2. จิตวิทยาการเรียนรู้ (Psychology of Learning)

Download Report

Transcript 2. จิตวิทยาการเรียนรู้ (Psychology of Learning)

Psychology of Learning
จิตวิทยาการเรียนรู ้
วัตถุประสงค์
1. ครูจะต้องมีความรูเ้ กี่ยวกับลักษณะทัว่ ขปงอง
นักเรียนที่ตนสอน
2. หน้าที่ครู คือ การช่วยนักเรียนให้พฒ
ั นาทัง้
ทางร่างกาย สติปญั ญา บุคลิกภาพ อารมณ์และสังคม
 3. ครูตอ้ งเง้าใจความแตกต่างระหว่างบุคคล
งองนักเรียน (อาจมีลกั ษณะที่งา้ มวัย/เด็กกว่าวัย)
จิตวิทยาที่เกี่ยวง้องกับการศึกษา
 1. จิตวิทยาบุคลิกภาพ
( Psychology of Personality)
 2. จิตวิทยาการเรียนรู ้
(Psychology of Learning)
 3. จิตวิทยาเกี่ยวกับความคิดหรือความรูค้ วามเง้าใจ
(Psychology of Thinking or Cognition)
 4. จิตวิทยาพัฒนาการ
(Developmental Psychology)
 5. จิตวิทยาว่าด้วยความแตกต่างระหว่างบุคคล
(Psychology of Individual Differences)
 6. จิตวิทยาสังคม
(Social Psychology)
จิตวิทยาพัฒนาการ
การศึกษาถึงพัฒนาการในวัยต่างๆมี
บทบาทสาคัญต่อการจัดการเรียนการสอน
ในงัน้ งองพัฒนาการนั้น เพือ่ ให้เด็กเป็ น
สมาชิกที่ดีงองสังคม (Socialization)
 การเป็ นสมาชิกที่ดีงองสังคม (Socialization)
มีผลต่อพัฒนาการอย่างยิ่ง เพราะพฤติกรรมงองคนจะ
สามารถปรับให้ดีง้ ึนหรือเลวลงในช่วงใดก็ขด้ ถ้า
สภาพการณ์ในชีวติ งองคนผูน้ ้นั เปลี่ยน
Socialization มีอทิ ธิพลต่อพัฒนาการ

Anderson มองเกี่ยวกับพัฒนาการว่า
พัฒนาการคือ ความสามารถที่คนจะพึ่งตนเองและควบคุม
ตนเองขด้

Havighurst มองเกี่ยวกับพัฒนาการว่า
กระบวนการพัฒนาการในแต่ละวัยจะประกอบขปด้วยการ
เรียนรูเ้ กี่ยวกับงานชนิ ดต่างๆ ซึ่งเรียกว่า “งานพัฒนาการ”
การทาความเง้าใจเรื่องพัฒนาการ







ในการทาความเง้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการงองมนุ ษย์ เป็ นความ
จาเป็ นที่จะต้องทาความเง้าใจทัง้ ทางด้านร่างกาย ชีววิทยา
สติปญั ญา สังคม อารมณ์ และรูปแบบต่างๆงองพฤติกรรม
พฤติกรรมแต่ละอย่างจะเปลีย่ นแปลงเมื่อเด็กพัฒนางึ้น
และการเปลีย่ นแปลงนั้นเป็ นผลเนื่ องมาจากทัง้ ทางด้าน
พันธุกรรม สภาพทางชีววิทยา ประสบการณ์เดิม
ประสบการณ์ปจั จุบนั ตลอดจนวัฒนธรรมที่เป็ นอยู่ในงณะนั้น
สรุปพัฒนาการทางร่างกาย
 นับตัง้ แต่แรกเกิดถึงวัยชรา
ร่างกายจะพัฒนาอย่างเป็ นระบบ
และต่อเนื่ อง ผมจะยาวงึ้นทุกๆนาที และสีงองผมจะแสดงความ
ชราคือผมหงอก เว้นแต่บางรายที่ผมหงอกก่อนวัย ฟันจะงึ้นและ
หลุดขปตามวัย ตาจะดีในระยะแรกๆ เมื่อถึงวัยชราจะเห็นขม่ชดั
ส่วนใหญ่จะเป็ นสายตายาว จึงต้องสวมแว่นตา หูในระยะวัยเด็ก
ประสาทหูจะขว แต่ถงึ วัยชราหูจะตึง และอวัยวะส่วนอืน่ ๆ ก็เป็ น
ทานองเดียวกัน คือ ในระยะแรกเกิดอวัยวะจะทาหน้าที่ขด้ดี แต่
เมื่อถึงวัยชราจะเสือ่ มสภาพลงตามธรรมชาติงองมนุ ษย์ท่วี ่ามี เกิด
แก่ เจ็บ และตาย
สรุปพัฒนาการทางสติปญั ญา
 แรกเกิด ในวัยทารกสมองจะเจริญงึ้นเรื่อยๆ




สัมผัสและรับรูใ้ น
สิง่ แวดล้อมต่างๆ
วัยเด็ก เกิดอัตมโนทัศน์ว่าตนเองสาคัญ สนใจแต่ตนเอง ช่วง
ความสนใจสัน้ ขม่รบั รูเ้ หตุผล อยากรูอ้ ยากเห็น
วัยเด็กตอนปลาย รูจ้ กั ใช้เหตุผล รูค้ ิด สร้างความคิดรวบยอดขด้
วัยรุน่ สามารถเรียนรูส้ ง่ิ ต่างๆที่เป็ นรูปธรรมและนามธรรมขด้ ช่วง
ความสนใจยาวงึ้น แต่ยงั ใช้สติปญั ญาขด้ขม่ลกึ ซึ้ง
วัยผูใ้ หญ่ สามารถใช้สติปญั ญาขด้อย่างลึกซึ้ง และในวัยชราสามารถ
ใช้สติปญั ญาขด้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งงึ้น ทาอะขรด้วยความรอบคอบ
สรุปพัฒนาการทางสังคม
 ระยะแรกเกิด จะยึดตนเองเป็ นศูนย์กลาง คือรูจ้ กั ตนเองและกระทา
เพือ่ ตนเอง
 วัยรุน่ จะยึดเพื่อนเป็ นศูนย์กลาง มีความรูส้ กึ ที่ตอ้ งพึ่งพาอาศัยเพื่อน
รูจ้ กั คบเพื่อนต่างเพศ รูจ้ กั เลือกคูค่ รองเพือ่ เตรียมใช้ชีวติ คู่
 วัยผูใ้ หญ่ เริ่มใช้ชีวติ คู่และสร้างครอบครัวมีบตุ รขว้สบื สกุล
 วัยชรา
ต้องสูญเสียความรักในกรณี บตุ รขปมีครอบครัว ดังนั้น
คนชราจึงให้ความรักแก่หลานๆเป็ นการทดแทน
สรุปพัฒนาการทางอารมณ์
 ระยะแรกเกิดถึงวัยเด็ก เด็กจะมีอารมณ์ต่นื เต้น พอใจ-ขม่พอใจ
กลัว โกรธ เกลียด ยินดี รัก อิจฉาและร่าเริง
 วัยรุน่
จะพัฒนาอารมณ์รกั เป็ นรักเพศตรงง้าม อารมณ์วติ ก
กังวล อารมณ์รว่ ม อารมณ์ชวั ่ แล่น อารมณ์สนุ ทรียภาพ อารมณ์
ที่เกิดจากการสัมผัสโดยตรง (อยากรูอ้ ยากเห็น งยะแงยง) และ
อารมณ์ท่เี กิดจากการประเมินตนเอง(ความภาคภูมใิ จ ละอายใจ
สมหวัง และผิดหวัง)
 เมื่อถึงวัยผูใ้ หญ่และวัยชรา จะมีอารมณ์พฒ
ั นาเพิ่มงึ้น ขด้แก่
อารมณ์หงึ อิจฉา- ริษยา และอารมณ์เหงา
ประโยชน์งองการศึกษาจิตวิทยาพัฒนาการ
 มนุ ษย์ในแต่ละวัยจะมีความแตกต่างกัน ทัง้ ร่างกาย
สติปญั ญา อารมณ์ และสังคม
 การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ควรจัดให้สอดคล้องกับ
พัฒนาการงองผูเ้ รียนในแต่ละวัย
 ครูสามารถกาหนดเนื้ อหาและกิจกรรมต่างๆที่เหมาะสมกับ
พัฒนาการงองผูเ้ รียน
การทาความเง้าใจเรื่องพัฒนาการกับการจัดการศึกษา
 เพราะเหตุใด แนวความคิดในการจัดการศึกษา
 นักการศึกษาบางกลุม่ จึงเน้นบทบาทงองครูเป็ น
สาคัญ
 หรือบางกลุม่ เน้นบทบาทงองเด็กเป็ นสาคัญ
 หรือบางกลุม่ ให้ความสาคัญทัง้ ครูและเด็กพอๆกัน
การทาความเง้าใจเรื่องพัฒนาการ
 พัฒนาการเป็ นผลเนื่ องมาจาก
 Maturation วุฒภิ าวะ
 Learning การเรียนรู ้ การเรียนรู ้
องค์ประกอบ งองพัฒนาการ
 1. วุฒภิ าวะ
( maturation)
หมายถึง การเปลี่ยนแปลงซึ่งเนื่ องมาจากความเจริญ
งอกงามทางด้านร่างกาย ซึ่งจะรวมถึงสิง่ ที่ขด้รบั
ถ่ายทอดทางพันธุกรรมด้วย โดยมีสง่ิ แวดล้อมเป็ น
ตัวเสริม
องค์ประกอบ งองพัฒนาการ
 2.
การเรียนรู ้ (Learning)
คือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ค่อนง้างถาวร อัน
เป็ นผลมาจากการฝึ กหัด และการขด้รบั ประสบการณ์
ต่างๆ
ง้อสังเกต


คำว่ ำ maturation


maturity
readiness
คาว่า maturation
 เป็ นกระบวนการเปลี่ยนแปลงซึ่งจะนาขปสู่
maturity เป็ นการเปลี่ยนแปลงทางด้าน
ร่างกาย ทางกรรมพันธุเ์ ป็ นขปโดยธรรมชาติ ขม่
ต้องมีการฝึ กฝน หรือเตรียมตัว เช่น การคลาน
การนัง่ การเดิน ฯลฯ
คาว่า maturity
 เป็ นสภาวะที่เต็มสมบูรณ์ หรือหมายถึงสภาพ
ความเป็ นผูใ้ หญ่ทกุ ๆส่วนงองร่างกายพร้อมที่จะ
ทางานขด้อย่างเต็มที่ตามวัย
คาว่า readiness
 หมายถึงความพร้อมทางด้านการเรียน ซึ่งต้อง
สืบเนื่ องมาจากร่างกายมีวฒ
ุ ภิ าวะเสียก่อน
 ในช่วงงองการพัฒนาการจะมีจุดสูงสุดที่จะสอนสิง่ ต่างๆให้กบั
เด็ก เด็กจะเรียนทักษะใดทักษะหนึ่ งขด้อย่างรวดเร็วและ
บังเกิดผลดี จุดๆนั้นเราเรียกว่า “ ความพร้อม ” ซึ่ง
เป็ นจุดเริ่มต้นงอง “Critical period” หรือ
“sensitive period” เป็ นระยะที่ขวต่อการเรียนรู ้
 “sensitive period ” (Critical
period) เป็ น ระยะที่ขวต่อการเรียนรู ้
ประสบการณ์หรือเหตุการณ์ใดๆที่เกิดงึ้นในช่วงนี้ จะ
มีผลต่อพัฒนาการในระยะหลังๆ
 ถ้าเด็กพลาดโอกาสที่จะขด้เรียนหรือขด้กระทา
ในช่วงวัยที่เหมาะสม จะทาให้เด็กผูน้ ้นั มีปญั หาใน
การปรับตัวต่อขป
ความพร้อม กับแนวคิดการจัดการศึกษา
 สิง่ ที่ครูตอ้ งทาความเง้าใจ คือ ความพร้อม ซึ่ง
ถือว่าเป็ นองค์ประกอบที่สาคัญในการจัดการ
เรียนการสอน
 ความเห็นที่แตกต่างงองนักการศึกษา
 1. ควรรอให้เด็กพร้อมเสียก่อน
 2. ความพร้อมเป็ นสิง่ ที่ เร่ง ให้เกิดเร็วงึ้นขด้
ความเห็นที่แตกต่างงองนักจิตวิทยา

กลุม่ ที่ 1. ควรรอให้เด็กพร้อมเสียก่อน “Natural ”
Readiness Approach

กลุม่ ที่ 2. ความพร้อมเป็ นสิง่ ที่ เร่ง ให้เกิดเร็วงึ้นขด้
“Guided - experience” Approach
ความเห็นที่แตกต่างงองนักจิตวิทยา
- ควรรอให้เด็กพร้อมเสียก่อน
 กลุ่มที่ 1 “Natural” Readiness Approach
เห็นว่า ความพร้อมเป็ นเรื่องงองธรรมชาติ เด็กจะ
ขปโรงเรียนต้องมีความพร้อม ถ้ายังขม่พร้อมก็ให้รอ
ความเห็นที่แตกต่างงองนักจิตวิทยา
- ความพร้อมสามารถเร่งให้เกิดงึ้นขด้
 กลุ่มที่ 2 “Guided-experience” Approach
เห็นว่า ความพร้อมจะสามารถเร่งให้เกิดงึ้นขด้โดยการ
จัดประสบการณ์ให้ขม่จาเป็ นต้องรอ การช่วยให้เด็ก
พร้อมเป็ นการช่วยให้การเรียนงองเด็กขปขด้ขวมี
ประสิทธิภาพ
การช่วยให้เด็กมีความพร้อมเร็วงึ้นโรงเรียนที่ดีควรทาอย่างขร
 จะต้องสนับสนุ นกิจกรรมงองเด็กอย่างหลากหลาย
 มีการสารวจและให้เด็กขด้ลงมือกระทาด้วยตนเอง
 ครูตอ้ งขม่พยายามใช้วธิ ีลดั โดยวิธีบอก หรือป้ อนความรู ้
ให้แก่เด็กด้วยการพูดอธิบายให้ฟัง
การจัดกิจกรรมในห้องเรียน
 กิจกรรมต่างๆที่ครูจดั งึ้นในห้องเรียน จะต้องยัว่ ยุให้เด็ก
ขด้ใช้ความสามารถที่มีในตัวให้เกิดการเรียนรู ้ และทาให้
เด็กขด้มีความเง้าใจโลกรอบๆตัวเงาอย่างค่อยเป็ นค่อยขป
 งานที่สาคัญงองครูกค็ อื การเตรียมอุปกรณ์ท่ีน่าสนใจ
ต่างๆที่จะยัว่ ยุเด็กขด้ใช้ความสามารถที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวให้
เป็ นประโยชน์ในการเรียนรู ้
หลักทัว่ ขปงองพัฒนาการ
 - พัฒนาการงองเด็กโดยทัว่ ขป จะมีบางส่วนเหมือนกัน
 - ยีนส์และสิง่ แวดล้อมเป็ นตัวกาหนดความแตกต่าง ทาให้
เด็กแต่ละคนมีความแตกต่างๆ
 - ในระยะแรกๆงองชีวติ พัฒนาการเป็ นผลรวมงอง
maturation เป็ นส่วนใหญ่ เป็ นพฤติกรรมที่ทานายขด้
 - เด็กยิ่งโตงึ้น การทานายพฤติกรรมงองเด็กจะขด้นอ้ ยลง
เพราะพัฒนาการจะขด้จากการเรียนรู ้ และสิง่ แวดล้อม
เป็ นส่วนใหญ่
ทฤษฎีท่เี กี่ยวง้องกับการพัฒนาการมนุ ษย์



1. ทฤษฎีพฒั นาการทางบุคลิกภาพ
2. ทฤษฎีพฒั นาการทางสติปญั ญา
3. ทฤษฎีพฒั นาการทางจริยธรรม
ทฤษฎีท่เี กี่ยวง้องกับการพัฒนาการมนุ ษย์
ทฤษฎีท่เี กี่ยวง้องกับการพัฒนาการมนุ ษย์
 2. ทฤษฎีพฒ
ั นาการทางสติปญั ญา
 2.1 ทฤษฎีพฒ
ั นาการทางสติปญั ญา “Piaget”
 2.2 ทฤษฎีพฒ
ั นาการทางสติปญั ญา “Bruner”
ทฤษฎีท่เี กี่ยวง้องกับการพัฒนาการมนุ ษย์
 3. ทฤษฎีพฒ
ั นำกำรทำงจริยธรรม
 3.1 ทฤษฎีพฒ
ั นำกำรทำง จริยธรรมของ
“Kolberg ”
1.1 ทฤษฎีจติ วิเคราะห์งองฟรอยด์
 Freud เจ้างองทฤษฎี Psychoanalytic Theory
 “ ประสบการณ์แต่เยาว์วยั จะมีอทิ ธิพลต่อพฤติกรรมงองบุคคลใน




ระยะเวลาต่อมา (บุคลิกภาพ) โดยเฉพาะประสบการณ์ชนิ ดรุนแรง
( traumatic experience)
ระยะ critical period งองคนจะอยู่ในระหว่างวัย 6 ปี แรก
งองชีวติ ซึ่งแบ่งออกเป็ น 3 ระยะด้วยกัน คือ
ระยะที่ 1 Oral stage อายุ 1 - 2 ปี
ระยะที่ 2 Anal stage อายุ 2 – 3 ปี
ระยะที่ 3 Phallic stage อายุ 3 – 6 ปี
สิง่ แวดล้อมที่เหมาะสม ในช่วงแรกงองชีวติ สาคัญอย่างขร
 Hebb (1949)
กล่าวว่า การจัดสิง่ แวดล้อมที่ดีในช่วงแรก
งองชีวติ จะเป็ นเสมือนพื้นฐานสาหรับพัฒนาการทางด้าน
สติปญั ญาต่อขป
 Hunt (1961) กล่าวว่า ถ้าเราจัดสิง่ แวดล้อมที่ดีให้กบั เด็ก
ในช่วง 6 ปี แรกงองชีวติ จะช่วยให้เด็กมีพฒั นาการขปขด้ดี จะ
ช่วยให้ I.Q. เพิ่มอย่างน้อย 30 คะแนน (ยึดหลัก Piaget)
สิง่ แวดล้อมที่เหมาะสม ในช่วงแรกงองชีวติ สาคัญอย่างขร
 Bruner (1960)
กล่าวว่า เราสามารถจัดสิง่ แวดล้อม
ประสบการณ์เพื่อช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรูง้ ้ ึนขด้ แต่ตอ้ ง
สอดคล้องกับคุณลักษณะงองเด็กในงัน้ พัฒนาการนั้นด้วย
“ Any subject can be taught effectively
honest form to any child at any stage
of development ” (1960, p. 33)
สิง่ แวดล้อมที่เหมาะสม ในช่วงแรกงองชีวติ สาคัญอย่างขร
กล่าวว่า 8 ปี แรกงองชีวติ เป็ นช่วงที่มี
ความสาคัญมาก ฉะนั้น ถ้าจัดประสบการณ์ในช่วงนี้ ให้ดี
จะช่วยเพิ่ม I.Q. เพราะ I.Q. งองผูใ้ หญ่ 50% ขด้มา
ในช่วงอายุ 4 งวบ และ 80 % ขด้มาเมื่ออายุ 8 งวบ
 Bloom (1964)
 การศึกษาในระดับอนุ บาลและประถมต้นเป็ น
ช่วง
ที่สาคัญที่สุดงองชีวติ
1.2 ทฤษฎีพฒั นาการทางสังคมงองอีรคิ สัน
 Erikson
“Erikson’ s Theory of
Development ” มีแนวคิดว่า การอบรมเลี้ยงดูเด็กในแต่ละ
งัน้ ถ้าเหมาะสมก็จะส่งเสริมให้เด็กเป็ นผูท้ ่มี สี งุ ภาพจิตดี มีชีวติ
ที่มีความสุง แต่ถา้ ขม่เหมาะสม เด็กก็จะมีปญั หาการปรับตัว
 เน้นสัมพันธภาพระหว่างบุคคลและสังคม
ที่จะมีผลต่อการ
พัฒนาบุคลิกภาพ
 พัฒนาการทางบุคลิกภาพ เป็ นเรื่องที่เกิดงึ้นในทุกช่วงงอง
ชีวติ
มิใช่สาคัญเฉพาะพฤติกรรมในช่วงแรกงองชีวิตเท่านั้น
เจ้างองทฤษฎี
อิรคิ สัน แบ่งงัน้ การพัฒนาการออกเป็ น 8 งัน้
 งัน้ ที่ 1 ความขว้วางใจ / ขม่ขว้วางใจ ( 0 – 1 ปี )
 งัน้ ที่ 2 ความเป็ นตัวงองตัวเอง / ความขม่มนั ่ ใจในตนเอง ( 1 – 2 ปี )
 งัน้ ที่ 3 ความคิดริเริ่ม / ความรูส้ กึ ผิด ( 3 – 4 ปี )
 งัน้ ที่ 4 ความงยันหมัน่ เพียร / ความรูส้ กึ ตา่ ต้อย ( 5 – 11 ปี )
 งัน้ ที่ 5 ความเป็ นเอกลักษณ์ / ความสับสนในบทบาท ( 12 – 18 ปี )
 งัน้ ที่ 6 ความผูกพัน / การแยกตัว ( วัยผูใ้ หญ่ตอนต้น )
 งัน้ ที่ 7 การทาประโยชน์ให้แก่สงั คม / การคิดถึงแต่ตนเอง (วัยผูใ้ หญ่ตอนกลาง)
 งัน้ ที่ 8 บูรณภาพ / ความสิ้นหวัง ( วัยผูใ้ หญ่ตอนปลาย )
แนวคิดงองอิรคิ สันที่มีอทิ ธิพลต่อการศึกษา
 ระดับอนุ บาล - เป็ นวัยที่กล้ามเนื้ อต่างๆกาลังพัฒนา
- เป็ นวัยที่พร้อมจะเรียนรูส้ ง่ิ ต่างๆเร็วมาก
บทบาทครู
ควรเปิ ดโอกาสให้เด็กขด้ทดลองทาสิง่ ต่างๆอย่าง
อิสระคอยช่วยเหลือแนะนาอยูห่ า่ งๆ กระตุน้ ให้เกิดความคิดริเริ่ม
“เพราะเหตุใด ลักษณะสังคมขทย จึงมักทาให้เด็กงาดโอกาสที่จะ
พัฒนาความเป็ นตัวงองตัวเองขด้อย่างเต็มที่ งาดความเชื่อมัน่
ในตนเอง ขม่เป็ นตัวงองตัวเอง”
แนวคิดงองอิรคิ สันที่มีอทิ ธิพลต่อการศึกษา
 ระดับประถม - เด็กต้องการเป็ นที่ยอมรับงองครูและเพื่อน
- ต้องการความสาเร็จจากการทางานสูง
 บทบาทงองครู
ควรสอนให้เด็กเกิดความพึงพอใจกับการ
ทางานให้เสร็จสมบูรณ์ โดยมีความตัง้ ใจและความงยันงันแง็ง
ต้องระวังอย่าให้พฒั นาความรูส้ กึ ตา่ ต้อยสูเ้ พื่อนขม่ขด้ ถ้ารูส้ กึ
ว่าตนเองขม่มีความสามารถ
แนวคิดงองอิรคิ สันที่มีอทิ ธิพลต่อการศึกษา
 ระดับมัธยม - ช่วงวัยรุน่
เป็ นวัยที่กาลังแสวงหาเอกลักษณ์งอง
ตนเอง
- มีความเป็ นตัวงองตัวเอง / ขม่มีจุดยืนงองตนเอง
บทบาทงองครู สิง่ ที่จะต้องทาคือ สัมพันธภาพระหว่างครู-นักเรียน
ความเมตตา ความเง้าใจ และความสนใจในตัว
เด็กอย่างจริงจัง
พยายามส่งเสริมให้นกั เรียนขด้
แสดงออกตามที่แต่ละคนมีความสามารถ ช่วยเหลือ
ให้เด็กประสบความสาเร็จในทางใดทางหนึ่ ง
1.3 งานตามงัน้ พัฒนาการงอง ฮาวิกเฮอร์สท
 Havighurst
“ ในแต่ละช่วงวัยงองชีวติ นั้นจะมีงานประจา
วัย ซึ่งเป็ นงานที่เด็กแต่ละคนควรจะทาขด้ในช่วงวัยนั้นๆ เป็ น
งานงองชีวติ ที่ตอ้ งทาให้ขด้ในช่วงวัยนั้นๆ ถ้าบุคคลขม่ประสบ
ผลสาเร็จในงานนั้นๆก็จะมีผลต่อการปรับตัว
งานตามงัน้ พัฒนาการงอง Havighurst
 มีประโยชน์ต่อการจัดการศึกษา อยู่ 2 ประการ
 1. ช่วยให้สามารถตัง้ วัตถุประสงค์ในการจัดการเรียนการสอน
ในโรงเรียน ทาอย่างขรโรงเรียนจึงจะสามารถช่วยให้นกั เรียนแต่
ละคนบรรลุ “งาน” ในแต่ละวัยขด้
 2. ช่วยให้จดั การเรียนการสอนขด้เหมาะสมตามความต้องการ
ทราบว่าเมื่อขรจึงจะสอนขด้ ขม่ตอ้ งเสียเวลาสอนในสิง่ ที่เด็กยังขม่
พร้อม ยังเรียนขม่ขด้
2.1 ทฤษฎีพฒั นาการทางสติปญั ญา “Piaget”
 Piaget เจ้างอง
ทฤษฎีพฒั นาการทางด้านสติปญั ญาและความคิด
กล่าวว่า การเจริญเติบโตทางสมองงองเด็ก ส่วนหนึ่ งเป็ นผลมาจาก
วุฒภิ าวะและการปฏิสมั พันธ์อย่างต่อเนื่ องกับสิง่ แวดล้อมภายนอก
ทาให้เด็กขด้ดูดซึมประสบการณ์ใหม่ๆ ให้รวมอยู่ในโครงสร้างงอง
เชาวน์ปญั ญา และปรับตัวกับสิง่ แวดล้อม
 - Organization
 - Adaptation
ทัง้ 2 ลักษณะจะทาให้เด็กเกิดการพัฒนาทางสติปญั ญา
 - Organization
เป็ นการจัดภายในโดยวิธี รวมกระบวนการต่างๆเง้าเป็ นระบบ
อย่างติดต่อกันเป็ นเรื่องเป็ นราว เช่นเด็กเล็ก เห็น งองแล้ว คว้า
การที่เด็กทากิจกรรม 2 อย่างขด้ในเวลาเดียวกัน เรียกว่า
เป็ นการรวมกระบวนการเง้าเป็ นระบบ
 - Adaptation
การปรับตัวเง้ากับสิง่ แวดล้อม ประกอบด้วย 2 กระบวนการ คือ

- การดูดซึม (assimilation) และ

- การปรับความแตกต่าง (accommodation)
เพียเจท์ แบ่งงัน้ การพัฒนาการทางสติปญั ญา ออกเป็ น 4 งัน้




งัน้ ที่ 1
งัน้ ที่ 2
งัน้ ที่ 3
งัน้ ที่ 4
การรับรูด้ ว้ ยประสาทสัมผัสและการเคลื่อนขหว ( 0 – 2 ปี )
การคิดก่อนมีเหตุผล ( 2 – 7 ปี )
การคิดแบบมีเหตุผลเชิงรูปธรรม ( 7 – 11 ปี )
การคิดแบบมีเหตุผลเชิงนามธรรม ( 11 – 15 ปี )
แนวคิดงองเพียเจท์มีอทิ ธิพลต่อการศึกษา
 ทฤษฎีพฒ
ั นาการทางด้านสติปญั ญาและความคิดงองเพียเจท์มีอทิ ธิพล
เป็ นอย่างมากต่อการจัดการศึกษา โดย นักการศึกษาขด้นามาใช้ใน
การพัฒนาหลักสูตรให้มีความยากง่ายเหมาะกับระดับงองเด็ก
 การจัดให้มีศูนย์กจิ กรรมต่างๆเพื่อให้เด็กขด้เลือกประสบการณ์การเรียน
เอง
 เด็กควรขด้รบั การส่งเสริมการพูด การแสดงความคิดเห็น การโต้แย้ง
เพื่อช่วยเสริมสร้างให้เกิดสติปญั ญางอกงามงึ้น
 อย่าบังคับเด็กให้เรียนในเมื่อยังขม่พร้อม แต่ควรช่วยจัดสิง่ แวดล้อมให้
เด็กเกิดความพร้อม
2.2 ทฤษฎีพฒั นาการทางสติปญั ญา “Bruner”
 Bruner มีความเห็นว่า
เร็วงึ้นขด้
ความพร้อมเป็ นสิง่ ที่สามารถสอนให้เกิด
โดยการจัดสิง่ แวดล้อมให้สอดคล้องกับงัน้ พัฒนาการ
 การจัดการเรียนการสอน ครูสามารถช่วยจัดประสบการณ์เพื่อช่วยให้
เกิดความพร้อมขด้ โดยขม่ตอ้ งรอให้เกิดความพร้อมตามธรรมชาติ
ซึ่งเป็ นการเสียเวลา แต่ตอ้ งปรับเนื้ อหาให้สอดคล้องกับความสามารถ
งองเด็กที่จะเรียนหรือรับรูข้ ด้ โดยใช้วธิ ีการที่เหมาะสมกับเด็กในวัย
นั้นๆ
 “ any subject can be taught effectively in
some intellectually honest form to any child
at any stage of development ”
 …one teaches readiness or provides
opportunities for its nurture; one does not
simply wait for it. Readiness , in these
terms, consists of mastery of those simple
skills that permit one to reach higher skills ”
บรูเนอร์ แบ่งพัฒนาการทางความรู ้ ความเง้าใจงองมนุ ษย์ เป็ น 3 ลักษณะ

ลักษณะที่ 1 การกระทา ( อายุ 2 – 7 ปี )



ลักษณะที่ 2 การสร้างภาพในใจ ( อายุ 7 – 11 ปี )

ลักษณะที่ 3 การใช้สญั ลักษณ์ ( อายุ 11 – 15 ปี )

Enactive representation
Iconic representation
Symbolic representation
ความคิดเห็นงอง บรูเนอร์ ที่มีผลต่อการศึกษา
 1. ทาให้ตระหนักถึงการจัดวัสดุอปุ กรณ์ท่เี หมาะสมในการสอนให้กบั
เด็กเล็กๆ เพื่อกระตุน้ การกระทา ให้เกิดการรับรูง้ า่ ย
 2. เน้นความสาคัญงองผูเ้ รียน มีบทบาทและคิดค้นกระทาสิง่ ต่างๆ
ด้วยตนเอง ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรูแ้ บบ discovery
learning
 3. เราสามารถจัดการสอนเนื้ อหาวิชาใดๆ ให้กบั เด็กในช่วงใด
งองชีวติ ขด้ ถ้ารูจ้ กั เลือกวิธกี ารที่เหมาะสม
 4. เน้น interaction ระหว่างผูส้ อนกับผูเ้ รียน
3.1 ทฤษฎีพฒ
ั นำกำรทำง จริยธรรมของ “Kolberg ”
 เป็ นทฤษฎีท่เี กี่ยวง้องกับการให้เหตุผลทางจริยธรรม โดยศึกษา
แนวทางจากงานวิจยั งองเพียเจท์
 เมื่อเด็กโตงึ้นจะเลือกกระทาพฤติกรรมโดยคานึ งถึงส่วนรวมหรือ
ชุมชนมากงึ้น และลดการกระทาเพื่อตนเองลง
ระดับงองการให้เหตุผลทางจริยธรรม 3 ระดับ
 ระดับที่ 1 ระดับก่อนเกณฑ์ (อายุ 2-10 ปี )

เหตุผลทางจริยธรรม ความคาดหวังในรางวัล หรือการถูกลงโทษ

งัน้ ที่ 1 หลักการหลีกเลี่ยงมิให้ถกู ลงโทษ (อายุ 2-7 ปี )

เด็กเชื่อกฎเกณฑ์เพือ่ ขม่ให้ถกู ลงโทษ

งัน้ ที่ 2 หลักการขด้รบั รางวัล (อายุ 7-10 ปี )

พฤติกรรมบุคคลจะคล้อยตามกฎเกณฑ์สงั คม

เพือ่ ที่จะให้ขด้รบั รางวัล
 (เน้นความมึงพอใจงองตนเองเป็ นสาคัญ ขม่คานึ งถึงบุคคลอืน่ )
ระดับงองการให้เหตุผลทางจริยธรรม 3 ระดับ
 ระดับที่ 2 ระดับตามกฎเกณฑ์ (อายุ 10-16 ปี )
 เหตุผลทางจริยธรรม มีพ้ นื ฐานอยู่บนการคล้อยตามบุคคลอืน่
 และมาตรฐานทางสังคม






งัน้ ที่ 3 หลักการทาตามความเห็นงองผูอ้ น่ื (อายุ 10-13 ปี )
จะทาในสิง่ ที่ผูอ้ น่ื เห็นว่าดี ให้ผูอ้ น่ื ยอมรับในตัวเงา
งัน้ ที่ 4 หลักการทาตามหน้าที่ (อายุ 13-16 ปี )
ทาเพราะเป็ นหน้าที่ท่ตี อ้ งรับผิดชอบต่อสังคม เพือ่
หลีกเลี่ยงการถูกตาหนิ จากสังคม
(ทาตามกฎเกณฑ์งองกลุม่ ที่ตนเองเป็ นสมาชิก เพือ่ ให้กลุม่ /องค์การยอมรับ)
ระดับงองการให้เหตุผลทางจริยธรรม 3 ระดับ
 ระดับที่ 3 ระดับเหนื อกฎเกณฑ์
(อายุ 16 ปี ง้ ึนขป)

เป็ นระดับสูงสุดงองการให้เหตุผลทางจริยธรรม พื้นฐานการกระทาอยู่บน







มาตรฐานและความเชื่อส่วนบุคคล
งัน้ ที่ 5 หลักการมีเหตุผลและเคารพตนเอง
ยอมรับกฎเกณฑ์แบบประชาธิปขตย ควบคุมตนเองให้อยู่
ในกรอบขม่ทาอะขรที่จะขปกระทบสิทธิงองผูอ้ น่ื
งัน้ ที่ 6 หลักการทาตามอุดมคติสากล
บุคคลจะมีคุณธรรมประจาใจ มีหริ โิ อตัปปะ มีเหตุผลใน
การเลือกกระทาพฤติกรรม
(มีบคุ คลจานวนน้อยมากที่จะพัฒนาถึงงัน้ นี้ ขด้ บางคนอาจขม่เคยมีเลย)