บทที่ 7 กฎหมายและจริยธรรมในการใช้คอมพิวเตอร์

Download Report

Transcript บทที่ 7 กฎหมายและจริยธรรมในการใช้คอมพิวเตอร์

LOGO
GESC103
Information Technology for Life
Name: Teacher / Contact
เนื้อหาการเรี ยนรู้
 กฎหมายเบื้องต้น
 ลาดับขั้นกฎหมาย
 ที่มาของกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ
 กฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา
 จริ ยธรรม กฎหมายและจรรยาบรรณ
 หลักเกณฑ์การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์
 พระราชบัญญัติวา่ ด้วยการกระทาความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
1. กฎหมายเบื้องต้น
กฎหมาย หมายถึง คาสิ่ งหรือขอบั
้ งคับของรัฐ ซึง่
บัญญัติข้ ึนเพื่อใช้ควบคุมความประพฤติของบุคคลซึ่งอยูใ่ นรัฐหรื อในประเทศ
ของตน หากผูใ้ ดฝ่ าฝื นไม่ประพฤติปฏิบตั ิตาม ก็จะมีความผิดและถูกลงโทษ
หรื อได้รับผลเสี ยหายนั้นด้วย และได้มีผใู ้ ห้ความหมายของกฎหมายไว้ดงั นี้
กรมหลวงราชบุรดี ิเรกฤทธิ์ พระบิดาแห่งกฎหมายไทย
"กฎหมาย คือ คาสัง่ ทั้งหลายของผูป้ กครองว่าการแผ่นดินต่อราษฏรทั้งหลาย
เมื่อไม่ทาตาม ธรรมดาต้องลงโทษ"
1.1 ลักษณะของกฎหมายเป็ นข้อบังคับแบ่งได้เป็ น 2 ลักษณะคือ
1. บังคับไม่ให้กระทา เช่น ห้ามลักทรัพย์ ห้ามทาร้ายร่ างกาย ห้ามเสพ
สิ่ งเสพย์ติด
2. บังคับให้กระทา เช่น ประชาชนชาวไทยเมื่อมีอายุ 15 ปี ต้องมีบตั ร
ประจาตัวประชาขน ผูม้ ีรายได้ตอ้ งเสี ยภาษีอากร เป็ นต้น
1.2 บทลงโทษแก่ผฝู ้ ่ าฝื น ได้แก่
1. ความผิดทางอาญากาหนดโทษไว้ 5 สถาน คือ ประหารชีวิต จาคุก กักขัง
ปรับและริ บทรัพย์สิน
2. วิธีการเพื่อความปลอดภัย เป็ นมาตรการเพื่อให้สังคมปลอดภัยจากการกระทา
ของผูก้ ระทาผิดที่ติดเป็ นนิสยั ไม่มีความเข็ดหลาบ ตามประมวลกฎหมายอาญา
กาหนดไว้ 5 ประการ คือ การกักกัน ห้ามเข้าเขตกาหนด เรี ยกประกันทัณฑ์บน
คุมตัวไว้ในสถานพยาบาล และห้ามประกอบอาชีพบางอย่าง
3. กฎหมายต้องมาจากรัฏฐาธิปัตย์ คือ กฎหมายที่บญั ญัติออกมาต้องมาจากรัฐที่
มีเอกราช
1.2 บทลงโทษแก่ผฝู ้ ่ าฝื น ได้แก่ (ต่อ)
4. พนักงานของรัฐเป็ นผูบ้ งั คับให้เป็ นไปตามกฎหมาย หมายความว่า เมือ่ มีการ
กระทาผิดที่ฝ่าฝื นกฎหมาย จะมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็ นผูด้ าเนิ นการลงโทษ
ผูก้ ระทาผิด ผูเ้ สี ยหายจะแก้แค้นหรื อลงโทษกันเองไม่ได้บุคคลเหล่านี้ได้แก่
เจ้าหน้าที่ตารวจ ผูพ้ ิพากษา เป็ นต้น
2. ลาดับขั้นกฎหมาย
- กฎหมายรัฐธรรมนูญ
- พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)
- ประมวลกฎหมาย
- พระราชกาหนด (พ.ร.ก.)
- พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.)
2. ลาดับขั้นกฎหมาย (ต่อ)
- กฎกระทรวง
- ประกาศ ระเบียบ ข้อบังคับ และคาสัง่
- กฎหมายที่ออกโดยองค์กรปกครองตนเอง
3.ที่มาของกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ
แต่เดิม กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศมี 6 ฉบับ ได้แก่
กฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
กฎหมายลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์
กฎหมายการกระทาความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
กฎหมายการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
กฎหมายการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
การเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศอย่างทัว่ ถึงและเท่าเทียมกัน
3.ที่มาของกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ
ต่อมา จึงไดรวมเอากฎหมายธุ
รกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และกฎหมาย
้
ว่าด้วยลายมือชื่อิเล็กทรอนิกส์ผนวกเข้าไว้เป็ นฉบับเดียวกัน ดังนั้นกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ
ของไทยในปั จจุบนั จึงมีท้ งั สิ้ น 5 ฉบับ ได้แก่
1. พระราชบัญญัติวา่ ด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544
2. พระราชบัญญัติวา่ ด้วยการกระทาความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
3. ร่ างพระราชบัญญัติวา่ ด้วย ร่ างพระราชบัญญัติวา่ ด้วยการคุม้ ครองข้อมูลส่ วนบุคคล พ.ศ…
4. ร่ างพระราชบัญญัติวา่ ด้วยการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ… และ
5. ร่ างพระราชบัญญัติวา่ ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ
จากข้างต้นก็จะเห็นได้วา่ ในปั จจุบนั มีกฎหมายเกี่ยวกับเทคโนโลยีเพียง 2 ฉบับ ที่มีผลบังคับใช้
3.1 พระราชบัญญัติวา่ ด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544
พระราชบัญญัติวา่ ด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 นับเป็ น
กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศฉบับแรกที่ใช้บงั คับกับการทาธุรกรรมทาง
อิเล็กทรอนิกส์และลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากการทาธุ รกรรมทาง
อิเล็กทรอนิกส์บางประเภท เช่น การทาสัญญา กฎหมายกาหนดว่าต้องมีการลง
ลายมือชื่อคู่สญ
ั ญาจึงจะมีผลสมบูรณ์และใช้บงั คับได้ตามกฎหมาย กฎหมายทั้ง
สองส่ วนจึงมีความสัมพันธ์กนั อย่างใกล้ชิด
3.1 พระราชบัญญัติวา่ ด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 (ต่อ)
ตัวอย่างการกระทาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
กรมการค้าต่างประเทศนาระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ หรื ออีดีไอ
(Electronic Data Interchange -- EDI) เป็ นการส่ งหรื อรับข้อความโดย
วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างเครื่ องคอมพิวเตอร์โดยใช้มาตรฐานที่กาหนดไว้ล่วงหน้า มาใช้
สาหรับการให้บริ การออกใบอนุญาตและหนังสื อรับรองการส่ งออกและนาเข้าสิ นค้าอื่นๆ
การซื้อขายสิ นค้าบนเว็บไซต์ มีลกั ษณะที่ร้านค้าบนอินเทอร์เน็ตเสนอขายสิ นค้าให้แก่
ผูบ้ ริ โภคโดยตรง โดยเว็บไซต์จะระบุราคาสิ นค้าและค่าขนส่ งอย่างชัดเจน มีการรับคาสัง่ ซื้อ
กระทาโดยระบบอัตโนมัติผา่ นเว็บไซต์ และมีการรับชาระเงินด้วยบัตรเครดิต หรื ออาจเป็ นการ
ชาระเงินแบบดั้งเดิมคือหักจากบัญชีธนาคารโดยผูซ้ ้ือต้องไปดาเนินการโอนเงินที่ธนาคารซึ่งตน
เปิ ดบัญชีไว้เพื่อเข้าสู่บญั ชีของผูข้ ายอีกทีหนึ่ง
3.2 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทาความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
พระราชบัญญัติวา่ ด้วยการกระทาความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 เป็ น
กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศที่มุ่งควบคุมการกระทาความผิดต่อระบบคอมพิวเตอร์และ
ข้อมูลคอมพิวเตอร์ เนื่องจากในอดีตที่ ผ่านมากฎหมายอาญาที่บงั คับใช้อยูใ่ นขณะนั้นไม่
สามารถรองรับหรื อครอบคลุมถึงการกระทาความผิดรู ปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยี
สารสนเทศและคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้เนื่องจากการกระทาความผิดที่อาศัยคอมพิวเตอร์ ในการ
กระทาความผิดนั้นมีลกั ษณะที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น การบุกรุ กทางคอมพิวเตอร์
หรื อแฮกกิง (hacking) ซึ่ งเป็ นการเจาะเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ของผูอ้ ื่น โดยที่ผกู้ ระทา
ผิดและเครื่ องคอมพิวเตอร์ อาจอยูค่ นละแห่งกัน
3.2 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทาความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
ตัวอย่างการกระทาความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
ระบบคอมพิวเตอร์ของทางราชการได้ถกู แฮกเกอร์การเจาะเข้าสู่ระบบโดยไม่ได้รับ
อนุญาต และมีรหัสผ่านเพื่อเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานราชการอื่นๆ ทัว่ ประเทศ ซึ่ง
ส่ งผลต่อความมัน่ คงปลอดภัยของข้อมูลและสารสนเทศ
การปล่อยซอฟต์แวร์บางชนิดที่เป็ นไวรัสเพื่อทาลายหรื อแก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ และทา
ให้การใช้บริ การของผูใ้ ช้อินเทอร์เน็ตต้องชะงัก เช่น ไวรัสไฟล์ (virus file) ใช้เรี ยกไวรัสที่ติดไฟล์
โปรแกรม เช่นโปรแกรมที่ดาวน์โหลดจากอินเทอร์เน็ต หรื อม้าโทรจัน (trojan horse) ซึ่งเป็ น
โปรแกรมจาพวกหนึ่งที่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อแอบแฝงกระทาการบางอย่างในเครื่ องคอมพิวเตอร์
โดยที่เจ้าของคอมพิวเตอร์น้ นั รับมาโดยไม่รู้ตวั
3.3 กฎหมายคุม้ ครองข้อมูลส่ วนบุคคล
แม้วา่ กฎหมายเกี่ยวกับการคุม้ ครองข้อมูลส่ วนบุคคลของประเทศไทยมีดว้ ยกัน
หลายฉบับ แต่ไม่อาจครอบคลุมข้อมูลส่ วนบุคคลได้ทุกประเภท เนื่องจากกฎหมาย
เหล่านี้มีลกั ษณะเป็ นการให้ความคุม้ ครองแก่ขอ้ มูลส่ วนบุคคลเป็ นการเฉพาะเรื่ อง
เช่น ข้อมูลส่ วนบุคคลที่อยูใ่ นการครอบครองของสถาบันการเงินอยูภ่ ายใต้
พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ. 2545 การคุม้ ครองข้อมูลส่ วน
บุคคลตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534
3.3 กฎหมายคุม้ ครองข้อมูลส่ วนบุคคล (ต่อ)
ตัวอย่างการละเมิดข้อมูลส่ วนบุคคล
ในการสมัครใช้บตั รเครดิต และการขอสิ นเชื่อต่างๆ ผูข้ อใช้บริ การต้องกรอกข้อมูลเกี่ยวกับ
ชื่อ อายุ ที่อยู่ รายได้ ประวัติทางการเงิน ฯลฯ ซึ่งบางครั้งธนาคารหรื อสถาบันการเงินบางแห่งอาจ
นาข้อมูลดังกล่าวไปเปิ ดเผยแก่บริ ษทั ในเครื อข่าย หรื ออาจส่ งต่อไปให้ผอู้ ื่นได้
ในการซื้อสิ นค้าบนเว็บไซต์ ผูซ้ ้ือต้องกรอกข้อมูลบนหน้าเว็บไซต์ เกี่ยวกับชื่อ ที่อยู่
หมายเลขบัตรประชาชน หมายเลขบัตรเครดิตฯลฯ ซึ่งเว็บไซต์บางแห่งอาจนาข้อมูลบัตรเครดิต
ดังกล่าวไปใช้ในทางที่มิชอบ หรื อนาไปเปิ ดเผยแก่บุคคลอื่น สร้างความเสี ยหายให้กบั ผูซ้ ้ือได้
3.4 กฎหมายการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
การโอนเงินโดยอาศัยระบบการชาระเงินอิเล็กทรอนิ กส์ของไทยได้เริ่ มนามาใช้เป็ น
ระยะเวลานานแล้ว ตั้งแต่ระบบการโอนเงินผ่านเครื่ องเบิกถอนเงินสดอัตโนมัติ หรื อที่เรี ยก
ทัว่ ไปว่า เครื่ องเอทีเอ็ม และมีววิ ฒั นาการเรื่ อยมาจนถึงปั จจุบนั โดยทัว่ ไปการโอนเงินทาง
อิเล็กทรอนิกส์จะมีบทบาทเป็ นอย่างมากในการทาธุรกรรมทางการค้า เช่น การใช้บตั ร
เครดิต (credit card) และบัตรเดบิต (debit card) จึงมีความจาเป็ นในการออกกฎหมาย
เกี่ยวกับการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิ กส์ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายกับ
การโอนเงินรายใหญ่ รายย่อย และเงินอิเล็กทรอนิกส์
3.4 กฎหมายการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (ต่อ)
สาหรับการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ของที่สาคัญของประเทศไทยในปั จจุบนั มีด้วยกัน 3 ระบบ
ได้แก่ ระบบบาทเน็ต (BATHNET) ระบบการหักบัญชีเช็ค และระบบการโอนเงินรายย่อย
(คณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ 2544: 71-72) ดังนี้
(1) ระบบบาทเน็ต เป็ นการให้บริ การโอนเงินระหว่างบัญชีเงินฝากที่ฝากไว้กบั ธนาคารแห่ง
ประเทศไทยทางอิเล็กทรอนิกส์แก่ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงิน และส่ วนของราชการ
(2) ระบบการหักบัญชีเช็ค เป็ นบริ การที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมีไว้หกั บัญชีเช็คระหว่าง
ธนาคารสมาชิกในเขตกรุ งเทพมหานครและปริ มณฑล โดยธนาคารสมาชิกจะส่ งข้อมูลเช็คเรี ยก
เก็บให้แก่ศูนย์หกั บัญชีอิเล็กทรอนิกส์แบบออนไลน์ และทางศูนย์หกั บัญชีอิเล็กทรอนิกส์จึงจะ
คานวณดุลและชาระดุลผ่านระบบบาทเน็ต
3.4 กฎหมายการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (ต่อ)
(3) ระบบการโอนเงินรายย่อย การให้บริ การในระบบนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยร่ วมกับ
ธนาคารสมาชิกระบบมีเดียเคลียริ ง (Media Clearing) ให้บริ การแก่ลูกค้าในการโอนเงินที่มี
ข้อตกลงล่วงหน้าจากบัญชีเงินฝากของลูกค้าธนาคารหนึ่งไปยังบัญชีเงินฝากของลูกค้าอีกธนาคาร
หนึ่ง ซึ่งวิธีการนี้เหมาะสาหรับรายการชาระเงินที่แน่นอนและมีปริ มาณมาก
3.5 กฎหมายการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ
กฎหมายว่าด้วยการพัฒนาโครงสร้างสารสนเทศ หรื อเรี ยกอีกชื่อหนึ่งว่า ร่ าง
พระราชบัญญัติวา่ ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ พ.ศ… เป็ นกฎหมายที่ยก
ร่ างขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติมาตรา 78 ในรัฐธรรมนูญ โดยมีแนวคิดหลักเพื่อให้
เกิดการส่ งเสริ ม สนับสนุน และพัฒนาโครงสร้างเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่ งได้แก่
โครงข่ายโทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศ สารสนเทศทรัพยากรมนุษย์ และโครงสร้าง
อื่นๆ อันเป็ นปั จจัยพื้นฐานสาคัญในการพัฒนาสังคมและชุมชนโดยอาศัยกลไกของรัฐ และ
กาหนดมาตรการในการส่ งเสริ มและสนับสนุนการพัฒนาให้เข้าถึงได้โดยง่าย สะดวก และ
ต้องไม่เลือกปฏิบตั ิ รวมทั้งส่ งเสริ มและสนับสนุนให้มีการรวบรวมและประมวล
สารสนเทศให้มีประสิ ทธิผล
3.5 กฎหมายการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ (ต่อ)
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศตามกฎหมายนี้จึงแบ่งออกได้
4 ประเภท คือ
1) การพัฒนาโครงข่ายโทรคมนาคม
2) การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ
3) การพัฒนาสารสนเทศ
4) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
4. กฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปั ญญา
เนื่องด้วยพัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบนั ทาให้เกิดการละเมิด
ทรัพย์สินทางปัญญา (intellectual property) กันมากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีเหล่านี้
ทาให้เกิดช่องทางใหม่ในการเผยแพร่ ขอ้ มูลอันเป็ นทรัพย์สินทางปัญหาได้ง่าย และ
นาไปสู่ การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญารู ปแบบต่างๆ ได้แก่ การละเมิดลิขสิ ทธิ์
เครื่ องหมายการค้า และสิ ทธิบตั ร
ลิขสิทธิ์ เป็ นการให้สิทธิแก่ผผู ้ ลิต หรื อผูผ้ ลิต หรื อผูป้ ระดิษฐ์แต่เพียงผูเ้ ดียว ที่
จะสามารถทาซ้ า ดัดแปลง แก้ไข หรื อจาหน่ายจ่ายแจกสิ่ งผลงานที่ตนสร้างขึ้น
4. กฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปั ญญา (ต่อ)
ตัวอย่ างของการละเมิดลิขสิ ทธิ์
การทาซ้ าไฟล์เพลงซึ่งจัดเก็บอยูใ่ นรู ปของเอ็มพีสาม เพื่อเผยแพร่ หรื อจัด
จาหน่าย โดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของลิขสิ ทธิ์
การดาวน์โหลดโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อมาใช้งานในเครื่ อง
คอมพิวเตอร์ส่วนตัว ซึ่งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะมีลาดับหมายเลข
(serial number) ไว้ให้ผใู ้ ช้ป้อนลงไปก่อนการใช้งาน เพื่อยืนยันว่าเป็ น
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกต้องตามลิขสิ ทธิ์
4. กฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปั ญญา (เพิ่มเติม)
พระราชบัญญัติลิขสิ ทธิ์ได้จดั ให้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ มี
ลักษณะเป็ นวรรณกรรม จึงทาให้การคุม้ ครองโปรแกรมคอมพิวเตอร์
ภายใต้พระราชบัญญัติลิขสิ ทธิ์ จึงมีลกั ษณะเป็ นการคุม้ ครองถึงการ
แสดงออก (expression) กล่าวคือ เป็ นการคุม้ ครองวิธีการเขียนคาสั่ง
การดาเนินเค้าโครงของโปรแกรม การเรี ยบเรี ยงประโยคคาสัง่
4. กฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปั ญญา (เพิ่มเติม)
การคุม้ ครองผูส้ ร้างสรรค์
สาหรับการคุ้มครองผู้สร้ างสรรค์ งานสร้างโปรแกรม
คอมพิวเตอร์มีลกั ษณะที่คล้ายกับการคุม้ ครองงานวรรณกรรมทัว่ ไป
กล่าวคือ กฎหมายกาหนดให้ผสู้ ร้างสรรค์เป็ นเจ้าของลิขสิ ทธิ์ และมี
ระยะเวลาคุม้ ครองตลอดชีวิตของผูส้ ร้างสรรค์ บวกอีก 50 ปี หลังการ
เสี ยชีวิตของผูส้ ร้างสรรค์
ข้อยกเว้นที่ไม่ถือเป็ นการละเมิดลิขสิ ทธิ์ มีดงั นี้
(1) วิจยั หรื อศึกษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์น้ นั
(2) ใช้เพื่อประโยชน์ของเจ้าของสาเนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์น้ นั
(3) ติชม วิจารณ์ หรื อแนะนาผลงาน โดยมีการรับรู ้ถึงความเป็ นเจ้าของลิขสิ ทธิ์
ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์น้ นั
(4) เสนอรายงานข่าวทางสื่ อสารมวลชน โดยมีการรับรู ้ถึงความเป็ นเจ้าของ
ลิขสิ ทธิ์ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์น้ นั
(5) ทาสาเนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในจานวนที่สมควร โดยบุคคลผูซ้ ่ ึ งได้ซ้ือ
หรื อได้รับโปรแกรมนั้นมาจากบุคคลอื่นโดยถูกต้อง เพื่อเก็บไว้ใช้ประโยชน์ในการ
บารุ งรักษา หรื อป้ องกันการสู ญหาย
ข้อยกเว้นที่ไม่ถือเป็ นการละเมิดลิขสิ ทธิ์ มีดงั นี้ (ต่อ)
(6) ทาซ้ า ดัดแปลง นาออกแสดง หรื อทาให้ปรากฏ เพื่อประโยชน์ในการ
พิจารณาของศาล หรื อเจ้าพนักงาน ซึ่งมีอานาจตามกฎหมาย หรื อในการ
รายงานผลการพิจารณาดังกล่าว
(7) นาโปรแกรมคอมพิวเตอร์น้ นั มาใช้เป็ นส่ วนหนึ่งในการถามและตอบ
ในการสอบ
(8) ดัดแปลงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในกรณี ที่จาเป็ นแก่การใช้
(9) จัดทาสาเนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อเก็บรักษาไว้สาหรับการอ้างอิง
หรื อค้นคว้า เพื่อประโยชน์ของสาธารณชน
5. จริ ยธรรม กฎหมายและจรรยาบรรณ
จริ ยธรรมกับกฎหมายเป็ นสิ่ งที่มีความสัมพันธ์กนั อย่างใกล้ชิด
เนื่องจากเป็ นเครื่ องมือที่คนในสังคมสร้างขึ้นมาเพื่อควบคุม
พฤติกรรมของคนในสังคมให้อยูร่ ่ วมกันอย่างสงบสุ ข ทั้งจริ ยธรรม
และกฎหมายจึงมีบทบาทเสริ มซึ่งกันและกัน และเป็ นสิ่ งที่ไม่
สามารถแยกออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด แต่เมื่อเปรี ยบเทียบกัน
จริ ยธรรมแตกต่ างจากกฎหมายหลายประการ
5. จริ ยธรรม กฎหมายและจรรยาบรรณ (ต่อ)
นอกจากจริ ยธรรมกับกฎหมายเป็ นสิ่ งที่มีความสัมพันธ์กนั
อย่างใกล้ชิดแล้ว จริ ยธรรมยังเป็ นที่มาของสิ่ งที่เรี ยกว่า จรรยาบรรณ
ซึ่งเป็ นหลักประพฤติปฏิบตั ิสาหรับผูป้ ระกอบวิชาชีพต่างๆ วิชาชีพ
หลายสาขาต่างก็มีจรรยาบรรณเป็ นของตนเอง เพื่อควบคุมความ
ประพฤติและเป็ นแนวปฏิบตั ิสาหรับผูท้ ี่ประกอบวิชาชีพนั้นๆ เช่น
แพทย์ วิศวกร ทนายความ
5. จริ ยธรรม กฎหมายและจรรยาบรรณ (ต่อ)
ตารางเปรียบเทียบข้ อแตกต่ างระหว่ างกฎหมาย จริยธรรม จรรยาบรรณ
6. หลักเกณฑ์การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์
ข้ อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ หมายถึง ข้อมูลเกี่ยวกับการติดต่อสื่ อสาร
ของระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งแสดงถึงแหล่งกาเนิด ต้นทาง ปลายทาง เส้นทาง
เวลา วันที่ ปริ มาณ ระยะเวลาชนิดของบริ การ หรื ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการ
ติดต่อสื่ อสารของระบบคอมพิวเตอร์น้ นั ซึ่งข้อมูลจราจรคอมพิวเตอร์ที่สาคัญก็
คือ หมายเลขไอพี หรื อไอพีแอดเดรส (Internet Protocol Address -- IP
Address) ที่คอมพิวเตอร์ทุกเครื่ องที่ต่ออยูบ่ นเครื อข่ายจะมีหมายเลขรหัสประจา
เครื่ อง และคอมพิวเตอร์ แต่ละเครื่ องทัว่ โลกจะต้องไม่ซ้ ากัน
6. หลักเกณฑ์การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์
ผูใ้ ห้บริ การแก่บุคคลทัว่ ไปในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ต สามารถจาแนกได้ 4 ประเภท
1) ผูป้ ระกอบกิจการโทรคมนาคมและการกระจายภาพและเสี ยง
(telecommunication and broadcast carrier)
2) ผูใ้ ห้บริ การการเข้าถึงระบบเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ (access service provider)
3) ผูใ้ ห้บริ การเช่าระบบคอมพิวเตอร์ หรื อให้เช่าบริ การโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ
4) ผูใ้ ห้บริ การร้านอินเทอร์ เน็ต มีหน้าที่ตอ้ งเก็บรักษาข้อมูลทีส่ ามารถระบุตวั บุคคล
เวลาของการเข้าใช้ และเลิกใช้บริ การ และหมายเลขไอพี
6. หลักเกณฑ์การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์
ผูใ้ ห้บริ การมีหน้าที่ในการจัดเก็บรักษาข้อมูลจราจรทาง
คอมพิวเตอร์ตามพระราชบัญญัติวา่ ด้วยการกระทาความผิดเกี่ยวกับ
คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ซึ่ง กาหนดว่าผูใ้ ห้บริ การมีหน้าที่ในการ
จัดเก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ไว้ ไม่ น้อยว่ า 90 วัน นับตั้งแต่ที่ขอ้ มูลนั้นได้
เข้าสู่ ระบบ เพื่อเป็ นพยานหลักฐานในการ สื บสวนสอบสวน และ
ติดตามผูก้ ระทาผิดมาลงโทษ
7. พระราชบัญญัติว่าด้ วยการกระทาความผิดเกีย่ วกับ
คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
พระราชบัญญัติวา่ ด้วยการกระทาความผิดเกี่ยวกับ
คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มีผลบังคับใช้ไปแล้วตั้งแต่วนั ที่
18 กรกฎาคม 2550 เรามาทาความเข้าใจว่าทาอย่างไรถึงจะไม่
เสี่ ยงกับ ความผิดทางอาญาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่ควร
ทราบ
7. พระราชบัญญัติว่าด้ วยการกระทาความผิดเกีย่ วกับ
คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
มาตรา 5
ผูใ้ ดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีมาตรการ
ป้ องกัน การเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สาหรับ
ตน ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกิน 6 เดือน หรื อปรับไม่เกิน
10,000บาท หรื อทั้งจาทั้งปรับ
7. พระราชบัญญัติว่าด้ วยการกระทาความผิดเกีย่ วกับ
คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
มาตรา 6
ผูใ้ ดล่วงรู ้มาตรการป้ องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ ที่
ผูอ้ ื่นจัดทาขึ้นเป็ นการเฉพาะ ถ้านามาตรการดังกล่าวไปเปิ ดเผย
โดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสี ยหายแก่ ผูอ้ ื่น ต้อง
ระวางโทษจาคุกไม่เกิน 1 ปี หรื อปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรื อ
ทั้งจาทั้งปรับ
7. พระราชบัญญัติว่าด้ วยการกระทาความผิดเกีย่ วกับ
คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
มาตรา 7
ผูใ้ ดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้ อมูลคอมพิวเตอร์ ที่มีมาตรการ
ป้ องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สาหรับ
ตน ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกิน 2 ปี หรื อปรับไม่เกิน40,000
บาท หรื อทั้งจาทั้งปรับ
7. พระราชบัญญัติว่าด้ วยการกระทาความผิดเกีย่ วกับ
คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
มาตรา 8
ผูใ้ ดกระทาด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
เพื่อดักรับไว้ซ่ ึงข้ อมูลคอมพิวเตอร์ ของ ผูอ้ ื่นที่อยูร่ ะหว่างการส่ งใน
ระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลคอมพิวเตอร์น้ นั มิได้มีไว้เพื่อประโยชน์
สาธารณะหรื อเพื่อให้บุคคลทัว่ ไปใช้ประโยชน์ได้ตอ้ ง ระวางโทษจาคุก
ไม่เกิน 3 ปี หรื อปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรื อทั้งจาทั้งปรับ
7. พระราชบัญญัติว่าด้ วยการกระทาความผิดเกีย่ วกับ
คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
มาตรา 9
ผูใ้ ดทาให้เสี ยหาย ทาลาย แกไข
้
เปลี่ยนแปลง หรื อเพิ่มเติมไม่วา่ ทั้งหมด หรื อบางส่ วน ซึ่งของ
ผูอ้ ื่นโดยมิชอบ ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินข้ อมูลคอมพิวเตอร์
ห้าปี หรื อปรับไม่เกิน หนึ่งแสนบาท หรื อทั้งจาทั้งปรับ
7. พระราชบัญญัติว่าด้ วยการกระทาความผิดเกีย่ วกับ
คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
มาตรา 10
ผูใ้ ดกระทาด้วยประการใดโดยมิชอบ เพื่อให้การทางาน
ของระบบคอมพิวเตอร์ ของผูอ้ ื่น ถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรื อ
รบกวนจนไม่สามารถทางานตามปกติได้ตอ้ งระวางโทษจาคุก
ไม่เกิน 5 ปี หรื อปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรื อทั้งจาทั้งปรับ
7. พระราชบัญญัติว่าด้ วยการกระทาความผิดเกีย่ วกับ
คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
มาตรา 11
ผูใ้ ดส่ งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรื อจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่
บุคคล อื่นโดยปกปิ ด หรื อปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่ ง
ข้อมูลดังกล่าว อันเป็ นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์
ของ บุคคลอื่นโดยปกติสุข ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน
100,000 บาท
7. พระราชบัญญัติว่าด้ วยการกระทาความผิดเกีย่ วกับ
คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
มาตรา 12 ถ้าการกระทาความผิดตามมาตรา 9 หรื อมาตรา 10
(1) ก่อให้เกิดความเสี ยหายแก่ประชาชน ไม่วา่ ความเสี ยหายนั้นจะ
เกิดขึ้นในทันที หรื อในภายหลัง และไม่วา่ จะเกิดขึ้นพร้อมกันหรื อไม่
ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท
มาตรา 12 (ต่อ)
(2) เป็ นการกระทาโดยประการที่น่าจะเกิดความเสี ยหายต่อ
ข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรื อระบบ คอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับการรักษาความมัน่ คง
ปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมัน่ คง ในทางเศรษฐกิจ
ของประเทศ หรื อการบริ การสาธารณะ หรื อเป็ นการกระทาข้อมูลคอมพิวเตอร์
หรื อระบบคอมพิวเตอร์ที่มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะ ต้องระวางโทษจาคุก
ตั้งแต่ 30 ถึง 50 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000 บาทถึง 300,000 บาท
ถ้าการกระทาความผิดตาม (2) เป็ นเหตุให้ผอู ้ ื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวาง
โทษจาคุกตั้งแต่ 10 ถึง 20 ปี
7. พระราชบัญญัติว่าด้ วยการกระทาความผิดเกีย่ วกับ
คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
มาตรา 13
ผูใ้ ดจาหน่ายหรื อเผยแพร่ ชุดคาสั่งที่จดั ทาขึ้นโดยเฉพาะเพื่อนาไป
ใช้เป็ นเครื่ องมือ ในการกระทาความผิดตามมาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7
มาตรา 8 มาตรา 9 มาตรา 10 หรื อมาตรา 11 ต้องระวางโทษจาคุกไม่
เกิน 1 ปี หรื อปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรื อทั้งจาทั้งปรับ
7. พระราชบัญญัติว่าด้ วยการกระทาความผิดเกีย่ วกับ
คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
มาตรา 14 ผูใ้ ดกระทาความผิดที่ระบุไว้ดงั ต่อไปนี้ ต้องระวาง
โทษจาคุกไม่เกิน 5 ปี หรื อปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรื อทั้งจาทั้งปรับ
(1) นาเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซ่ ึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่วา่
ทั้งหมดหรื อบางส่ วน หรื อข้อมูลคอมพิวเตอร์อนั เป็ นเท็จ โดยประการที่
น่าจะเกิดความเสี ยหายแก่ผอู ้ ื่นหรื อประชาชน
มาตรา 14 (ต่อ)
(2) นาเข้าสู่ ระบบคอมพิวเตอร์ ซ่ ึงข้อมูลคอมพิวเตอร์อนั เป็ นเท็จ
โดยประการที่น่าจะเกิด ความเสี ยหายต่อความมัน่ คงของประเทศหรื อ
ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
(3) นาเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซ่ ึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็ น
ความผิดเกี่ยวกับความมัน่ คง แห่งราชอาณาจักรหรื อความผิดเกี่ยวกับ
การก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 14 (ต่อ)
(4) นาเข้าสู่ ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ใด ๆ ที่มี
ลักษณะอันลามก และขอมู
้ ลคอมพิวเตอรนั
์ ้น
ประชาชนทัว่ ไปอาจเข้าถึงได้
(5) เผยแพร่ หรื อส่ งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยูแ่ ล้วว่าเป็ น
ข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (1) (2) (3) หรื อ(4)
7. พระราชบัญญัติว่าด้ วยการกระทาความผิดเกีย่ วกับ
คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
มาตรา 15
ผูใ้ ห้บริ การผูใ้ ดจงใจสนับสนุนหรื อยินยอมให้มี การกระทา
ความผิดตามมาตรา 14 ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยูใ่ นความควบคุมของ
ตน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผูก้ ระทาความผิดตาม มาตรา 14
7. พระราชบัญญัติว่าด้ วยการกระทาความผิดเกีย่ วกับ
คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
มาตรา 16
ผูใ้ ดนาเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ที่ประชาชนทัว่ ไปอาจเข้าถึงได้ซ่ ึงข้อมูล
คอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็ นภาพของผูอ้ ื่น และภาพนั้นเป็ นภาพที่เกิดจากการ
สร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรื อดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรื อวิธีการอื่น
ใด ทั้งนี้โดยประการที่น่าจะทาให้ผอู ้ ื่นนั้น เสี ยชื่อเสี ยง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง
หรื อได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกิน 3 ปี หรื อปรับไม่เกิน
60,000 บาท หรื อทั้งจาทั้งปรับ
7. พระราชบัญญัติว่าด้ วยการกระทาความผิดเกีย่ วกับ
คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
มาตรา 17 ผูใ้ ดกระทาความผิดตามพ.ร.บ.นี้ นอกราชอาณาจักรและ
(1) ผูก้ ระทาความผิดนั้นเป็ นคนไทย และรัฐบาลแห่งประเทศที่ความผิดได้
เกิดขึ้น หรื อผูเ้ สี ยหายได้ร้องขอให้ลงโทษ หรื อ
(2) ผูก้ ระทาความผิดนั้นเป็ นคนต่างด้าว และรัฐบาลไทย หรื อคนไทยเป็ น
ผูเ้ สี ยหาย และผูเ้ สี ยหายได้ร้องขอให้ลงโทษ จะต้องรับโทษภายใน
ราชอาณาจักร
LOGO