Transcript บทนิยาม
หน่วยที่ 1
ฟั งก์ชนั ลิมิต ความต่อเนื่อง
และจานวนเชิงซ้อน
อ.ปิ ยพร นุรารักษ์
ตอนที่ 1.1
ฟังก์ ชัน
นิยาม
ความสัมพันธ์ f เป็ นฟั งก์ชนั ก็ตอ่ เมื่อ
ถ้า (x, y ) และ (x,z) เป็ นสมาชิกของ f แล้ว
จะได้ว่า y = z
ให้ f เป็ นฟั งก์ชนั ใดๆ และ (x,y) เป็ นสมาชิกของ f
จะเรียก y ว่าเป็ นค่าของฟั งก์ชนั f ที่ x และเขียน
y f (x)
โดยที่ x
y
คือ ตัวแปรอิสระ (independent variable)
คือ ตัวแปรตาม (dependent variable)
การพิจารณาว่าความสัมพันธ์ใดเป็ นฟั งก์ชันหรือไม่
สามารถพิจารณาได้โดย
วิธีท่ี 1 การพิจารณาโดยอาศัยบทนิยาม
วิธีท่ี 2 การพิจารณาจากกราฟ
วิธีที่ 1 การพิจารณาโดยอาศัยบทนิยาม
•ความสัมพันธ์ r จะเป็ นฟั งก์ชนั ก็ตอ่ เมื่อ
สมาชิกตัวหน้าแต่ละตัวของคู่อนั ดับใน r ไม่ซ้ ากัน
หรือ
•ความสัมพันธ์ r จะไม่เป็ นฟั งก์ชนั ก็ตอ่ เมื่อ
สมาชิกตัวหน้าแต่ละตัวของคู่อนั ดับใน r ซ้ ากัน ขณะที่
สมาชิกตัวหลังต่างกัน
วิธีที่ 2 การพิจารณาจากกราฟ
•ถ้ามีเส้นตรงที่ขนานกับแกน y
ตัดกราฟของความสัมพันธ์ มากกว่า 1 จุด แล้ว
ความสัมพันธ์น้ ี ไม่เป็ นฟั งก์ชนั
หรือ
•ถ้าไม่มีเส้นตรงที่ขนานกับแกน y
ตัดกราฟของความสัมพันธ์มากกว่า 1 จุด แล้ว
ความสัมพันธ์น้ ี เป็ นฟั งก์ชนั
ตัวอย่าง
กาหนดให้ความสัมพันธ์ r1 = {(3,4),(5,6),(7,8)}
และ r2 = {(3,4),(3,5),(7,8)}
จงพิจารณาว่า r1, r2 เป็ นฟั งก์ชนั หรือไม่ โดย
1)
พิจารณาโดยอาศัยบทนิ ยาม
2)
พิจารณาจากกราฟ
วิธีทา 1)
พิจารณาโดยอาศัยบทนิยาม
r1 = {(3,4),(5,6),(7,8)}
เป็ นฟั งก์ชนั เพราะทุกๆ คู่อนั ดับไม่มีสมาชิกตัวหน้าซ้ ากัน
r2 = {(3,4),(3,6),(7,8)}
ไม่เป็ นฟั งก์ชนั เพราะตัวหน้าของคู่อนั ดับใน r2 ซ้ ากัน
ขณะที่ตวั หลังต่างกัน
2)
พิจารณาจากกราฟ
r1 = {(3,4),(5,6),(7,8)}
เป็ นฟั งก์ชนั เพราะทุกๆ คู่อนั ดับไม่มีสมาชิกตัวหน้าซ้ ากัน
r2 = {(3,4),(3,6),(7,8)}
ไม่เป็ นฟั งก์ชนั เพราะตัวหน้าของคู่อนั ดับใน r2 ซ้ ากัน
ขณะที่ตวั หลังต่างกัน
โดเมนและเรนจ์ของฟั งก์ชนั
ถ้า ความสัมพันธ์ f เป็ นฟั งก์ชนั แล้ว
โดเมนของ f คือ
Df x (x, y) f
เรนจ์ของ f คือ
Rf y (x, y) f
บทนิยาม f จะเป็ นฟั งก์ชนั จากเซต X ไปเซต Y ก็ต่อเมื่อโดเมน
ของ f เท่ากับ X และ เรนจ์ของ f เป็ นสับเซตของ Y
เราจะเขียน
f : XY
แทนฟั งก์ชนั f จากเซต X ไปยังเซต Y
ฟังก์ชนั ไปทัว่ ถึง
บทนิยาม f เป็ นฟังก์ชนั จากเซต X ไปทัว่ ถึงเซต Y (onto function)
ก็ต่อเมือ่
Df X
Rf Y
Y
X
f
4
6
8
a
b
ฟังก์ ชันหนึ่งต่ อหนึ่ง
บทนิยาม f เป็ นฟั งก์ชนั หนึ่ งต่อหนึ่ ง (one to one function)
ก็ต่อเมื่อ ถ้า x1, x2 X และ f(x1)= f(x2) แล้วจะได้
x1 = x2
Y
X
f
x1
f(x1)
x2
f(x2)
x3
f(x3)
ฟังก์ ชันผกผัน
เนื่ องจากฟั งก์ชนั เป็ นความสัมพันธ์ ดังนั้นเราสามารถหา
ความสัมพันธ์ผกผันของฟั งก์ชนั ใดๆ ที่กาหนดให้ได้เสมอ
โดยที่ความสัมพันธ์ของฟั งก์ชนั อาจมีคุณสมบัติเป็ นฟั งก์ชนั
หรือไม่เป็ นฟั งก์ชนั ก็ได้
ข้อสังเกต เราพบว่าฟั งก์ชนั f จะมีฟังก์ชนั ผกผัน เมื่อ f
เป็ นฟั งก์ชนั แบบหนึ่ งต่อหนึ่ ง และจะได้วา่ ฟั งก์ชนั f-1 เป็ น
ฟั งก์ชนั หนึ่ งต่อหนึ่ งด้วย
ฟั งก์ชนั พีชคณิต
เป็ นฟั งก์ชนั ที่ค่าของฟั งก์ชนั เขียนในรูปสัญลักษณ์ทางพีชคณิต
ที่ประกอบด้วยค่าคงตัว ตัวแปร และเครื่องหมาย บวก ลบ
คูณ หาร กรณฑ์ หรือยกกาลัง เช่น
y 2x 1, f (x) 3,
2x 1
y
3
3x
y 5x x , y 3x x 1,
2
ฟั งก์ชนั พีชคณิตที่นามาใช้ในวิชาแคลคูลสั ได้แก่
1.ฟั งก์ชนั พหุนาม (polynomial functions)
2.ฟั งก์ชนั ตรรกยะ (rational functions)
ฟั งก์ชนั พีชคณิตที่นามาใช้ในวิชาแคลคูลสั ได้แก่
1.ฟั งก์ชนั พหุนาม (polynomial functions)
f (x) a n x a n 1x
n
n 1
a n 2 x
n 2
... a 2 x a1x a 0
โดยที่ a 0 ,a1 ,a 2 ,...,a n 1,a n เป็ นจานวนจริง และ
ซึ่งเรียกว่า สัมประสิทธิ์ของพหุนาม
และ n เป็ นจานวนเต็มบวกหรือศูนย์
เราจะเรียก f ว่าเป็ นฟั งก์ชนั พหุนามดีกรี n
g(x) 3x 2x 2
3
f (x) 2x 1
2
an 0
2.ฟั งก์ชนั ตรรกยะ (rational functions)
คือ ฟั งก์ชนั ที่เขียนอยูใ่ นรูปผลหารของฟั งก์ชนั พหุนาม
ถ้า f(x) เป็ นฟั งก์ชนั ตรรกยะ จะได้วา่
P(x)
f (x)
Q(x)
โดยที่ P(x) และ Q(x) เป็ นฟั งก์ชนั พหุนาม และ Q(x) ≠ 0
2x 2
f (x) 4
x 9
2x 2 3x 9
g(x) 3
x (x 3)
ฟั งก์ชนั อดิศยั (transcendental functions)
คือฟั งก์ชนั ที่ไม่ใช่ฟังก์ชนั พีชคณิต เช่น
1. ฟั งก์ชนั เอ็กซ์โปเนนเชียล
f { x, y R R / x a y ,a 0,a 1}
2. ฟั งก์ชนั ลอการิทึม
x
f { x, y R R / y a ,a 0,a 1}
f { x, y R R / y log x a ,a 0,a 1}
3. ฟั งก์ชนั ตรีโกณมิติ
ฟั งก์ชนั sin, cos, tan, sec, cosec หรือ cot
ตอนที่ 1.2
ลิมิตและความต่ อเนื่องของฟังก์ ชัน
ทฤษฎีบท ฟั งก์ชนั f(x)มีลิมิตที่ x=a เท่ากับ L ก็ต่อเมื่อลิมิตซ้าย
และลิมิตขวาของ f ที่ a หาค่าและมีค่าเท่ากับ L นัน่ คือ
limf (x) L
x a
ก็ต่อเมื่อ
lim f (x) lim f (x) L
x a
x a
ตัวอย่าง จงพิจารณาลิมิตที่ x= 0, 1, 2, 3, 4
x 0 0;
x 0 1;
lim f (x) 2
x 0
lim f (x) 0
x 1
lim f (x) 2
x 1
lim f (x) lim f (x)
x 1
x 0 2;
x 1
lim f (x) 2
x 2
lim f (x) 2
x 2
lim f (x) 2 f (2)
x 2
(x) 4 f (3)
x 0 3; limf
x 3
x 0 4; lim f (x) 2
x 4
ความต่อเนื่องของฟั งก์ชนั
บทนิยาม ฟั งก์ชนั f ต่อเนื่ องที่ x = a ก็ต่อเมื่อ
เงื่อนไขต่อไปนี้ เป็ นจริงทุกข้อ
1. f(a)
หาค่าได้เป็ นจานวนจริง
(x)
หาค่าได้เป็ นจานวนจริง
2. limf
x a
(x) f (a)
3. limf
x a
ตัวอย่าง จงทดสอบความต่อเนื่ องที่ x= 1, 2, 3
f ไม่ต่อเนื่ องที่ x = 1
เพราะว่า f(1) = 1 หาค่าได้ แต่
lim f (x) 0 f (1)
x 1
f ไม่ต่อเนื่ องที่ x = 2 เพราะว่า f(2) = 2 หาค่าได้
แต่ limf (x) 1 f (2)
f ต่อเนื่ องที่ x = 3
เพราะว่า f(3) = 2 หาค่าได้
(x) 2 f (3)
และ limf
x 3
x 2
ตอนที่ 1.3
จานวนเชิงซ้ อนเบือ้ งต้ น
ในระบบจานวนจริง ถ้า x R แล้ว x 0 เสมอ
ดังนั้นสมการ เช่น x 1 0 หรือ x 1 จึงไม่สามารถหา
คาตอบได้ในระบบจานวนจริงจึงต้องสร้างจานวนที่ไม่ใช่
จานวนจริงขึ้ นมา ซึ่งเราเรียกว่า จานวนจินตภาพ
(imaginary number) โดยกาหนดให้ i 1 และ i 1
และเรียกจานวนที่อยูใ่ นรูป a+bi เมื่อ a, b R
ว่า จานวนเชิงซ้อน
2
2
2
2
จานวนเชิงซ้อน (complex number) เขียนแทนด้วย z
และในบางครั้งสามารถเขียนแทนด้วยคู่ลาดับ (a,b)
โดยจะได้วา่ z = a + bi
เรียก a ว่า เป็ นส่วนจริงของจานวนเชิงซ้อน z
b ว่า เป็ นส่วนจินตภาพของจานวนเชิงซ้อน z
การดาเนินการของจานวนเชิงซ้อน
1. การเท่ากันของจานวนเชิงซ้อน
ให้ z1 = a + bi และ z2 = c + di
z1 = z2 ก็ต่อเมื่อ a = c และ b = d
2. การบวกจานวนเชิงซ้อน
ให้ z1 = a + bi และ z2 = c + di
z1 + z2 = (a+c) + (b+d)i
3. การคูณจานวนเชิงซ้อนด้วยจานวนจริง
ให้ z = a + bi และ k เป็ นจานวนจริงใดๆ
kz = ka + kbi
4. การคูณจานวนเชิงซ้อนด้วยจานวนเชิงซ้อน
ให้ z1 = a + bi และ z2 = c + di
z1 z2 = (a + bi)( c + di) = (ac-bd)+(ad+bc)i
5. การหารจานวนเชิงซ้อนด้วยจานวนเชิงซ้อน
ให้ z1 = a + bi และ z2 = c + di และ z 0
z1 a bi c di
z 2 c di c di
a bi c di
c2 d 2
(ac bd) (bc ad)i
c2 d 2
2
6. ค่าสัมบูรณ์ของจานวนเชิงซ้อน a + bi
ให้ z = a + bi ค่าสัมบูรณ์ของจานวนเชิงซ้อนของ z คือ
z a b
2
2
7. คอนจูเกต (conjugate) ของจานวนเชิงซ้อน z คือ z
ถ้า z a bi จะได้ z a bi
ตัวอย่าง
จงหา
กาหนดให้
z1 z 2
z1 3 2i
(3 2i) (2 i)
(3 2) (2i (i))
(2 3) (2 1)i
5i
z2 z1
(2 i) (3 2i)
(2 3) ( i 2i)
(2 3) ( 1 2)i
1 3i
z2 2 i
3z 2
3(2 i)
3(2) 3(1)i
6 3i
z1 z 2
(3 2i) (2 i)
[(3)(2) (2)(1)] [(2)(2) (3)( 1)]i
[6 (2)] [4 (3)]i
[6 2] [4 3]i
8i
z2
z1
Z2 Z1 [(2)(3) (1)(2)] [(1)(3) (2)(2)]i
Z1 Z1
32 22
[(6) (2)] [(3) (4)]i
94
4 7i 4 7
i
13
13 13
z 2 22 (1) 2
4 1 5
z2 2 i
2i