วิธีห้ามจิตไม่ให้คิดอกุศล

Download Report

Transcript วิธีห้ามจิตไม่ให้คิดอกุศล

วิธีห้ามจิตไม่ ให้ คดิ อกศุ ล
ธรรมชาติของจิต ไม่ชอบอยูน่ ิ่ง ชอบนึกคิดไปต่างๆ นานา เช่น
นึกคิดไปในทางกามบ้าง นึกคิดไปในทางอาฆาตพยาบาทบ้าง
การนึกคิดในทางที่ไม่ดีเช่นนี้ เรี ยกว่า อกุศล
วิตก การห้ามจิตไม่ให้นึกคิดในทางอกุศลนั้น ทาได้ยาก
บุคคลส่ วนมากไม่ตอ้ งการคิดในทางอกุศล
แต่มกั จะอดคิดไม่ได้ คิดจนนอนไม่หลับหรื อเป็ นโรคประสาทก็มี
ตรงกันข้าม เมื่อต้องการคิดเรื่ องที่เป็ นบุญเป็ นกุศล
มักจะคิดในทางกุศลไม่ได้นาน
การห้ ามจิตไม่ ให้ คดิ อกุศลจึงเป็ น
เรื่องที่สาคัญ
ในที่นีจ้ ะได้ กล่ าวถึงวิธี
ห้ ามจิตไม่ ให้ คดิ อกุศล ๕ วิธีด้วยกัน
(๑) เมื่อใส่ ใจในอารมณ์ใดอยู่ อกุศลวิตกเกิดขึ้น ก็ให้ใส่ ใจอารมณ์อื่นที่เป็ นกุศลและเป็ น
คู่ปรับกัน เช่น เมื่อนึกคิดไปในทางราคะ ก็ให้หนั มาเจริ ญอสุ ภสัญญา พิจารณาว่า ร่ างกายนี้เป็ นของ
เน่าเปื่ อยไม่สะอาด มีของโสโครกไหลออกอยูเ่ นืองๆ จะหาสิ่ งที่เป็ นแก่นสาร หรื อสิ่ งประเสริ ฐใน
กายนี้ไม่ได้เลย เมื่อมาใส่ ใจอารมณ์อื่นที่เป็ นกุศล คือ อสุ ภสัญญา ย่อมละราคะนี้ได้ ถ้าโลภอยากได้
ข้าวของเงินทองต่างๆ ก็ให้พิจารณาว่าทรัพย์สมบัติเหล่านั้นเป็ นของกลางสาหรับแผ่นดิน ไม่มีใคร
เป็ นเจ้าของที่แท้จริ ง เป็ นเพียงของยืมมาใช้ชวั่ คราว ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ ต้องทิ้งไว้ในโลกให้คน
อื่นใช้ต่อไป เมื่อมาใส่ ใจเรื่ องอื่นที่เป็ นกุศล คือ ความไม่มีเจ้าของและเป็ นของชัว่ คราว ย่อมละความ
โลภในทรัพย์สมบัติได้ ถ้านึกคิดไปในทางเบียดเบียนด้วยอานาจโทสะ ก็พึงเจริ ญเมตตาด้วยการ
ระลึกถึงพุทธพจน์ ที่เป็ นไปเพื่อคลายความอาฆาต เช่น พุทธพจน์ในกกจูปมสู ตร (๑๒/๒๗๒)
ที่วา่
ดูก่อนภิกษุท้ งั หลาย หากจะมีพวกโจรผูม้ ีความประพฤติต่าช้าเอาเลื่อยที่มีที่จบั ทั้งสองข้าง
เลื่อยอวัยวะใหญ่นอ้ ยของพวกเธอ แม้ในเหตุน้ นั ภิกษุมีใจคิดร้ายต่อโจรเหล่านั้น ภิกษุน้ นั ไม่ชื่อว่า
เป็ นผูท้ าตามคาสอนของเรา เพราะเหตุที่อดกลั้นไม่ได้น้ นั ภิกษุท้ งั หลาย แม้ในข้อนั้น พวกเธอพึง
ศึกษาอย่างนี้วา่ จิตของเราจักไม่แปรปรวน เราจักไม่เปล่งวาจาลามก เราจักอนุเคราะห์ดว้ ยสิ่ งที่เป็ น
ประโยชน์ เราจักมีจิตเมตตาไม่มีโทสะภายใน เราจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์ ใหญ่ยงิ่ หาประมาณ
มิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท ไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทาง ซึ่ งเป็ นอารมณ์ของจิตนั้น เมื่อมาใส่ ใจ
อารมณ์อื่นอันเป็ นกุศล คือ เจริ ญเมตตา ย่อมละโทสะได้ เหมือนช่างไม้ผฉู ้ ลาด ใช้ลิ่มอันเล็กตอก
โยก ถอน ลิ่มอันใหญ่ออก ฉะนั้น
(๒) เมื่อใส่ ใจอารมณ์อื่นอันเป็ นกุศล อกุศลวิตกยังเกิดขึ้นเรื่ อยๆ
ก็ควรพิจารณาโทษของอกุศลวิตกว่า ย่อมเป็ นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง
เบียดเบียนผูอ้ ื่นบ้าง เบียดเบียนทั้งตนและผูอ้ ื่นบ้าง ทาให้ปัญญาดับ
ก่อให้เกิดความคับแค้น ให้ผลเป็ นความทุกข์ความเดือดร้อน ไม่เป็ นไปเพื่อ
พระนิพพาน เมื่อพิจารณาโทษอยูอ่ ย่างนี้ ย่อมละอกุศลวิตกนั้นได้ เหมือน
ชายหนุ่มหญิงสาวรู ้วา่ มีซากศพซึ่ งเป็ นของปฏิกลู น่ารังเกียจผูกอยูท่ ี่คอ ย่อม
รี บทิ้งซากศพนั้นโดยเร็ ว
(๓) เมือ่ พิจารณาโทษของอกุศลวิตกนั้นอยู่ อกุศลวิตกยังเกิดขึน้ เรื่อยๆ ก็อย่าใส่ ใจ
อย่ านึกถึงอกุศลวิตกนั้น เมือ่ ไม่ นึกไม่ ใส่ ใจก็ย่อมละอกุศลวิตกนั้นได้ เหมือนบุรุษผู้มจี ักษุ ไม่
ต้ องการเห็นรูปทีผ่ ่ านมา เขาพึงหลับตาเสี ย หรือเหลียวไปทางอืน่ เสี ย
พระโบราณาจารย์ กเ็ คยใช้ วธิ ีนี้ แก้ ความกระวนกระวายของติสสสามเณรทีต่ ้ องการลาสิ กขา
เรื่องมีอยู่ว่า ติสสสามเณร คิดจะลาสิ กขา จึงแจ้ งให้ พระอุปัชฌาย์ ทราบ พระเถระจึงหาวิธี
เบนความสนใจของสามเณร โดยกล่ าวว่ า ในวิหารนีห้ านา้ ได้ ยาก เธอจงพาเราไปทีจ่ ิตตลดา
บรรพต สามเณรก็กระทาตาม พระเถระกล่ าวกับสามเณรอีกว่ า เธอจงสร้ างทีอ่ ยู่ใหม่ ให้ เป็ นทีอ่ ยู่
อาศัยเฉพาะบุคคลหนึ่ง สามเณรก็รับคา แล้ วสามเณรก็เริ่มสิ่ งทั้งสามพร้ อมๆ กัน คือเรียนคัมภีร์
สั งยุตตนิกายตั้งแต่ ต้น การชาระพืน้ ทีท่ เี่ งือ้ มเขา และการบริกรรมเตโชกสิ ณจนถึงอัปปนา เมือ่
เรียนสั งยุตตนิกายจบลงแล้ ว ก็เริ่มทาอยู่ในถา้
เมือ่ ทากิจทั้งปวงเสร็จแล้ ว ก็แจ้ งให้ พระอุปัชฌาย์ ทราบ พระอุปัชฌาย์ กล่ าวว่ า สามเณร ที่
อยู่เฉพาะบุคคล ทีเ่ ธอทาเสร็จนั้นทาได้ ยาก เธอนั่นแหละจงอยู่ สามเณรนั้น เมือ่ อยู่ในถา้ ตลอด
ราตรี ได้ อุตุสัปปายะ จึงยังวิปัสสนาให้ เจริญ แล้ วบรรลุพระอรหัต ปรินิพพานในถา้ นั่นแหละ ชน
ทั้งหลายจึงเอาธาตุของสามเณรก่ อสร้ างพระเจดีย์ไว้ นี่คอื เรื่องของติสสสามเณรทีถ่ ูกพระ
อุปัชฌาย์ เบนความสนใจ ให้ ไปกระทาสิ่ งอืน่ ทีเ่ ป็ นกุศล จนลืมความคิดทีจ่ ะลาสิ กขา เมือ่ ไม่ ใส่ ใจ
ไม่ นึกถึง ความคิดทีจ่ ะลาสิ กขาก็ดบั ไปเอง
(๔) เมือ่ ไม่ นึกถึงไม่ ใส่ ใจในอกุศลวิตกนั้น อกุศลวิตกก็ยงั เกิดขึน้ เรื่อยๆ
ก็ควรใส่ ใจถึงเหตุ ของอกุศลวิตกนั้นว่ า อกุศลวิตกนั้นมีอะไรเป็ นเหตุ มีอะไรเป็ น
ปัจจัย เพราะเหตุไรจึงเกิดขึน้ เมือ่ ค้ นพบเหตุปัจจัยอันเป็ นมูลรากแล้ ว อกุศลวิตก
นั้นย่อมจะเบาบางลง แล้วถึงความดับไปโดยประการทั้งปวง
(๕) เมือ่ ใส่ ใจถึงเหตุแห่ งอกุศลวิตกนั้นอยู่ อกุศลวิตกยังเกิดขึน้ เรื่อยๆ
ก็พงึ กัดฟันด้ วยฟัน ดุนเพดานด้ วยลิน้ ข่ ม บีบคั้น บังคับจิตด้ วยจิต เมือ่ ข่ มจิต
อย่ างนี้ ย่ อมละอกุศลวิตกนั้นเสี ยได้ เหมือนบุรุษผู้มกี าลังมากจับบุรุษผู้มีกาลัง
น้ อยไว้ ได้ แล้วบีบกด เค้ นที่ศรีษะ คอหรือก้านคอไว้ ให้ แน่ น ทาบุรุษนั้นให้ เร่ า
ร้ อน ให้ ลาบาก ให้ สยบ ฉะนั้น (วิตกั กสั ณฐานสู ตร ๑๒/๒๕๖)
วิธีควบคุมอกุศลวิตกทั้ง ๕ วิธีนี้ อาจย่อให้ ส้ั น เพือ่ ให้ จาได้ ง่ายดังนีค้ อื
๑. เปลีย่ นนิมติ หันมาคิดเรื่องทีเ่ ป็ นกุศลและเป็ นคู่ปรับกัน
๒. พิจารณาโทษา พิจารณาโทษของความคิดฝ่ ายชั่ว
๓. อย่าไปสน อย่าสนใจความคิดฝ่ ายชั่ว หางานอืน่ ทา
๔. ค้ นเหตุทคี่ ดิ หาสาเหตุของความคิดฝ่ ายชั่ว
๕. ข่ มจิต เอาฟันกัดฟัน เอาลิน้ กดเพดาน เพือ่ ข่ มจิต
ผู้ทฝี่ ึ กหัดตามวิธีท้งั ๕ นีจ้ นชานาญ ย่ อมควบคุมความคิดของตนได้
เมือ่ ต้ องการความคิดเรื่องใดก็คดิ เรื่องนั้นได้ ไม่ ต้องการคิดเรื่องใดก็เลิกคิด
เรื่องนั้นได้ การควบคุมความคิดได้ ดังใจนึกเช่ นนี้ เป็ นประโยชน์ อย่างมาก
ทั้งทางโลกและทางธรรม