้ ามเนื้อ ทาให้ ชัก กระดูกหัก หรือเป็ นอัมพาต
อาการ
1.
2.
หมดสติ หยุดหายใจ และหัวใจหยุดเต้ นทันที ถ้ าได้ รับกระแสไฟฟ้ าเข้ าตัวเป็ น
เวลานาน
อาจมีบาดแผลไหม้ บริเวณผิวหนังที่ถูกไฟฟ้ าช็อต
การช่วยเหลือ
1. ปิ ดสวิตซ์ไฟ หรือถอดปลั๊กไฟทันที
2. ใช้ อป
ุ กรณ์ท่ไี ม่นาไฟฟ้ า เช่น ไม้ ผ้ า หรือเชือก คล้ องเอาตัวผู้ป่วยให้ หลุดออก
จากสาย (ห้ ามใช้ โลหะหรือวัตถุเปี ยกนา้ โดยเด็ดขาด และมิให้ ถูกตัวผู้ป่วยจนกว่า
จะหลุดออกจากสายไฟแล้ ว)
3. ตรวจดูการหายใจ ถ้ าผู้ป่วยหยุดหายใจ ให้ เป่ าปากช่วยหายใจทันที และถ้ า
หัวใจหยุดเต้ นให้ นวดหัวใจไปพร้ อมกัน จนกว่าจะหายใจได้ เอง
4. รีบนาส่งโรงพยาบาลโดยด่วน และตรวจดูการหายใจอย่างใกล้ ชิด
จมน้ า
จมนา้ เป็ นภาวะที่พบได้ บ่อยในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี มีความรุนแรงและมักจะ
เสียชีวิตเนื่องจากขาดอากาศหายใจจากการสาลักนา้ หรือมีการเกร็งของกล่ องเสียง
ซึ่งทาให้ เสียชีวิตได้ ภายใน 5-10 นาที
อาการ
1.
2.
หมดสติ และหยุดหายใจ บางรายอาจมีหัวใจหยุดเต้ น
ในรายที่ไม่หมดสติ อาจมีอาการปวดศีรษะ อาเจียน กระวนกระวาย หรือไอ
มีฟองเป็ นสีเลือดจาง ๆ
การช่วยเหลือ
1. ถ้ าผู้ป่วยหยุดหายใจ ทาการผายปอดโดยให้ เป่ าปากและช่วยหายใจทันที โดย
เร็วที่สดุ อย่าเสียเวลาเอานา้ ออกจากปอด
2. เมื่อเป่ าปากไปสักพัก แล้ วผู้เป่ ารู้สก
ึ ว่าลมที่เป่ าเข้ าปอดเด็กเข้ าได้ ไม่เต็มที่
เนื่องจากมีนา้ อยู่เต็มท้ อง อาจจัดท่าให้ เด็กนอนคว่า ใช้ มือ 2 ข้ าง วางอยู่ใต้
ท้ องเด็ก ยกท้ องเด็กขึ้นจะช่วยไล่นา้ จากท้ องออกมาทางปากได้ และจัดให้ เด็ก
นอนหงายทาการเป่ าปากช่วยหายใจต่อไป
3. ถ้ าพบว่ามีหัวใจหยุดเต้ น ให้ ทาการนวดหัวใจทันที
4. ในกรณีท่เี ด็กยังพอหายใจได้ เอง หรือ ช่วยเหลือให้ เด็กสามารถหายใจได้ เอง
จัดท่าให้ เด็กนอนตะแคง และศีรษะหงายไปข้ างหลังเพื่อให้ นา้ ไหลออกมาทางปาก
5.
ใช้ ผ้าคลุมตัวเด็กให้ อบอุ่น ห้ ามให้ อาหารและนา้ ดื่มทางปาก
6.
ส่งเด็กจมนา้ ทุกรายไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลอย่างน้ อย 24-72 ชั่วโมง เพื่อ
เฝ้ าระวังภาวะแทรกซ้ อนที่อาจเกิดขึ้น
การป้องกัน
1.
ระวังอย่าให้ เด็กเล่นนา้ หรือเล่นใกล้ บริเวณที่มีนา้ ตามลาพัง
2.
ควรส่งเสริมให้ เด็กฝึ กว่ายนา้ ให้ เป็ น
3.
เด็กที่มีประวัติเป็ นโรคลมชัก ห้ ามลงเล่นนา้
4.
ควรเตรียมเสื้อชูชีพให้ พร้ อม เมื่อต้ องลงเรือหรือไปเที่ยวทะเล
การสูดสาลัก
การสูดสาลักเป็ นการเอาสิ่งแปลกปลอมที่อดุ กั้นออกจากทางเดินหายใจ
อาการ
ไอ สาลัก เขียวอย่างกระทันหัน ส่วนใหญ่พบบ่อยในเด็กอายุไม่เกิน 4 ปี
เพราะเป็ นวัยที่ชอบเรียนรู้ด้วยตนเอง หยิบของใส่ปาก สิ่งแปลกปลอมที่พบบ่อย
ได้ แก่ เมล็ดถั่ว ลูกอม หรือของเล่นชิ้นเล็ก ๆ
การช่วยเหลือเมือ่ มีสิง่ แปลกปลอมอุดกั้นทางเดินหายใจ
สาหรับเด็กอายุแรกเกิด - 1 ปี
กรณีผสู ้ ำลักยังรูต้ วั
1. ตรวจดูอาการทางเดินหายใจถูกอุดกั้น ได้ แก่ หายใจลาบาก ไอไม่ออก
ร้ องได้ ไม่มีเสียง
2. ใช้ วิธตี บหลังสลับกับการกระแทกหน้ าอก
ก. วิธตี บหลัง จับให้ เด็กนอนคว่าหัวต่าบนแขนของผู้ช่วยเหลือ แล้ วใช้ ฝ่ามือ
ตบกลางหลังบริเวณระหว่างกระดูกสะบักอย่างแรงติดต่อกัน 5 ครั้ง แล้ ว
ดูว่ามีส่งิ แปลกปลอมออกมาจากปากเด็กหรือไม่
ข. วิธกี ารกระแทกหน้ าอก จับให้ เด็กนอนหงายอยู่บนตักของผู้ช่วยเหลือในท่า
ศีรษะต่าแล้ วใช้ น้ ิวมือ 2 นิ้ว กระแทกแรง ๆ ลงบนกระดูกหน้ าอกเหนือลิ้นปี่
5 ครั้ง แล้ วดูว่าเห็นสิ่งแปลกปลอมออกมาจากปอดเด็กหรือไม่
ค. ถ้ ายังไม่เห็นสิ่งแปลกปลอมออกมาให้ ทาวิธตี บหลัง 5 ครั้ง สลับกับกระแทก
หน้ าอก 5 ครั้ง ติดต่อกันจนกว่าจะมีส่งิ แปลกปลอมหลุดกระเด็นออกมา
กรณีผสู ้ ำลักหมดสติ
1.
2.
ใช้ วิธตี บหลัง 5 ครั้ง สลับกับกระแทกหน้ าอก 5 ครั้ง
ช่วยหายใจโดยเปิ ดทางเดินหายใจเป่ าลมเข้ าทางปาก/จมูก สังเกตว่าทรวงอก
ขยายขึ้นหรือไม่
3.
4.
5.
จัดท่าศีรษะแหงนเชยคางเปิ ดทางเดินหายใจ เป่ าลมเข้ าปาก/จมูก อีกครั้ง
ถ้ ายังไม่สาเร็จให้ ทาตามขั้นตอนที่ 1 ถึง 3 อีกครั้งจนได้ ผล
ถ้ าช่วยเกิน 1 นาที แล้ วยังไม่ได้ ผลให้ เรียกหน่วยพยาบาลฉุกเฉินทันที
สาหรับเด็กโตอายุ 1-8 ปี
กรณีผสู ้ ำลักยังรูต้ วั
1. ถามว่า “สาลักหรือเปล่า พูดได้ ไหม?”
2. ลงมือช่วยทันทีเมื่อผู้สาลักพยายามพูดออกมาแต่ไม่มีเสียง
3. ใช้ วิธก
ี ระแทกท้ องใต้ ล้ ินปี่ (เฮมลิช)
กรณีผสู ้ ำลักหมดสติ
1. ใช้ วิธก
ี ระแทกท้ องใต้ ล้ ินปี่ ในท่านอนหงายโดยนั่งคร่อมบนขาทั้ง 2 ข้ างของเด็ก
ใช้ 2 มือประสานซ้ อนกัน เอาสันมือวางตรงกลางระหว่างสะดือและลิ้นปี่ แล้ วออก
แรงกดกระแทกแรง ๆ เร็ว ๆ ติดต่อกัน 6-10 ครั้งจนได้ ผลเห็นสิ่งแปลกปลอมหลุด
ออกมาจากปาก
ช่วยหายใจโดยเปิ ดทางเดินหายใจให้ โล่งโดยใช้ น้ ิวมือดันลิ้น และยกขากรรไกรล่าง
ขึ้นไม่ให้ ล้ ินตกไปด้ านหลังคอ ถ้ าเห็นสิ่งแปลกปลอมอุดอยู่กส็ ามารถใช้ น้ ิวล้ วงออกมา
จากปากได้ ถ้ าไม่เห็นสิ่งแปลกปลอมอยู่ในช่องปาก ห้ ามใช้ มือล้ วงในปากโดยเด็ดขาด
2.
การชัก
อาการชักเกิดจากการทางานผิดปกติของ เซลล์ประสาทของสมองจานวนมาก
พร้ อมกันอย่างกระทันหัน ความผิดปกติน้ ีมักเกิดขึ้นเป็ นพัก ๆ อาจจะทิ้งช่ วงห่ างของ
อาการนานเป็ นวัน เป็ นเดือน หรือบางคนอาจจะเกิดขึ้นบ่อย ๆ หลาย ๆ ครั้ง ภายใน
วันเดียวกันได้ ผลของการทางานอย่างผิดปกติของเซลล์สมอง ทาให้ เกิดอาการที่
เห็นได้ หรือผู้ป่วยรู้สกึ ได้ แตกต่างกันอย่างที่พบได้ บ่อยก็มักจะเป็ นอาการเกร็งกระตุก
แต่ในผู้ป่วยบางคนอาจจะเป็ นอาการเหม่อ นิ่ง หรือ ดูเขียว ซีด เป็ นต้ น ทั้งหมดนี้
จัดรวมเป็ นกลุ่มอาการชัก (Seizures) ทั้งสิ้น
สาเหตุของการชัก
เกิดจากความผิดปกติของเนื้อสมอง ซึ่งความผิดปกติดังกล่าวมักเกิดจาก
1. ภาวะติดเชื้อของสมอง
2. อันตรายของศีรษะจากการคลอดหรือต่อมาภายหลัง
3. ความผิดปกติของสมองแต่กาเนิด
4. ภาวะความผิดปกติของเมตาบอลิซึม (ระบบการเผาผลาญอาหารในร่ างกาย)
และการได้ รับสารพิษต่าง ๆ
5. มีภาวะขาดออกซิเจน
6. เนื้องอกในสมอง
7. หลอดเลือดผิดปกติในสมอง
8. พันธุกรรม
ชนิดของอาการชัก
1. อาการชักทั้งตัว คือ อาการที่ผ้ ูป่วยมีการสูญเสียภาวะการรู้สติ ตั้งแต่เริ่มชัก
ซึ่งแบ่งเป็ น
1.1 ผู้ป่วยจะไม่ร้ ส
ู ติทนั ที สูญเสียการทรงตัว แขนขาเกร็ง ตาเหลือก
ต่อจากนั้นจะมีอาการกระตุก แขนขา ทั้งสองข้ างพร้ อมกันเป็ นจังหวะแล้ ว
จึงช้ าลงจนหยุดในที่สดุ ระหว่างชักผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการกัดลิ้น
ปัสสาวะ อุจจาระราด บางครั้งอาจหยุดหายใจไปในชั่วครู่ หลังจากชัก
ผู้ป่วยจะเพลียและหลับได้
1.2 ผู้ป่วยจะมีอาการนิ่งเฉยเหมือนปกติ ตามองเหม่อไม่ร้ ส
ู ติ ระหว่างนี้หน้ า
จะซีดเล็กน้ อย อาจจะขยับริมฝี ปาก แขน หรือศีรษะกระตุก กระพริบตา
เล็กน้ อย เป็ นครั้งละสั้น ๆ ประมาณ 5-10 วินาที อาการมักเป็ นตอนเช้ า
มักเป็ นในผู้ป่วยอายุ 4-8 ปี และมีอาการนาโดยหายใจหอบ ลึกติดต่อกัน
ประมาณ 2-3 ครั้ง
1.3
1.4
1.5
อาการชักที่มีการหดรัดตัวของกล้ ามเนื้ออย่างทันทีทนั ใดคล้ ายสะดุ้ง จะมีแขน
ยกขึ้นชัดเจน การชักแต่ละครั้งจะสั้นมาก มักพบในผู้ป่วยอายุ 2-3 ปี
อาการเสียวการตึงตัวของกล้ ามเนื้ออย่างทันทีทนั ใดในช่วงเวลาสั้น ๆ อาจ
ล้ มลงหรือมีอาการตกของแขน ขา หรือคอ
ผู้ป่วยมีอาการหัวผงก ลาตัวงอ แขนขางอเข้ าหากัน บางครั้งมีเสียงร้ อง
การกระตุกแต่ละครั้งจะสั้นมาก เมื่อใดอาการชักแบบนี้จะลดลง และมีอาการ
ชักอย่างอื่นแทน
2. อาการชักที่เริ่มที่จุดใดจุดหนึ่งของร่างกายก่อน อาจจะจากัดเฉพาะที่ หรือกระจาย
ออกไปเป็ นซักทั้งตัว ซึ่งแบ่งเป็ น
2.1 มีอาการกระตุกของแขน ขา ด้ านใดด้ านหนึ่งหน้ าซีด บางรายเริ่มมีอาการ
กระตุกจากจุดเริ่มต้ น เช่น ปลายขา แล้ วกระจายออกไป มีกระตุกต้ นขาไป
แขนและหน้ า จากนั้นกระตุกทั้งตัว การซักแบบนี้ระยะแรกผู้ป่วย จะรู้สติ
แต่ถ้ามีอาการชักทั้งตัวก็จะไม่ร้ สู ติ
2.2
2.3
มีอาการชาที่ใดที่หนึ่ง แล้ วกระจายออกไปที่อ่นื หรือมีการเห็นภาพ และ
แสงสีท่ผี ดิ ปกติ
ผู้ป่วยมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และจาเหตุการณ์ขณะนั้นไม่ได้
เช่น เดินจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง หรือวิ่งพล่านเหมือนคนเสียสติ จะมี
อาการ 4-5 นาที อาจจะมีอาการนาโดย เห็นภาพหลอน เสียงแว่ว และ
อาจมีอาการหน้ าซีด
หลักทัว่ ไปในการรักษาภาวะชัก
1. แพทย์จะพยายามรักษาสาเหตุถ้าสามารถกระทาได้ เช่น ชักจากเนื้องอกใน
สมอง
2. ในกรณีท่ห
ี าสาเหตุเฉพาะไม่พบ หรือสาเหตุท่พี บไม่สามารถทาการรักษาได้
เช่น มีความผิดปกติของสมองตั้งแต่แรกเกิด ก็จะป้ องกันไม่ให้ เกิดอาการ
ชักซา้ โดยใช้ ยา
3. ถ้ าอาการมากจนไม่สามารถควบคุมด้ วยยาได้ และแพทย์สามารถค้ นหาตาแหน่ง
ที่ผดิ ปกติในสมองได้ ชัดเจน อาจทาการผ่าตัดส่วนที่ผดิ ปกติของสมองนั้นออก
ไปได้
ข้อปฏิบตั ิในการดูแลผูป้ ่ วยชัก
1.
บันทึก ลักษณะเฉพาะของอาการชัก เวลาที่เริ่มชัก ระยะเวลาของการชัก
รวมทั้งภาวะหลังจากหยุดชัก เนื่องจากข้ อมูลดังกล่าว จะช่วยให้ แพทย์
สามารถเลือกชนิด และขนาดของยาได้ เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคนได้
2.
ต้ องรับประทานยาสม่าเสมอทุกวัน และรับประทานให้ ตรงเวลา เพื่อให้ ระดับ
ยากันชักมีความคงที่ในกระแสเลือด ซึ่งจะควบคุมอาการชักได้ ผลดี
3.
หลีกเลี่ยงการกระทาที่อาจจะเป็ นอันตรายของผู้ป่วย เช่น การปี นป่ ายที่สงู
การขับขี่จักรยานสองล้ อ ขับขี่รถยนต์เอง ว่ายนา้ โดยไม่มีผ้ ูดูแล
4.
5.
6.
การหลีกเลี่ยงจากปั จจัยที่ส่งเสริมให้ เกิดอาการชัก เช่น การอดนอน ออกกาลังกาย
มากจนเหนื่อย อดอาหาร วิตกกังวล
ถ้ าผู้ป่วยเริ่มมีไข้ ต่า ๆ ให้ เช็ดตัว และให้ ยาลดไข้ โดยไม่ต้องรอให้ ไข้ สงู และพาไป
พบแพทย์เพื่อรักษาสาเหตุของไข้ ต่อไป
ต้ องพาผู้ป่วยมาติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพราะแพทย์จะต้ องให้ ยารักษา
ติดต่อกันเป็ นระยะเวลาอย่างน้ อย 2 ปี และจะกระทาการปรับลดขยาดยาลงอย่าง
ช้ า ๆ โดยใช้ เวลาประมาณ 1-2 เดือน หลังจากการชักครั้งสุดท้ าย
เมือ่ ผูป้ ่ วยมีอาการชักจะทาอย่างไร
1. จัดให้ อยู่ในท่าที่สบายและปลอดภัย
2. พ่อแม่ ผู้ดูแลผู้ป่วยต้ องมีสติ ไม่ตกใจ
3. จัดเสื้อผ้ าให้ หลวม หรือให้ หายใจได้ สะดวก
4. จัดให้ นอนหงาย ตะแคงหน้ าไปด้ านใดด้ านหนึ่งทันที เพื่อให้ เสมหะ หรือ
สิ่งของที่อาจอยู่ในปากไม่สาลักเข้ าปอด
5.
ถ้ ามีเสมหะก็ให้ ดูดเสมหะออก
6.
ช่วยเหลือผู้ป่วยตามอาการอื่น ๆ ต่อไป
สรุป
ภาวะชักเกิดจากหลายสาเหตุ มีอาการรุนแรงมากน้ อยแตกต่างกัน และถ้ าผู้ป่วย
และญาติมีความรู้ ความเข้ าใจในเรื่องของอาการชัก ตลอดจนการดูแลที่ถูกต้ อง
เหมาะสมควบคู่กนั ไปกับการรักษาของแพทย์ จะช่วยให้ ผ้ ูป่วยชักมีการพัฒนาการ
ใกล้ เคียง หรือเหมาะสมกับวัย ช่วยให้ ผ้ ูป่วยและครอบครัวสามารถดาเนินชีวิตตาม
ปกติเป็ นทรัพยากรของชาติท่มี ีคุณภาพต่อไปในอนาคต
หลักการช่วยชีวิตเด็ก
การช่วยชีวิตเป็ นทักษะสาคัญที่พ่อแม่ ครู และผู้เลี้ยงดูเด็กควร
เรียนรู้เกี่ยวกับขั้นตอนพื้นฐานการปฏิบัติการช่วยชีวิต ในกรณีเด็กที่หัวใจ
หยุดทางานหรือหยุดหายใจอย่างทันทีทนั ใด หากได้ รับการช่วยเหลืออย่าง
ทันท่วงทีมีโอกาสที่จะรอดชีวิตได้ วิธกี ารช่วยชีวิตเป็ นเทคนิคพื้นฐานในการ
ช่วยชีวิตยามฉุกเฉินก่อนถึงมือแพทย์เพื่อให้ การรักษาเฉพาะต่อไป
หลักการช่วยชีวิตที่สาคัญมี 3 ข้อ
เปิ ดทางเดินหายใจ จะต้ องเปิ ดให้ ทางเดินหายใจโล่ง โดยการจัดท่าเพื่อ
ไม่ให้ ล้ ินตกมาอุดกั้นทางเดินหายใจ
1.
ช= = เปิ ดทางเดินหายใจ
นอนหงายราบ
เชยคาง ดันหน้ าผาก
หลักการช่วยชีวิตที่สาคัญมี 3 ข้อ
การช่วยหายใจ เมื่อเด็กหยุดหายใจต้ องรีบช่วยการหายใจ โดยการเป่ าลม
เข้ าไปในปอดทันที
2.
= การช่ วยหายใจ
การไหลเวียนของเลือด เมื่อหัวใจหยุดทางาน การไหลเวียนของเลือดไป
เลี้ยงส่วน ต่าง ๆ ก็หยุดไปด้ วย ดังนั้นจึงต้ องช่วยนวดหัวใจ เพื่อช่ วยปั๊มเลือดออกจาก
หัวใจไปเลี้ยงสมองและส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
3.
ขั้นตอนการช่วยชีวิตในเด็ก
1. เขย่าตัวเด็ก เพื่อให้ ทราบว่าเด็กรู้สกึ ตัวหรือไม่ ถ้ าไม่ร้ ูตัวรีบเรียกหรือ
ตะโกนขอความช่วยเหลือทันที ขณะเดียวกันต้ องรีบจัดท่าให้ เด็กนอนหงายบนพื้นราบ
2. เปิ ดทางเดินหายใจให้โล่ง โดยเชยคางขึ้น และจัดให้ ศีรษะแหงนไป
ด้ านหลัง สังเกตและฟังเสียงว่าเด็กมีลมหายใจอยู่หรือไม่ เมื่อเห็นมีส่ิงแปลกปลอมหรือ
เศษอาหารในปากให้ ตะแคงหน้ า และล้ วงเอาสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ออกให้ หมดแล้ วจัด
ท่าเชยคางขึ้นเหมือนเดิม
ท่าเชยคางขึ้ น
คอยสังเกตและฟังเสียงลมหายใจ
3. ถ้ าเด็กไม่หายใจผู้ช่วยเหลือใช้ ปากของตนเอง ครอบปากและ/หรือจมูกของเด็ก
ให้ สนิท แล้ ว เป่ าลม เข้ าทางปากและ/หรือจมูกของเด็ก 2-5 ครั้ง
ในเด็กเล็ก ผู้ช่วยเหลือใช้ ปากของตนครอบปากและจมูกของเด็ก
ในเด็กโต ผู้ช่วยเหลือใช้ มือบีบจมูกของเด็ก แล้ วใช้ ปากของตนครอบเฉพาะปาก
เด็กให้ สนิท
(อย่าลืมจัดท่าเหมือนกับข้อ 2 ไว้ตลอดเวลาทีเ่ ป่ าลม)
การเป่ าลมเข้ าปอดให้ เป่ าเข้ าช้ า ๆ (ครั้งละ 1 – 1.5 วินาที) ติดต่อกัน 2 ครั้ง โดย
ผู้ช่วยเหลือเองต้ องสูดลมหายใจเข้ าให้ เต็มที่ก่อน เพื่อให้ มีลมมากและแรงพอที่จะช่วย
ให้ ทรวงอกของเด็กขยายได้ มากขึ้นหรือได้ ลมพอ ถ้ าในขณะเป่ าลมเข้ าปอดเด็กและ
ทรวงอกของเด็กไม่ขยายขึ้นแสดงว่าอาจมีการอุดตันในทางเดินหายใจของเด็กอยู่ หรือ
อาจเป็ นเพราะเชยคางและหน้ าแหงนไม่ดีพอ ให้ ผ้ ูช่วยเหลือพยายามจัดท่าใหม่ และ
เป่ าลมเข้ าปอดเด็กเต็มที่ติดต่อกัน 2 ครั้งอีก ถ้ าลมยังไม่เข้ าปอดเด็กอีก แสดงว่าอาจมี
สิ่งแปลกปลอมอุดอยู่ ให้ ช่วยเหลือเอาสิ่งแปลกปลอมออก
ในกรณีท่ใี ห้ การช่วยหายใจอย่างเดียว ผู้ช่วยเหลือจะช่วยเป่ าลมเข้ าปอดด้ วยอัตราเฉลี่ย
20 ครั้งต่อนาที (เป่ าลมเข้ าปอดทุก 3 วินาที) ทั้งในเด็กเล็กหรือเด็กโต จนกว่าจะสามารถ
หายใจเองหรือเจ้ าหน้ าที่พยาบาลเข้ ามาช่วยเหลือต่อ
4.
ตรวจการเต้ นของหัวใจโดย คลาชีพจร
ในเด็กเล็ก ให้ ใช้ น้ ิวมือคลาชีพจรบริเวณด้ านในของต้ นแขน
เด็กเล็ก
ในเด็กโต ใช้ น้ ิวมือ 2 – 3 นิ้วคลาชีพจรบริเวณคอด้ านข้ าง โดยเลื่อนนิ้วมือจากลูกกระเดือก
ลงมาที่บริเวณร่องระหว่างลูกกระเดือกกับกล้ ามเนื้อคอ โดยที่อกี มือหนึ่งของผู้ช่วยเหลือ
แหงนศีรษะของเด็กขึ้น ถ้ าชีพจรอ่อน, ช้ า (ต่ากว่า 60 ครั้งต่อนาที) หรือไม่มีชีพจร
ผู้ช่วยเหลือต้ องรีบดาเนินการขั้นต่อไป
เด็กโต
5.
นวดหัวใจ
ในเด็กเล็กอายุนอ้ ยกว่า 1 ปี นวดหัวใจโดยใช้ ปลายนิ้วมือ 2 นิ้วของผู้ช่วยเหลือกด
บริเวณกึ่งกลางกระดูกหน้ าอกเหนือลิ้นปี่ ซึ่งอยู่ต่าจากระดับราวนม 1 นิ้วมือ โดยต้ องกด
ลงไปลึกประมาณ 1/3 – 1/2 ของความหนาของทรวงอกเด็ก ในอัตราความเร็ว 100 ครั้ง
ต่อนาที (โดยนับ 1 และ 2 และ 3 และ 4 และ 5, เป่ ำลม, 1 และ 2 และ 3 และ 4 และ 5,
เป่ ำลม .....) เมื่อให้ การช่วยเหลือประมาณ 1 นาที (20 รอบ) ให้ ประเมินดูว่าเด็กหายใจ
และหัวใจทางานเอง ถ้ าไม่ฟ้ ื นให้ ทาต่อไปตามเดิม ถ้ าเด็กฟื้ นดีให้ นอนตะแคง สังเกต
อาการ และส่งพบแพทย์ต่อไป
เด็กเล็ก
ในเด็กโต (อายุ 1 - 8 ปี ) นวดหัวใจโดยใช้ ส้นมือของผู้ช่วยเหลือกดลงบนกระดูกหน้ า
อกเหนือลิ้นปี่ 2 นิ้วมือ โดยกดลงไปลึกประมาณ 1/3 – 1/2 ของความหนาของทรวงอก
เด็กในอัตราความเร็ว 100 ครั้งต่อนาที
เด็กโต
6. ถ้ าเด็กฟื้ นดีแล้ วจึงจัดท่าให้ เด็กนอนตะแคง เอามือรองแก้ มไม่ให้ หน้ าคว่ามาข้ างหน้ า
มากเกินไป เพราะถ้ าตะแคงคว่ามากเกินไปกะบังลมจะขยับได้ น้อย การจัดท่าพักฟื้ นนี้
ทาได้ หลายแบบ แต่มีหลักว่า ควรเป็ นท่าตะแคงตั้งฉากกับพื้นให้ มากที่สดุ โดยให้
ศีรษะอยู่ต่ากว่าลาตัวเพื่อให้ ทางเดินหายใจโล่ง และของเหลวสามารถไหลออกมาจาก
ปากได้
ในกรณีท่สี งสัยว่ามีการบาดเจ็บที่ศีรษะหรือคอ ไม่ควรจัดท่าใดให้ ผ้ ูหมดสติ
ยกเว้ น ถ้ าไม่ขยับทางเดินหายใจจะไม่เปิ ดโล่ง
การช่วยเหลือในกรณีทีส่ าลักสิง่ แปลกปลอม
เด็กเล็กวัยต่ากว่า 5 ปี มีโอกาสสาลักสิ่งแปลกปลอมได้ มากที่สดุ สิ่งแปลกปลอม
ที่พบบ่อยได้ แก่ พวกเมล็ดถั่ว, เมล็ดผลไม้ , ลูกอมเม็ดเล็ก ๆ หรือ พวกของเล่นชิ้น
เล็ก ๆ
เมื่อใดที่พบว่าเด็กหายใจลาบาก มีอาการไอ สาลัก หรือเขียวอย่างทันทีทนั ใด ให้
สงสัยไว้ ก่อนว่าเด็กอาจสาลักสิ่งแปลกปลอม
วิธีการช่วยเหลือขึ้ นกับว่า “เด็กรูส้ ึกตัวหรือไม่” และ “เด็กมีอายุเท่าใด”
ในกรณีที่เด็กรูต้ วั สงสัยว่าสาลักแน่ ๆ ต้ องกระตุ้นให้ เด็กไอแรง ๆ ออกมา ถ้ าเด็กไอ
ไม่ออกและหายใจลาบากมากขึ้นและ/หรือหายใจเสียงดัง ควรรีบช่วยเหลือดังนี้
ในเด็กเล็กอายุนอ้ ยกว่า 1 ปี จะใช้ วิธตี บหลัง 5 ครั้ง สลับกับการกระแทก
หน้ าอก 5 ครั้ง ดังนี้
ก. วิธีตบหลัง จับให้ เด็กนอนคว่าหัวต่าบนแขนของผู้ช่วยเหลือ แล้ วใช้ ฝ่ามือ
ตบกลางหลังบริเวณระหว่างกระดูกสะบักอย่างแรง ติดต่อกัน 5 ครั้ง แล้ วดูว่าเห็นสิ่ง
แปลกปลอมในปากเด็กหรือไม่ ถ้ าเห็นให้ เอาออก ถ้ าไม่เห็นดาเนินการขั้นต่อไป
(1)
ข. วิธีการกระแทกหน้าอก จับเด็กพลิกกลับหงายบนตักของผู้ช่วยเหลือในท่าศีรษะต่า
แล้ วใช้ น้ ิวมือ 2 นิ้ว กระแทกแรง ๆ ลงบนกระดูกหน้ าอกเหนือลิ้นปี่ 5 ครั้ง แล้ วดูว่า
เห็นสิ่งแปลกปลอมในปากเด็กหรือไม่
ถ้ ายังไม่เห็นให้ ตบหลัง 5 ครั้ง และกระแทกหน้ าอก 5 ครั้ง ติดต่อกันจนกว่าจะเห็นสิ่ง
แปลกปลอมหรือสิ่งแปลกปลอมจะหลุดกระเด็นออกมา หรือไอออกมาให้ เห็น ถ้ า
เด็กเริ่มไม่ร้ สู กึ ตัวให้ ช่วยเหลือแบบเด็กหมดสติไม่ร้ สู กึ ตัว
(2) ในเด็กโต ที่ยังรู้สกึ ตัว จะใช้ วิธีกระแทกท้องใต้ลิ้นปี่ (เฮมลิช)
1. ผู้ช่วยเหลือยืนด้ านหลังของผู้ป่วย แล้ วโอบแขนทั้ง 2 ข้ าง
รัดรอบเอวเด็ก
2. วางกาปั้นมือหนึ่งให้ ด้านหัวแม่มือของผู้ช่วยเหลืออยู่ติดหน้ า
ท้ องบริเวณกึ่งกลางระหว่างลิ้นปี่ และสะดือของเด็ก
3. อีกมือหนึ่งกุมบนกาปั้ นที่วางไว้ แล้ วออกแรงกดอย่างแรง
และเร็วตรงหน้ าท้ องในทิศทางย้ อนดันขึ้นไปทางทรวงอก
ติดต่อกัน 5 ครั้ง
4. ทาต่อแบบเดิมจนกระทั่งเห็นสิ่งแปลกปลอมหลุดกระเด็น
ออกมา หรือ เด็กมีอาการหายใจดีข้ นึ หรือถ้ าเด็กเริ่มไม่
รู้สกึ ตัวให้ ช่วยเหลือแบบเด็กหมดสติไม่ร้ สู กึ ตัวต่อไป
ในกรณีที่เด็กหมดสติไม่รูส้ ึกตัว
ถ้าเป็ นเด็กเล็ก จะใช้ วิธกี ารตบหลังและกระแทกหน้ าอกตามที่กล่าวมาแล้ ว
ช่วยหายใจโดยเป่ าลมเข้ าทางปาก/จมูก ถ้ าในขณะเป่ าลมเข้ าไม่เห็นว่าทรวงอก
ของเด็กขยายขึ้น ก็ให้ จัดท่าศีรษะแหงนเชยคางขึ้นใหม่ เพื่อช่วยเปิ ดทางเดินหายใจแล้ ว
ผู้ช่วยเหลือก็เป่ าลมเข้ าปากอีกครั้ง ถ้ าหากว่ายังทาไม่สาเร็จอีก แสดงว่าสิ่งแปลกปลอม
ยังคงอุดอยู่ในหลอดลม ก็ต้องกลับไปช่วยเอาสิ่งแปลกปลอมออกก่อนโดยการตบหลัง
และกระแทกหน้ าอกแบบเดิมอีก จนกว่าจะสามารถเป่ าลมได้
ถ้าเป็ นเด็กโต ใช้ วิธกี ระแทกท้ องใต้ ล้ ินปี่ (เฮมลิช) ในท่านอนหงาย โดยนั่งคร่อมบน
ขาทั้ง 2 ข้ างของเด็ก ใช้ 2 มือประสานซ้ อนกันเอาส้ นมือวางตรงกลางระหว่างสะดือและ
ลิ้นปี่ แล้ วออกแรงกด ลักษณะแรงที่กดจะต้ องแรงเร็วคล้ ายกระแทก ทิศทางที่กดต้ อง
ไม่เอียงซ้ ายหรือขวา แต่ต้องดันขึ้นมาตรงกลาง โดยจะกดกระแทกติดต่อกัน 6-10 ครั้ง
สังเกตว่ามีส่งิ แปลกปลอมหลุดออกมา
ในปาก หรือสามารถเป่ าลมจนเห็นว่า
ทรวงอกของเด็กยกขึ้นได้ หรือไม่ ถ้ าไม่
เห็นสิ่งแปลกปลอมและไม่สามารถเป่ า
ลมจนทาให้ ทรวงอกยกขึ้นได้ ให้ ทาซา้
จนกว่าจะเป่ าลมได้ สาเร็จ
ข้อควรระวัง คือการเอานิ้วมือล้ วงสิ่งแปลกปลอมออกมาจากลาคอของเด็กนั้น ผู้ช่วยเหลือ
ต้ องเห็นสิ่งแปลกปลอมนั้นเสียก่อน เพราะถ้ าเห็นไม่ชัดแล้ วเอานิ้วมือเข้ าไปล้ วงอาจทาให้
สิ่งแปลกปลอมนั้นพลัดลงไปในหลอดลมอีก ทาให้ ทางเดินหายใจอุดตันอีกครั้ง
ในเด็กที่หมดสติและไม่หายใจ ผู้ช่วยเหลือจะต้ องใช้ น้ ิวมือดันลิ้นและขากรรไกรล่าง
ให้ ยกขึ้น เพื่อไม่ให้ ล้ ินตกไปด้ านหลังคอและทาให้ ทางเดินหายใจเปิ ดกว้ างและช่วยลด
อาการอุดตันไปได้ บ้างและถ้ าเห็นสิ่งแปลกปลอมอุดอยู่ ก็สามารถจะล้ วงออกมาได้
ความผิดพลาดทีพ่ บบ่อยในการช่วยหายใจ
1. ดันหน้ าผากให้ แหงนไม่มากพอ
2. บีบจมูกไม่แน่น
3. ผู้ช่วยเป่ าลมหายใจเข้ าไม่เต็มที่
4. ไม่ดูและฟังผู้ป่วยหายใจออก
5. ประกบปากผู้ป่วยไม่แน่น ทาให้ ลมรั่วออกได้ ในกรณีผ้ ูป่วยเด็กเล็กหรือทารก
ควรประกบทั้งปากและจมูกให้ แน่น
ความผิดพลาดทีพ่ บบ่อยในการนวดหัวใจ
1. ลงนา้ หนักที่หัวเข่าไม่ม่นั คง
2. งอข้ อศอก ทาให้ แขนไม่เหยียดตึง
3. แขนของผู้ช่วยเหลือไม่ต้งั ฉากกับหน้ าอกของผู้ป่วย
4. นิ้วมือจิกหน้ าอกผู้ป่วย
5. ฝ่ ามือไม่ประทับแนบกับหน้ าอกผู้ป่วยตลอดเวลา
6. กดไม่เป็ นจังหวะที่แน่นอนและกระตุก
ผลแทรกซ้อนจากการช่วยชีวิต
ผลแทรกซ้อนจากการช่วยหายใจ
1. ปอดอักเสบจากการสาลักเศษอาหาร อาเจียน ป้ องกันได้ โดย จับผู้ป่วย
นอนตะแคง ล้ วงเอาสิ่งที่อยู่ในช่องปากของผู้ป่วยออกให้ หมดก่อนแล้ วจึงจับผู้ป่วยนอน
หงายเพื่อทาการช่วยเหลือผู้ป่วยต่อไป
2. ท้ องอืด เกิดจากมีลมในกระเพาะอาหารมากเกินไป สาเหตุเกิดจากเป่ าลม
หายใจเข้ าผู้ป่วยเร็วหรือแรงเกินไป และทางเดินหายใจบางส่วนอุดตัน
การป้องกัน
1.
2.
3.
4.
เปิ ดทางเดินหายใจให้ เพียงพอ
เป่ าลมหายใจเข้ าผู้ป่วยแรงเท่าที่จะทาให้ ปอดขยายตัว
เว้ นช่วงจังหวะการหายใจให้ พอดี อย่าเร็วเกินไป
ในเด็ก ให้ ใช้ วิธปี ระกบปาก ครอบทั้งปากและจมูกของเด็ก
ผลแทรกซ้อนจากการกดหน้าอกผูป้ ่ วยไม่ถูกวิธี
1. ทาให้ การช่วยชีวิตไม่ได้ ผลเต็มที่
2. อาจทาให้ ผ้ ูป่วยมีโอกาสเกิดซี่โครงหัก ปอดฉีก หรือตับ ม้ าม แตก
การป้องกัน
1. วางมือให้ ถูกต้ องตรงตาแหน่ง
2. อย่าใช้ น้ ิวจิกบนหน้ าอกผู้ป่วย
3. อย่าวางนิ้วบนซี่โครงผู้ป่วย
4. กดมือลงบนหน้ าอกตรง ๆ และให้ แขนตั้งฉากกับหน้ าอกผู้ป่วย
5. อย่ากดหน้ าอกลึกเกินไป
6. ควรกดหน้ าอกอย่างต่อเนื่อง ทาด้ วยความนุ่มนวล และเป็ นจังหวะ
ระบบบริการส่งต่อหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน
1.
การแจ้ งขอความช่วยเหลือ แจ้ งโดยใช้ โทรศัพท์หมายเลขฉุกเฉิน ดังนี้
1.1 หน่วยแพทย์ก้ ูชีวิต กทม. 1554
1.2
ศูนย์อบุ ัติภัย กทม. 1555
1.3
ศูนย์ส่งกลับและรถพยาบาลกรมตารวจ 1691
1.4
ศูนย์นเรนทร กระทรวงสาธารณสุข 1669
1.5
หน่วยปฏิบัติการพิเศษของตารวจ 191
1.6
หมายเลขโทรศัพท์ของโรงพยาบาลที่ใกล้ ท่เี กิดเหตุ
2. รายละเอียดข้ อมูลที่จาเป็ นต้ องแจ้ ง ในขณะที่ขอความช่วยเหลือ ให้ต้ งั สติให้ดี
พูดให้ ชัดเจน อย่าตื่นเต้ น
2.1 เกิดเหตุอะไร มีผ้ ูบาดเจ็บกี่คน แต่ละคนมีอาการอย่างไร
2.2 สถานที่เกิดเหตุ บอกที่ต้งั หรือจุดที่สงั เกตได้ ง่าย
2.3 ได้ ให้ การช่วยเหลือขั้นต้ นไปแล้ วอย่างไร
2.4 ชื่อผู้แจ้ งที่ขอความช่วยเหลือ และเบอร์โทรศัพท์ท่สี ามารถติดต่อกลับไปได้
2.5 หลังจากแจ้ งขอความช่วยเหลือแล้ วกลับไปให้ การช่วยเหลือตามอาการที่
บาดเจ็บหรือเจ็บป่ วย จนกว่าบุคลากรทางการแพทย์จะเดินทางมาถึงที่
เกิดเหตุ
เอกสารอ้างอิง
1.
Hazinski MF, Chameides L. Instructor’s manual. Pediatric
Basic Life Support. In : Hazinski MF, Chameides L.
American Heart Association, Dallas, Texas, 1997-99.
2. คู่มือการปฐมพยาบาลเบื้องต้ น, สถาบันการแพทย์ด้านอุบัติเหตุและสาธารณภัย
กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พิมพ์ครั้งที่ 3, 2545.
3. หลักสูตรและคู่มือวิทยากรการปฐมพยาบาล ณ จุดเกิดเหตุ กลุ่มควบคุมป้ องกัน
การบาดเจ็บและปัญหาจากสุรา, สานักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค.
บริษัทซินเนียครีเอท จากัด กรุงเทพ 2545.
คณะผูจ้ ดั ทา
1.
2.
3.
4.
5.
6.
7.
8.
9.
10.
11.
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เรณู พุกบุญมี
ที่ปรึกษา
นางสุภารัตน์ ไวยชีตา
ประธาน
นางธิติดา ชัยศุภมงคลลาภ
กรรมการ
นางสาววรรณา คงวิเวกขจรกิจ
กรรมการ
นางอภิญญา สุมนะไพศาล
กรรมการ
อาจารย์อญ
ั ชลี ประเสริฐ
กรรมการ
นางศรีวรรณา ทาสันเทียะ
กรรมการ
นางสาวดวงฤทัย บัวด้ วง
กรรมการ
นางสาวภาวิณี ชาญวิชัย
กรรมการ
นางสาวจิราภรณ์ ปั้นอยู่
กรรมการ
นางสาวศศิธร ไพศาลเจริญพงศ์
กรรมการ