วิวัฒนาการของเทคโนโลยีคอ
Download
Report
Transcript วิวัฒนาการของเทคโนโลยีคอ
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
Hardware
วิวฒั นาการของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
• ยุคที่ 1 ยุคการประมวลผลข้ อมูล (data processing era) มีวตั ถุประสงค์เพื่อการ
คานวณ และการประมวลผล ข้อมูลของงานประจา เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร
• ยุคที่ 2 ยุคระบบสารสนเทศเพือ่ การจัดการ (Management Information
System : MIS) มีการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการตัดสิ นใจ ดาเนินการ ควบคุม ติดตามผล
และวิเคราะห์ผลงานของผูบ้ ริ หารในระดับต่างๆ
• ยุคที่ 3 ยุคทีจ่ ะเน้ นถึงการจัดการทรัพยากรสารสนเทศ (Information Resource
Management) เพื่อเรี ยกใช้สารสนเทศที่จะช่วยในการตัดสิ นใจ นาหน่วยงานไปสู่
ความสาเร็จ
• ยุคปัจจุบนั ยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology : IT) หรื อ ยุค
ไอที ซึ่งความเจริ ญของเทคโนโลยีมีสูงมาก มีการขยายขอบเขตการประมวลผลข้อมูล ไปสู่การ
สร้าง และการผลิตสารสนเทศ ทาให้สามารถสร้างทางเลือก และรู ปแบบใหม่ของสิ นค้า และ
บริ การโดยการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ และระบบการสื่ อสารโทรคมนาคม เป็ นเครื่ องมือช่วยใน
การจัดทาระบบสารสนเทศ และเน้นความคิดของการให้บริ การสารสนเทศแก่ผใู ้ ช้อย่างมี
ประสิ ทธิภาพ เป็ นวัตถุประสงค์สาคัญ
คอมพิวเตอร์
• เป็ นเครื่ องมืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทาหน้าที่รับข้อมูล จัดเก็บ และ
ประมวลผลข้อมูลสารสนเทศต่างๆ
คุณสมบัติของคอมพิวเตอร์
•
•
•
•
ความเร็ว (speed)
ความเชื่อถือ (reliable)
ความถูกต้ องแม่ นยา (accurate)
เก็บข้ อมูลจานวนมาก ๆ ได้ (store massive amounts
of information)
• ย้ ายข้ อมูลจากทีห่ นึ่งไปยังอีกทีหนึ่งได้ อย่ างรวดเร็ว (move
information)
องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์
• ฮาร์ ดแวร์ (Hardware) เป็ นองค์ ประกอบของตัวเครื่องทีส่ ามารถจับต้ องได้
ได้ แก่ วงจรไฟฟ้าในตัวเครื่อง จอภาพ เครื่องพิมพ์ เทป แป้นพิมพ์ เป็ นต้ น
• ซอฟต์ แวร์ (Software) เป็ นกลุ่มคาสั่ ง ซึ่งเรียกว่ าโปรแกรม เพือ่ เป็ นการ
ถ่ ายทอดความคิดของแต่ ละคน เพือ่ สั่ งงานให้ คอมพิวเตอร์ ทางาน
• บุคลากร (People) เป็ นบุคคลทีเ่ กีย่ วข้ องกับการใช้ งานคอมพิวเตอร์
• ข้ อมูล (Data) เป็ นข้ อมูลทีจ่ ะนาเข้ าสู่ คอมพิวเตอร์ เพือ่ ทาการประมวลผลอย่ าง
ใดอย่างหนึ่ง
• ระเบียบข้ อมูล คู่มอื และมาตรฐาน (Procedure) เป็ นการการกาหนดเกณฑ์
ขั้นพืน้ ฐานให้ บุคลากรในหน่ วยงานได้ ถือปฏิบัตริ ่ วมกัน
• ระบบสื่ อสารข้ อมูล (Data Communication) เป็ นระบบการสื่ อสาร
และอุปกรณ์ ทชี่ ่ วยให้ สามารถส่ งข้ อมูลจากคอมพิวเตอร์ เครื่องหนึ่ง ไปยังอีกเครื่อง
หนึ่ง
ก่ อนจะเป็ นคอมพิวเตอร์
ลูกคิด
Napier’s Bones
เครื่องวิเคราะห์ (Analytical Engine)
ของ Charles Babbage
(ซึ่งได้ รับเกียรติเป็ นบิดาของคอมพิวเตอร์ )
ยุคของคอมพิวเตอร์
• ยุคที่ 1 (พ.ศ. 2497-2501) ใช้ หลอดสู ญญากาศเป็ น
อุปกรณ์ สาคัญ สื่ อทีใ่ ช้ บันทึกข้ อมูลสารองคือ บัตรเจาะรู
ได้ แก่ เครื่อง Mark I ENIAC UNIVAC
บัตรเจาะรู (Punched card)
Mark I
Harvard Mark I Computer
ENIAC
UNIVAC
• ยุคที่ 2 (พ.ศ. 2502-2507) ใช้ ทรานซิสเตอร์ แทนหลอด
สุ ญญากาศ
• ยุคที่ 3 (พ.ศ. 2508-2513) ใช้ แผงวงจร
รวม (Integrated Circuits
หรือ IC) ซึ่งสามารถทางานเทียบเท่ ากับ
ทรานซิสเตอร์ หลายร้ อยตัวรวมกัน ทาให้
คอมพิวเตอร์ มีขนาดเล็กลงกว่ าเดิม
ใช้ พลังงานน้ อยลงและมีความร้ อนน้ อยลง
แต่ มีความเร็วเพิม่ มากขึน้ และมีราคาถูกลง
เครื่องมือในการจัดเก็บข้ อมูล
• ยุคที่ 4 (พ.ศ. 2514-2523) พัฒนาแผงวงจร
รวมมาเป็ นแผงวงจรขนาดใหญ่ ทาให้ เกิดไมโคร
โพรเซสเซอร์ (Microprocessor)
หรือชิป (Chip) ตัวแรกของโลก คือ Intel
4004
• ยุคที่ 5 (พ.ศ. 2524-2543) ใช้ วงจร VLSI (very Large
เป็ นการพัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ ให้ มี
ประสิ ทธิภาพมากยิง่ ขึน้ มีการพัฒนารูปแบบการโต้ ตอบและ แสดงผล
ทางหน้ าจอเพือ่ ให้ ดูง่ายขึน้ มีการพัฒนาเครือข่ ายคอมพิวเตอร์ ความเร็ว
สู ง
Scale Integration)
• ยุคที่ 6 (พ.ศ.2543-ปัจจุบัน) ทาให้ คอมพิวเตอร์ มีเชาว์ปัญญา
คล้ายมนุษย์ สามารถตัดสิ นใจเลียนแบบการใช้ เหตุผลของมนุษย์
เรียกว่ า “ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence หรือ
AI)”
องค์ประกอบของระบบปัญญาประดิษฐ์
• 1. ระบบหุ่นยนต์ หรื อแขนกล (Robotics or Robotarm
System) คือหุ่นจาลองร่ างกายมนุษย์ที่ควบคุมการทางานด้วย
เครื่ องคอมพิวเตอร์ มีจุดประสงค์เพื่อให้ทางานแทนมนุษย์ในงานที่
ต้องการความเร็ ว หรื อเสี่ ยงอันตราย เช่น แขนกลในโรงงาน
อุตสาหกรรม หรื อหุ่นยนต์กรู้ ะเบิด เป็ นต้น
• 2. ระบบประมวลภาษาพูด (Natural Language
Processing System) คือ การพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์
สามารถสังเคราะห์เสี ยงที่มีอยูใ่ นธรรมชาติ (Synthesize) เพื่อสื่ อ
ความหมายกับมนุษย์ เช่น เครื่ องคิดเลขพูดได้ (Talking
Calculator) หรื อนาฬิกาปลุกพูดได้ (Talking Clock)
เป็ นต้น
• 3. การรู ้จาเสี ยงพูด (Speech Recognition
System) คือ การพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์เข้าใจภาษามนุษย์
และสามารถจดจาคาพูดของมนุษย์ได้อย่างต่อเนื่อง กล่าวคือเป็ นการ
พัฒนาให้เครื่ องคอมพิวเตอร์ทางานได้ดว้ ยภาษาพูด เช่น งานระบบรักษา
ความปลอดภัย งานพิมพ์เอกสารสาหรับผูพ้ ิการ เป็ นต้น
• 4. ระบบผูเ้ ชี่ยวชาญ (Expert System) คือ การพัฒนาให้
ระบบคอมพิวเตอร์มีความรู ้ รู ้จกั ใช้เหตุผลในการวิเคราะห์ปัญหา โดยใช้
ความรู ้ที่มี หรื อจากประสบการณ์ในการแก้ปัญหาหนึ่ง ไปแก้ไขปัญหา
อื่นอย่างมีเหตุผล ระบบนี้จาเป็ นต้องอาศัยฐานข้อมูล (Database)
ซึ่งมนุษย์ผมู ้ ีความรู ้ความสามารถเป็ นผูก้ าหนดองค์ความรู ้ไว้ใน
ฐานข้อมูลดังกล่าว เพื่อให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถวิเคราะห์ปัญหา
ต่างๆ ได้จากฐานความรู ้น้ นั เช่น เครื่ องคอมพิวเตอร์วิเคราะห์โรค หรื อ
เครื่ องคอมพิวเตอร์ทานายโชคชะตา เป็ นต้น
ประเภทของคอมพิวเตอร์ เมื่อแบ่งตามหลักการประมวลผล
• คอมพิวเตอร์แบบแอนะล็อก (Analog Computer)
• คอมพิวเตอร์แบบดิจิทลั (Digital Computer)
• คอมพิวเตอร์แบบลูกผสม (Hybrid Computer)
Analog Computer
• หมายถึง เครื่ องมือประมวลผลข้อมูลที่อาศัยหลักการวัด (Measuring
Principle) ทางานโดยใช้ขอ้ มูลที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบต่อเนื่อง
(Continuous Data) แสดงออกมาในลักษณะสัญญาณที่เรี ยกว่า
Analog Signal เครื่ องคอมพิวเตอร์ ประเภทนี้มกั แสดงผลด้วยสเกล
หน้าปั ทม์ และเข็มชี้ เช่น การวัดค่าความยาว โดยเปรี ยบเทียบกับสเกลบนไม้
บรรทัด การวัดค่าความร้อนจากการขยายตัวของปรอทเปรี ยบเทียบกับสเกลข้าง
หลอดแก้ว
• นอกจากนี้ยงั มีตวั อย่างของ Analog Computer ที่ใช้การประมวลผล
แบบเป็ นขั้นตอน เช่น เครื่ องวัดปริ มาณการใช้น้ าด้วยมาตรวัดน้ า ทีเ่ ปลี่ยนการไหล
ของน้ าให้เป็ นตัวเลขแสดงปริ มาณ อุปกรณ์วดั ความเร็ วของรถยนต์ในลักษณะเข็ม
ชี้ หรื อเครื่ องตรวจคลื่นสมองที่แสดงผลเป็ นรู ปกราฟ เป็ นต้น
Digital Computer
• คือคอมพิวเตอร์ ที่ใช้ในการทางานทัว่ ๆ ไป เป็ นเครื่ องมือประมวลผลข้อมูลที่อาศัย
หลักการนับ ทางานกับข้อมูลที่มีลกั ษณะการเปลี่ยนแปลงแบบไม่ต่อเนื่อง
(Discrete Data) ในลักษณะของสัญญาณไฟฟ้ า หรื อ Digital
Signal อาศัยการนับสัญญาณข้อมูลที่เป็ นจังหวะด้วยตัวนับ (Counter)
ภายใต้ระบบฐานเวลา (Clock Time) มาตรฐาน ทาให้ผลลัพธ์เป็ นที่
น่าเชื่อถือ ทั้งสามารถนับข้อมูลให้ค่าความละเอียดสู ง เช่นแสดงผลลัพธ์เป็ น
ทศนิยมได้หลายตาแหน่ง เป็ นต้น
• เนื่องจาก Digital Computer ต้องอาศัยข้อมูลที่เป็ นสัญญาณไฟฟ้ า
(มนุษย์สัมผัสไม่ได้) ทาให้ไม่สามารถรับข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต้นทางได้โดยตรง
จึงจาเป็ นต้องเปลี่ยนข้อมูลต้นทางที่รับเข้า (Analog Signal) เป็ น
สัญญาณไฟฟ้ า (Digital Signal) เสี ยก่อน เมื่อประมวลผลเรี ยบร้อยแล้วจึง
เปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้ ากลับไปเป็ น Analog Signal เพื่อสื่ อความหมายกับ
มนุษย์ต่อไป
Hybrid Computer
• เครื่ องประมวลผลข้อมูลที่อาศัยเทคนิคการทางานแบบผสมผสาน
ระหว่าง Analog Computer และ Digital
Computer โดยทัว่ ไปมักใช้ในงานเฉพาะกิจ โดยเฉพาะงานด้าน
วิทยาศาสตร์ เช่น เครื่ องคอมพิวเตอร์ในยานอวกาศ ที่ใช้ Analog
Computer ควบคุมการหมุนของตัวยาน และใช้ Digital
Computer ในการคานวณระยะทาง เป็ นต้น
ประเภทของคอมพิวเตอร์ตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน
• เครื่องคอมพิวเตอร์ เพือ่ งานเฉพาะกิจ (Special Purpose
Computer)
• เครื่องคอมพิวเตอร์ เพือ่ งานอเนกประสงค์ (General
Purpose Computer)
Special Purpose Computer
• หมายถึง เครื่ องประมวลผลข้อมูลที่ถูกออกแบบตัวเครื่ องและ
โปรแกรมควบคุม ให้ทางานอย่างใดอย่างหนึ่งเป็ นการเฉพาะ
(Inflexible) โดยทัว่ ไปมักใช้ในงานควบคุม หรื องานอุตสาหกรรม
ที่เน้นการประมวลผลแบบรวดเร็ ว เช่นเครื่ องคอมพิวเตอร์ควบคุม
สัญญาณไฟจราจร คอมพิวเตอร์ควบคุมลิฟท์ หรื อคอมพิวเตอร์ควบคุม
ระบบอัตโนมัติในรถยนต์ เป็ นต้น
General Purpose Computer
• หมายถึง เครื่ องประมวลผลข้อมูลที่มีความยืดหยุน่ ในการทางาน
(Flexible) โดยได้รับการออกแบบให้สามารถประยุกต์ใช้ในงาน
ประเภทต่างๆ ได้โดยสะดวก โดยระบบจะทางานตามคาสัง่ ในโปรแกรม
ที่เขียนขึ้นมา และเมื่อผูใ้ ช้ตอ้ งการให้เครื่ องคอมพิวเตอร์ทางานอะไร ก็
เพียงแต่ออกคาสัง่ เรี ยกโปรแกรมที่เหมาะสมเข้ามาใช้งาน โดยเรา
สามารถเก็บโปรแกรมไว้หลายโปรแกรมในเครื่ องเดียวกันได้ เช่น
ในขณะหนึ่งเราอาจใช้เครื่ องนี้ในงานประมวลผลเกี่ยวกับระบบบัญชี
และในขณะหนึ่งก็สามารถใช้ในการออกเช็คเงินเดือนได้ เป็ นต้น
ประเภทของคอมพิวเตอร์ตามความสามารถของระบบ
•
•
•
•
ซุปเปอร์ คอมพิวเตอร์ (Super Computer)
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe Computer)
มินิคอมพิวเตอร์ (Mini Computer)
ไมโครคอมพิวเตอร์ (Micro Computer)
Super Computer
• หมายถึง เครื่ องประมวลผลข้อมูลที่มีความสามารถในการประมวลผลสู ง
ที่สุด โดยทัว่ ไปสร้างขึ้นเป็ นการเฉพาะเพื่องานด้านวิทยาศาสตร์ที่
ต้องการการประมวลผลซับซ้อน และต้องการความเร็ วสูง เช่น งานวิจยั
ขีปนาวุธ งานโครงการอวกาศสหรัฐ (NASA) งานสื่ อสารดาวเทียม
หรื องานพยากรณ์อากาศ เป็ นต้น
Mainframe Computer
• หมายถึง เครื่ องประมวลผลข้อมูลที่มีส่วนความจาและความเร็ วน้อยลง สามารถใช้
ข้อมูลและคาสัง่ ของเครื่ องรุ่ นอื่นในตระกูล (Family) เดียวกันได้ โดยไม่ตอ้ ง
ดัดแปลงแก้ไขใดๆ นอกจากนั้นยังสามารถทางานในระบบเครื อข่าย
(Network) ได้เป็ นอย่างดี โดยสามารถเชื่อมต่อไปยังอุปกรณ์ที่เรี ยกว่า เครื่ อง
ปลายทาง (Terminal) จานวนมากได้ สามารถทางานได้พร้อมกันหลายงาน
(Multi Tasking) และใช้งานได้พร้อมกันหลายคน (Multi User) ปกติ
เครื่ องชนิดนี้นิยมใช้ในธุรกิจขนาดใหญ่ มีราคาตั้งแต่สิบล้านบาทไปจนถึงหลาย
ร้อยล้านบาท ตัวอย่างของเครื่ องเมนเฟรมที่ใช้กนั แพร่ หลายก็คือ คอมพิวเตอร์ของ
ธนาคารที่เชื่อมต่อไปยังตู ้ ATM และสาขาของธนาคารทัว่ ประเทศนัน่ เอง
Mini Computer
• ธุรกิจและหน่วยงานที่มีขนาดเล็กไม่จาเป็ นต้องใช้คอมพิวเตอร์ขนาด
เมนเฟรมซึ่งมีราคาแพง ผูผ้ ลิตคอมพิวเตอร์จึงพัฒนาคอมพิวเตอร์ให้มี
ขนาดเล็กและมีราคาถูกลง เรี ยกว่า เครื่ องมินิคอมพิวเตอร์ โดยมีลกั ษณะ
พิเศษในการทางานร่ วมกับอุปกรณ์ประกอบรอบข้างที่มีความเร็วสูงได้
มีการใช้แผ่นจานแม่เหล็กความจุสูงชนิดแข็ง (Harddisk) ในการ
เก็บรักษาข้อมูล สามารถอ่านเขียนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ ว หน่วยงานและ
บริ ษทั ที่ใช้คอมพิวเตอร์ขนาดนี้ ได้แก่ กรม กอง มหาวิทยาลัย
ห้างสรรพสิ นค้า โรงแรม โรงพยาบาล และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ
Micro Computer
• หมายถึง เครื่ องประมวลผลข้อมูลขนาดเล็ก มีส่วนของหน่วยความจา
และความเร็ วในการประมวลผลน้อยที่สุด สามารถใช้งานได้ดว้ ยคนเดียว
จึงมักถูกเรี ยกว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal
Computer : PC)
• ปัจจุบนั ไมโครคอมพิวเตอร์มีประสิ ทธิภาพสูงกว่าในสมัยก่อนมาก อาจ
เท่ากับหรื อมากกว่าเครื่ องเมนเฟรมในยุคก่อน นอกจากนั้นยังราคาถูกลง
มาก ดังนั้นจึงเป็ นที่นิยมใช้มาก ทั้งตามหน่วยงานและบริ ษทั ห้างร้าน
ตลอดจนตามโรงเรี ยน สถานศึกษา และบ้านเรื อน บริ ษทั ที่ผลิต
ไมโครคอมพิวเตอร์ออกจาหน่ายจนประสบความสาเร็ จเป็ นบริ ษทั แรก
คือ บริ ษทั แอปเปิ ลคอมพิวเตอร์
เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ จาแนกออกได้ เป็ น 2 ประเภท
• แบบติดตั้งใช้งานอยูก่ บั ที่บนโต๊ะทางาน (Desktop
Computer)
• แบบเคลื่อนย้ายได้ (Portable Computer) สามารถพกพาติด
ตัว อาศัยพลังงานไฟฟ้ าจากแบตเตอรี่ จากภายนอก ส่ วนใหญ่มกั เรี ยกตาม
ลักษณะของการใช้งานว่า Laptop Computer หรื อ
Notebook Computer
องค์ ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์
•
•
•
•
•
ฮาร์ดแวร์ (Hardware)
ซอฟต์แวร์ (Software)
บุคลากร (Peopleware)
ข้อมูลและสารสนเทศ (Data / Information)
กระบวนการทางาน (Procedure)
Hardware
• หมายถึง อุปกรณ์ต่างๆ ที่ประกอบขึ้นเป็ นเครื่ องคอมพิวเตอร์ เป็ นโครง
ร่ างสามารถมองเห็นด้วยตาและสัมผัสได้ (รู ปธรรม) เช่น จอภาพ
คียบ์ อร์ด เครื่ องพิมพ์ เมาส์ เป็ นต้น
• หมายถึง ลักษณะทางกายของเครื่ องคอมพิวเตอร์ ซึ่งหมายถึงตัวเครื่ อง
คอมพิวเตอร์ และ อุปกรณ์รอบข้าง (peripheral) ที่เกี่ยวข้อง เช่น
ฮาร์ดดิสก์ เครื่ องพิมพ์ เป็ นต้น
องค์ ประกอบของฮาร์ ดแวร์
• หน่วยรับข้อมูล ( input unit )
• หน่วยประมวลผลกลาง ( central processor unit )
หรื อ CPU
• หน่วยความจาหลัก (memory unit)
• หน่วยแสดงผลลัพธ์ (output unit )
• หน่วยเก็บข้อมูลสารอง (secondary storage unit )
• หน่ วยรับข้ อมูล เป็ นอุปกรณ์ที่ใช้สาหรับรับข้อมูลต่างๆ เข้าสู่
คอมพิวเตอร์ จากนั้น หน่ วยประมวลผลกลาง จะนาไป
ประมวลผล และแสดงผลลัพธ์ที่ได้ออกมากให้ผใู ้ ช้รับทราบทาง
หน่ วยแสดงผลลัพธ์
• หน่ วยความจาหลัก จะทาหน้าที่เสมือนเก็บข้อมูลชัว่ คราวที่มี
ขนาดไม่สูงมากนัก การที่ฮาร์ดแวร์จะทาหน้าที่ได้มีประสิ ทธิ ภาพ
นั้น ขึ้นอยูก่ บั โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ ส่ วนการทางานได้มาก
น้อยเพียงใด จะขึ้นอยูก่ บั หน่วยความจาหลักของเครื่ องนั้น ๆ ข้อเสี ย
ของหน่วยความจาหลักคือ หากปิ ดเครื่ องคอมพิวเตอร์ที่อยูใ่ น
หน่วยความจาหลักจะหายไป ในขณะที่ขอ้ มูลอยูท่ ี่หน่ วยเก็บ
ข้ อมูลสารอง จะไม่สูญหายตราบเท่าที่ผใู้ ช้ไม่ทาการลบข้อมูลนั้น
รวมทั้งหน่วยเก็ยข้อมูลสารองยังมีความจุที่สูงมาก จึงเหมาะสาหรับ
การเก็บข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ หรื อเก็บข้อมูลไว้ใช้ในภายหลัง ข้อเสี ย
ของหน่วยเก็บข้อมูลสารองคือการเรี ยกใช้ขอ้ มูลจะช้ากว่า
หน่วยความจาหลักมาก
หน่วยรับข้อมูล
เมาส์ (mouse)
คีย์บอร์ ด (keyboard)
อุปกรณ์ สแกนลายนิว้ มือ
(finger scan)
สแกนเนอร์ (scanner)
ไมโครโฟน (microphone)
กล้องเว็บแคม (webcam)
ส่ วนประมวลผลข้อมูล
(Central Processing Unit)
• เป็ นส่ วนที่ทาหน้าที่ในการประมวลผลข้อมูลที่รับมาจาก ส่ วนรับข้ อมูล
(Input Unit) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ตอ้ งการ อีกทั้งยังทาหน้าที่
ในการควบคุมการทางานต่างๆ ภายในเครื่ องคอมพิวเตอร์
หน่วยแสดงผล (Output Unit)
• เป็ นหน่วยที่แสดงผลลัพธ์ที่มาจากการประมวลผลข้อมูล ของส่วน
ประมวลผลข้อมูล โดยปกติรูปแบบของการแสดงผล
• มีอยู่ 2 แบบ ด้วยกันคือ แบบที่สามารถเก็บไว้ดูภายหลังได้ และแบบที่
ไม่มีสาเนาเก็บไว้
แบบที่สามารถเก็บไว้ดูภายหลังได้
Dot Matrix Printer
Inkjet Printer
Laser Printer
Plotter
แบบที่ไม่มีสาเนาเก็บไว้
หน่ วยความจาหลัก
• หน่ วยความจาหลักแบบอ่านได้ อย่ างเดียว (Read Only
Memory : ROM)
• หน่ วยความจาหลักแบบแก้ไขได้ (Random Access
Memory : RAM)
ROM
• คือ หน่วยความจาที่เก็บชุดคาสัง่ ที่ใช้ในการเริ่ มต้นการทางานหรื อ
ชุดคาสัง่ ที่สาคัญ ๆ ของระบบคอมพิวเตอร์ โดยคาสัง่ ทีใ่ ช้ในชิปชื่อ
ROM BIOS (Basic Input/Output System)
เนื่องจากรอมมีคุณสมบัติในการเก็บข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ตอ้ งใช้ไฟฟ้ า
หล่อเลี้ยง นัน่ คือ แม้จะปิ ดเครื่ องแล้วเมื่อเปิ ดเครื่ องใหม่ขอ้ มูลในรอมก็
ยังอยูเ่ หมือนเดิม แต่ขอ้ เสี ยของรอมคือหน่วยความจาชนิดนี้ไม่สามารถ
แก้ไขหรื อเพิ่มเติมชุดคาสัง่ ได้ในภายหลัง รวมทั้งมีความเร็ วในการ
ทางานช้ากว่าหน่วยความจาแบบแรม
RAM
• หมายถึงหน่วยความจาความเร็ วสูงซึ่ง เป็ นที่เก็บโปรแกรมและข้อมูลใน
คอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มีหน่วยความจานี้โปรเซสเซอร์กจ็ ะทางานไม่ได้เลย
เนื่องจากหน่วยความจาแรมเป็ นเสมือนกระดาษทด ที่เก็บข้อมูลทุกอย่าง
ที่โปรเซสเซอร์ใช้ในขณะกาลังทางานอยู่ เพราะอุปกรณ์ทเี่ ก็บข้อมูลอื่น
เช่น ดิสก์ไดรฟ์ จะมีความเร็ วในการอ่านและบันทึกข้อมูลช้ามาก ขณะที่
ซีพียทู างานจึงต้องทางานกับหน่วยความจาแรมที่มีความเร็วสูงเสมอ
• โดยปกติแล้วถ้าคอมพิวเตอร์มีหน่วยความจามากก็สามารถทางานได้เร็ ว
ขึ้น เพราะมีเนื้อที่สาหรับเก็บคาสัง่ โปรแกรมต่าง ๆ ได้ท้ งั หมด ไม่ตอ้ ง
เรี ยกคาสัง่ ที่ใช้มาจากหน่วยเก็บข้อมูลสารอง ซึ่งจะทาให้การทางานช้า
ลงอย่างมาก แผงวงจรหลัก (main board) ที่อยูใ่ นเครื่ อง
คอมพิวเตอร์ โดยปกติจะถูกออกแบบมาให้สามารถเพิ่ม ชิป
หน่วยความจา (memory chip) ได้โดยง่าย เนื่องจากถ้าผูใ้ ช้ตอ้ ง
ทางานกับโปรแกรมที่มีการคานวณซับซ้อนหรื อทางานกับภาพกราฟิ ก ก็
อาจจาเป็ นต้องทาการเพิ่มหน่วยความจาให้มากขึ้น
หน่วยเก็บข้อมูลสารอง
(Secondary Storage Unit)
• เทป (Tape)
• จานแม่ เหล็ก (Magnetic Disk)
• ออปติคลั ดิสก์ (Optical Disk)
เทป (Tape)
• เทปแม่ เหล็ก
(Megnetic Tape)
ม้ วนเทป
เครื่องอ่ านม้ วนเทป
คาร์ ทริดจ์ เทปและตลับเทป
จานแม่เหล็ก (Magnetic Disk)
• ฟลอปปี ดิสก์ และดิสก์ไดรฟ์
– ฟลอปปี ดิสก์ เป็ นแผ่นพลาสติกวงกลม มีขนาด 3.5 นิ้ว และ 5.25 นิ้ว (วัด
จากเส้นรอบวงของวงกลม) สามารถอ่านได้ดว้ ยดิสก์ไดรฟ์ (ปัจจุบนั แทบจะ
เลิกใช้ไปแล้ว)
ฮาร์ดดิสก์ (Harddisk)
• ทามาจากแผ่ นโลหะแข็ง เรียกว่ า platters ทาให้ สามารถเก็บข้ อมูล
ได้ มากและทางานได้ รวดเร็ว ฮาร์ ดดิสก์ส่วนมากจะถูกยึดติดอยู่ภายใน
เครื่องคอมพิวเตอร์ แต่ กม็ ีบางรุ่นทีเ่ ป็ นแบบ เคลือ่ นย้ ายได้
(removeable diak)
• ฮาร์ ดดิสก์ทนี่ ิยมใช้ กบั เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ในปัจจุบัน จะ
ประกอบด้ วยจานแม่ เหล็กหลาย ๆแผ่ น และสามารถบันทึกข้ อมูลได้ท้งั
สองหน้ าของผิวจานแม่ เหล็ก โดยทีท่ ุกแทรก (track) และเซกเตอร์
(sector) ทีม่ ีตาแหน่ งตรงกันของฮาร์ ดดิสก์ชุดหนึ่งจะเรียกว่ า ไซลิน
เตอร์ (cylinder)
• แผ่นจานแม่เหล็กของฮาร์ดดิสก์น้ นั หมุนเร็ วมาก โดยที่หวั อ่านและ
บันทึกจะไม่สมั ผัสกับผิวของแผ่นจานแม่เหล็ก
• การที่ฮาร์ดดิสก์มีประสิ ทธิภาพและความจุที่สูง เนื่องจากฮาร์ดดิสก์หนึ่ง
ชุดประกอบด้วยแผ่นจานแม่เหล็กจานวนหลายแผ่นทาให้เก็บข้อมูลได้
มากกว่าฟลอบปี ดิสก์
ออปติคลั ดิสก์ (Optical Disk)
• มีหลักการทางานคล้ายกับการเล่นซีดี (CD) เพลง คือ ใช้เทคโนโลยี
ของแสงเลเซอร์ ทาให้สามารถเก็บข้อมูลได้จานวนมากมหาศาลในราคา
ไม่แพงมากนัก
ซีดีรอม (CD-ROM หรื อ Compact Disk
Read Only Memory)
• แผ่นซีดีรอมจะมีลกั ษณะคล้ายซีดีเพลงมาก สามารถเก็บข้อมูลได้สูงถึง
650-700 เมกะไบต์ต่อแผ่น
• การใช้งานแผ่นซีดีรอมจะต้องมีเครื่ องคอมพิวเตอร์ที่มีซีดีรอมไดร์ฟ
(CD-ROM Drive) ซึ่งจะมีหลายชนิดขึ้นกับความเร็ วในการ
ทางาน
ดีวดี ี (DVD หรื อ Digital Versatile Disk)
• เป็ นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุ ดที่มีแนวโน้ม จะได้รับความนิยมสูงสุ ด โดย
แผ่นดีวีดีสามารถเก็บข้อมูลได้ต่าสุ ดที่ 4.7 จิกะไบต์ ซึ่งเพียงพอ
สาหรับเก็บภาพยนตร์เต็มเรื่ องด้วยคุณภาพระดับสูงสุ ดทั้งภาพและ เสี ยง
Handy Drive, Flash Drive, Thumb Drive
Memory card