Document 7809110

Download Report

Transcript Document 7809110

ที่
1
2
3
4
5
6
7
ื่ กั ศกึษาปริญญาโท คณะศกึษาศาสตร์ สาขาการวิจยัการศกึษา
รายชอน
มหาวิทยาลยรา
ั มคแ
าหง ปีการศกึษา 2547
ชอื่ - สกุล
รหสั นกั ศกึษา
สถานทีท่ ง
าาน
เบอร์โทร.
นายรงัสรรค์กลิน่ แก้ว
4712540062 ร.ร.บางพลีราษฎร์บารงุ อ.บางพลี 06-891-5381
จ.สมุทรปราการ 10540
นายพจน์เสอื รมั ย์
4712540087 ร.ร.วงั ไพรวิทยาคม ต.วงั ใหม่
07-0423998
อ.วงั สมบูรณ์จ.สระแก้ว 27250
นางสาวมลัลวีร์ ตนั ประสาท
4712540048 ร.ร.วดั ยางสุทธาราม เขตบางกอก
06-7449500
น้อย กทม. 10700
นางสาววรารตั น์ อินทรา
4712540035 ร.ร.วดั พระพิเรนทร์ เขตป้อมปราบ 09-5029310
ั พ่าย กทม.
ศตรู
นางสาววิภา วรรณวิจิตร
4712540023 มหาวิทยาลยสุ
ั โขทยธ
ั รรมาธิราช
01-3820873
จ.นนทบุรี
ิ ร แซโค้
่ว
นางสาวศริพ
4712540011 สถาบนั การบินพลเรือน ถ.พหล
05-1090375
โยธิน เขตรจตุจกั ร กทม.
นายสุขุมพนั ธ์ รกั พงษ์
4712540099 ร.ร.สุเหร่าอีรวั้ เขตหนองจอกกทม. 04-7453278
8 นางณั
ฐวรีย์ประยูรวรรณ
9 นางสาวสุดารตั น์ จอมคส
างิห์
4712540050 วิทยาลยก
ั ารจดั การมหาวิทยาลยั
มหิดลศูนย์สาทร ถ.สารทร เขตยาน
นาวา กทม.
4712540075 มหาวิทยาลยรา
ั ชภฎั จนั ทรเกษม
E-mail/WebSite
[email protected]
http://rklinkaeo.freeservers.com
[email protected]
-
http://smileschoolwhitenet.com/suraoeruase
02-6765678
ต่อ632
01-5814458 [email protected]
นิทรรศบางพลี ๔๗
๒๘ มกราคม
๒๕๔๘
ผลงานอาจารย์ ๓
นาเสนอ
โดย
นายรังสรรค์ กลิน
่ แก ้ว
โรงเรียนบางพลีราษฎร์
บารุง
สานักงานเขตพืน
้ ที่
ึ ษา
การศก
สมุทรปราการ เขต ๒
อ.บางพลี
จ.สมุทรปราการ
ครุศาสตรบัณฑิต
วิชาเอกภาษาไทย
ิ ปศก
ึ ษา
วิชาโทศล
แหล่งเรียนรู ้คูค
่ ณ
ุ ธรรม
http://www.geocities.com/r
ungsun_kk
E-mail :
[email protected]
m
กลุ่มสาระการเรียนรู ้
ภาษาไทย
สายครูผู ้สอน
ั ้ มัธยมศก
ึ ษาปี ท ี่
ระดับชน
๑
ั ้ มัธยมศก
ึ ษาปี ท ี่
ระดับชน
๒
คติ
รู ้ให ้แตกฉาน
เกิดความชานาญ
การ
ความหมายชองญาณวิทยา
ทฤษฎีบ่อเกิดของความรู ้
เหตุผลนิ ยม (Rationalism)
ประจักษ ์นิ ยม (Empiricism)
เพทนาการนิ ยม (Sensationism)
อนุ มานนิ ยม (Apriorism)
อ ัชฌัตติกญาณนิ ยม (Intuitionism)
ทฤษฎีธรรมชาติของความรู ้
จิตนิ ยม (Idealism)
สัจนิ ยม (Realism)
ปฏิบต
ั น
ิ ิ ยม (Pragmatism)
ทฤษฎีธรรมชาติของความรู ้
จิตนิ ยม (Idealism)
่ าแก่ทสุ
่ มนุ ษย ์ สามารถเข้าใจปรากฏการณ์ของธรรมชาติม ี
เป็ นความเชือเก่
ี่ ดของปร ัชญาเริมมี
่ า ธาตุอ ันดารงอยู ่อย่างแท้จริงมีลก
่ มาจาก จอร ์จ เบ
ความเชือว่
ั ษณะเป็ นวิญญาณ เป็ นแนวความคิดทีได้
ริคเลย ์ (George Berkley) ปร ับปรุงแนวความคิดของประจ ักษ ์นิ ยมเป็ นจิตนิ ยมเชิงอ ัตวิสย
ั (Subjective
่ อกพู ดถึงเป็ นเพียงการรวมตัวของคุณสมบัตแ
Idealism) สสารทีล็
ิ ท้และคุณสมบัตป
ิ ระกอบเข้าด้วยกัน
่ จิ
่ ตร ับรู ้หรือเห็นว่ามีอยู ่เท่านัน
้ สิงทั
่ งหมดเป็
้
แท้จริงเป็ นเพียงสิงที
นเพียงภาวะจิตร ับรู ้ มิได้มอ
ี ยู ่อย่างแท้จริง
่ นว่าสิงภายนอกทั
่
้
ทีเห็
งหมดมิ
ได้มอ
ี ยู ่อย่างแท้จริง จึงเรียกว่าจิตนิ ยมเชิงอ ัตวิสย
ั ไม่ยอมร ับว่าคุณสมบัตท
ิ ี่
้ กับคุ
่
แท้จริงของว ัตถุ เช่น การกินเนื อที
ณสมบัตป
ิ ระกอบของว ัตถุ เช่น สี ของว ัตถุเป็ นคนละสภาวะ เพราะ
้
่ อยู
่ ่เหนื อการร ับรู ้เป็ นความเพ้อฝั น
ทังสองอย่
างต่างก็เป็ นเพียงการร ับรู ้ของจิต และสสาร (ว ัตถุ) หรือสิงที
่ อยู
่ ่เหนื อการสัมผัสได้อย่างไร สิงที
่ ขึ
่ นอยู
้
เพราะจะยอมร ับความมีอยู ่ของสิงที
่กบ
ั การร ับรู ้มีสภาพเป็ นจิตหรือ
่ จิ
่ ตสร ้างขึนทั
้ งหมด
้
สิงที
จิตนิ ยมเป็ นทฤษฎีทให้
ี่ ความสาคัญแก่ความคิดมากกว่าข้อเท็จจริง
จิตนิ ยมแบ่งออกเป็ น 3 สาขา
่ าสิงที
่ เรารู
่
้
้
1. .จิตนิ ยมเชิงอ ัตวืสย
ั (Subjective Idealism) เชือว่
้ทังปวงขึ
นอยู
่ก ับจิตตัวเอง นัก
ปร ัชญา คือ จอร ์จ เบริคเลย ์
่ าความรู ้ทีเป็
่ นไปได้นน
้ั คือ ควมรู ้ทีเกี
่ ยวกั
่
2. ปรากฏกาณ์นิยม (Phenomenalism) เชือว่
บ
้ ว ัตถุเป็ นสิงเดี
่ ยวกันกับปรากฏการณ์ความมีอยู ่ของว ัตถุ และคุณสมบัตข
ปรากฏการณ์เท่านัน
ิ องว ัตถุจงึ
้
่ กรู ้ สิงที
่ ปรากฏในสภาพที
่
่
่ นนั
้ ่นเเอง คือว ัตถุนนหรื
้ั
ขึนอยู
่กบ
ั ผู ร้ ับรู ้ หรือการทีถู
ปรากฏการณ์
ของสิงนั
อสิง่
้ ความรู ้เกียวก
่
้ั
่ นเป็
้
้
นัน
ับว ัตถุนนหรื
อสิงนั
นความรู ้ตรงและขึนอยู
่ก ับการคิดของจิต นักปร ัชญา คือ อิมมานู
เอล คานท ์
2. สัจนิ ยม (Realism)
่ าผัสสะหรือประสบการณ์มส
่ รู่ ้โดยตรงจากประสบการณ์นนไม่
้ั
เชือว่
ี ่วนเข้าถึงความจริง สิงที
้
่
่ ปรากฏต่
่
ขึนอยู
่ก ับจิตของผู ร้ ับรู ้ คือ จิตของผู ร้ ับรู ้ไม่เปลียนแปลงรู
ปแบบของความจริงสิงที
อประสาท
้
่
่ นจริง อาจมี
สัมผัส ความจริงก็เป็ นอย่างนันไม่
มค
ี วามแตกต่างระหว่างสภาพทีปรากฏก
ับสภาพทีเป็
้ั องสร ้าง
บางอย่างประสาทสัมผัสไม่ได้ เพราะประสาทสัมผัสมีขอบเขตจาก ัดในการร ับรู ้ บางครงต้
่
้
่
้ เช่น แว่น
เครืองมื
อขึนมาช่
วยขยายความสามารถของประสาทสัมผัส เพือให้
รู ้ความจริงมากขึน
ขยาย กล้องจุลทรรศน์ สัจนิ ยมเป็ นทฤษฎีทให้
ี่ ความสาค ัญแก่ความมีอยู ่ของวัตถุว่าเป็ นจริง สัจนิ ยม
แบ่งออกเป็ น 3 สาขา คือ
่ าความจริงเป็ นเอกเทศในต ัวมันเองไม่
1. สัจนิ ยมแบบผิวเผิน (Native Realism) เชือว่
้ ับการร ับรู ้ของจิตหรือผู ร้ ู ้ ไม่ว่าจะมีใครไปร ับรู ้มันหรือไม่ มันก็คงมีอยู ่ตามปกติของมัน และปรากฏ
ขึนก
่ น ความรู ้เกิดจากการทีจิ
่ ตถ่ายแบบหรือลอกแบบสิงภายนอกพร
่
้ ณภาพทุก
ต่อประสาทตามทีเป็
้อมทังคุ
่
อย่าง ความเป็ นจริงของแต่ละสิงอย่
างไรสามารถถ่ายแบบได้หมด ขนาด สี รู ปร่าง เสียง อุณหภู ม ิ
่
้ นคุณภาพ (Quality) ทีมี
่ จริงของวัตถุภายนอก มิใช่เป็ นสิงที
่ จิ
่ ตสร ้างจึน
้
สิงเหล่
านี เป็
่ าไม่สามารถเข้าถึงความจริงโดยตรง แต่
2. สัจนิ ยมแบบต ัวแทน (Representative) เชือว่
เข้าถึงด้วยข้อมู ลอ ันเป็ นต ัวแทนของความจริง นักปร ัชญา คือ ล็อก ล็อก ได้กล่าวว่า การร ับรู ้
(Perception) โลกภายนอกโดยผ่านทางมโนคติ (Idea) มโนคติคอ
ื ต ัวแทนนของวัตถุซงไม่
ึ่ มอ
ี ยู ่จริงใน
จิตมนุ ษย ์ แต่เป็ นภาพถ่ายโลกภายนอก แต่ร ับรู ้โลกภายนอกโดยตรงไม่ได้สงรู
ิ่ ้ได้คอ
ื มโนคติ มีได้ 2
ทาง คือ ประสาทสัมผัส (Sensation) คือการร ับรู ้ข้อมู ลจากภายนอก เช่น นัยน์ตาเห็นดอกกุหลาบ
้
่ ร่ ับรู ้จึงไม่ใช่ดอกกุหลาบแต่เป็ นมโนคติ
(ข้อมู ลภายนอก) มโนคติของดอกกุหลาบเกิดขึนในจิ
ต สิงที
ของดอกกุหลาบ การไตร่ตรอง (Reflection) เป็ นการทางานของจิต เช่น มโนคติเกิดจากการร ับรุ ้
่
(เห็น) ดอกกุหลาบย่อมช ัดเจนว่าการนึ กถึงดอกกุหลาบ การไตร่ตรองเป็ นข้อมู ลภายใน ซึงจะเกิ
ดไม่ได้
หากไม่ผ่านประสาทสัมผัสมาก่อน เช่น ถ้าไม่เคยเห็นดอกกุหลาบมาก่อนจะไม่สามารถนึ กถึงดอก
่ าง ๆ ได้โดยตรงร ับรู ้อย่างไรก็เป็ นอย่างนัน
้ ไม่มค
มนุ ษย ์สามารถร ับรู ้สิงต่
ี วามแตกต่างระหว่าง
่
สภาพความเป็ นจริงกับสภาพทีปรากฏ
เช่น ร ับรู ้ว่าดอกกุหลาบสีแดง ในความเป็ นจริงดอก
กุหลาบก็สแ
ี ดงแบบเดียวกับทีร่ ับรู ้
3. ปฏิบต
ั น
ิ ิ ยม (Pragmatism)
่ าความรู ้เป็ นสิงจ
่ าเป็ นสาหร ับชีวต
่
เชือว่
ิ ความคิดเป็ นเครืองมื
อของการกระทา
่
่ ้ความหมาย การรู ้ การจา และจินตนาการก็คอ
ความคิดทีเอาไปใช้
ไม่ได้กเ็ ป็ นสิงไร
ื การ
่
่ อยู ่ในจิต หรือเป็ นเพียงถ่าย
ปร ับต ัวให้เหมาะสมกับสิงแวดล้
อม ความคิดมิใช่เป็ นเพียงสิงมี
้ แต่เป็ นสิงมี
่ การพัฒนาการไปตามพัฒนาการของชีวต
แบบความจริงเท่านัน
ิ เห็นว่าขณะที่
ไม่รู ้โครงสร ้างของมนัส (ความคิด) จึงควรยึดประสิทธิภาพในการปฏิบต
ั ไิ ปก่อน นักปร ัชญา
มี 3 ท่าน ได้แก่
่ าประสิทธิภาพเป็ น
1. ชาเลส แชนเดอร ์ เพิร ์ส (Charles Sanders Peirce) เชือว่
ต ัวกาหนดความจริงกาหนดวิธรี ู ้ก่อนแล้วจึงจะรู ้ว่าอะไรจริง คือ วิธวี ท
ิ ยาศาสตร ์ ได้เสนอ
ทฤษฎีความหมาย (Theory Of Sign) ถือว่าทฤษฎีนี้ เป็ นทฤษฎีตรรกวิทยา (Logic
้ อว่าพฤติกรรมเป็ นเพียงส่วนเสริมของคามหมาย คุณสมบัตต
Theory) ทฤษฎีนีถื
ิ า
่ ง ๆ อ ัน
่ นมาตรฐานสาหร ับมนุ ษย ์
เป็ นวัตถุวส
ิ ย
ั เป็ นแกนของความหมาย และเห็นว่าควรมีภาษาทีเป็
ทุกคน
่ ามนุ ษย ์ควรยึดความคิดของตนเองใน
2. วิลเลียม เจมส ์ (William James) เชือว่
่ ด
แง่ ทเห็
ี่ นว่าจะมีประสิทธิภาพในทางปฏิบต
ั ม
ิ ากทีสุ
3. จอห ์น ดิวอี ้ (John Dewey) เป็ นนักปฏิบต
ั น
ิ ิ ยมแบบอุปกรณ์นิยม
สรุป
่
่ กษาลักษณะ
ญาณวิทยา เป็ นเรืองที
ศึ
่
เด่นของความเป็ นมนุ ษย ์ทีเหนื
อกว่าสัตว ์ประเภท
่ คือ รู ้จักคิด ทาให้มนุ ษย ์มีความรู ้ มี
อืน
สติปัญญา จนสามารถพัฒนาต ัวเองให้กา้ วหน้า
ไปไกลกว่าสัตว ์ในทุก ๆ ด้าน นี่ คือภารกิจญาณ
วิทยา ญาณวิทยาจึงเป็ นปร ัชญาบริสุทธิ ์ เพราะ
่
้ั
การทีจะรู
้เข้าใจความจริง (อภิปร ัชญา) ได้นน
ก็ตอ
้ งอาศ ัยญาณวิทยาสืบค้นหาความจริง
่
ทาการศึกษาวิเคราะห ์เรืองของความรู
้อย่าง
กลุ่มที่ ๒
่
เรือง การพัฒนาแบบวัดเจตนคติ
ตามวิธข
ี องเทอร ์สโตนและลิเคิร ์ท
สมาชิกกลุ่ม
่
๑. นายร ังสรรค ์ กลินแก้
ว
โทร. ๐๖-๘๙๑-๕๓๘๑
๒. นายพจน์ เสือร ัมย ์
รหัส ๔๗๑๒๕๔๐๐๖๒
รหัส ๔๗๑๒๕๔๐๐๘๗
การพัฒนาแบบวัดเจตคติตามวิธ ี
ของเทอร
์สโตน
ใน ค.ศ. 1929 เทอร ์สโตนและเชฟ (Thurstone and Chave)
ได้เสนอวิธก
ี ารสร ้างแบบว ัดเจตคติทอาศ
ี่
ัยกลุ่มบุคคลช่วยพิจารณา
่ ว ัดเจตคติตามแนวคิดของเทอร ์สโตน
ตัดสินค่าของความคิดเห็นทีใช้
่ ตอ
่
แลเชฟ ความรู ้ของบุคคลทีมี
่ ว ัตถุ สิงของหรื
อสถานการณ์เป็ น
่ ดจนถึงเห็นด้วยมากทีสุ
่ ดโดยช่วง
ของต่อเนื่ องจากไม่เห็นด้วยมากทีสุ
ความรู ้สึกแบ่งเป็ น 11 ช่วง
้
ขันตอนในการสร
้างแบบว ัดเจตคติ
1. กาหนดเป้ าหมายของเจตคติทต้
ี่ องการศึกษา
่ าไปใช้ว ัดเจตคติ
2. รวบรวมข้อความคิดเห็นทีน
3. ให้กลุ่มผู ต
้ ด
ั สินพิจารณาและกาหนดค่าข้อความคิดเห็น
4. คานวณค่าประจาข้อและค่าการกระจายของความคิดเห็น
ของผู ต
้ ด
ั สิน
้ ่ 1 กาหนดเป้ าหมายของเจตคติท ี่
ขันที
ต้องการศึกษา
ต้องกาหนดเป้ าหมาย
่
จองเจตคติและนิ ยามสิงต้องการ
วัดให้ช ัดเจน เช่น ผู ส
้ ร ้างแบบ
วัดกาหนดเป้ าหมายของเจตคติ
ต่อวิชาอาชีพช่างอุตสาหกรรม
และในการว ัดจะครอบคลุมด้าน
้ ่ 2 รวบรวมข้อความคิดเห็นที่
ขันที
นาไปใช้
ด
ั นเจตคติ
่
่
เป็ นการรวบรวมข้
อคิดวเห็
ต่อเรืองที
จะศึ
กษา
ข้อความอาจมาจากวารสาร หนังสือพิมพ ์ การอภิปราย
่ องการมากทีสุ
่ ด มีลก
ประสบการณ์ ครอบคลุมทีต้
ั ษณะ
ด ังนี ้
1. ไม่เป็ นข้อเท็จจริง ควรสะท้อนความรู ้สึกของ
บุคคล
่
องกับเหตุการณ์ปัจจุบน
ั
2. เกียวข้
3. ใช้ภาษาง่ ายช ัดเจนและตรงประเด็น
4. ความหมายเดียว
้
5. ไม่ใช้คาคลุมเครือ เช่น ทังหมด
เสมอ ไม่ม ี
ข้อความคิดเห็นในการวัดเจตคติตอ
่ วิชาอาชีพช่าง
อุตสาหกรรม
่ ยนวิชาอาชีพช่าง
1. ข้าพเจ้ารู ้สึกสบายใจเมือเรี
อุตสาหกรรม
่ าเบือ
่
2. วิชาอาชีพช่างอุตสาหกรรมเป็ นวิชาทีน่
3. วิชาอาชีพช่างอุตสาหกรรมทาให้รู ้วิธก
ี ารประดิษฐ ์สิง่
ใหม่ ๆ
่ ยนสนุ ก
4. วิชาอาชีพช่างอุตสาหกรรมเป็ นวิชาทีเรี
5. ถ้าให้เรียนใหม่ขา้ พเจ้าไม่เลือกเรียนวิชาอาชีพช่าง
อุตสาหกรรม
้
6. เนื อหาวิ
ชาอาชีพช่างอุตสาหกรรมทาให้ทน
ั โลกทัน
เหตุการณ์
่ ๆ
7. กิจกรรมการปฏิบต
ั งิ านทาให้ผลการเรียนในวิชาอืน
่
้ ่ 3 ให้กลุ่มผู ต
ขันที
้ ด
ั สินพิจารณาและกาหนดค่า
ข้อความคิดเห็น
กาหนดน้ าหนักข้อความอยู ่ในระด ับ โดย
ให้กลุ่มผู ต
้ ัดสิน (Judges) เป็ นผู พ
้ จ
ิ ารณาและ
กาหนดค่าข้อความ การ เลือกกลุ่มผู ต
้ ัดสินควร
่ ความรู ้ทางด้านการวด
เลือกบุคคลทีมี
ั เจตคติ
่
และเรืองการศึ
กษาผู ใ้ จเป็ นกลางประมาณ 60300 คน ในการสร ้างแบบว ัดเจตคติของบุคคลที่
่
มีตอ
่ การว ัดใช้กลุ่มผู ต
้ ัดสิน จานวน 300 คน เพือ
พิจารณาข้อคิดเห็น 130 ข้อ
ในระยะแรกของการสร ้างแบบว ัดเจตคติ
้ ่ 4 คานวณค่าประจาข้อและค่าการกระจายของ
ขันที
ความคิดเห็นของผู ต
้ ด
ั สิน
เป็ นการแจงนับในแต่ละข้อความว่าผู ้
่ ง้ั ผลการ
ตัดสินได้จด
ั ไว้ในกลุ่มใดจานวนกีคร
้
แจกแจงข้อความคิดเห็นแต่ละข้อนี จะน
ามาใช้
ในการหาค่าของมาตรวัด หรือค่าประจาข้อ
(Scale Value) โดยการคานวณค่ามัฐยฐาน
(Median)
ผลการแจกแจงข้อความคิดเห็น
นอกจากกนามาใช้ในการหาค่าประจาข้อแล้ว
ยังมาหาค่าการกระจายของความคิดเห็นของผู ้
้ ่ 5 คด
่ าไปใช้
ขันที
ั เลือกข้อความเพือน
วั
ด
เจตคติ
แนวในการพิจารณาค่า S และค่า Q ของแต่
ละข้อความคิดเห็น ดังนี ้
่ ว่้ ากลุ่มผู ต
1. ค่า S เป็ นค่าทีชี
้ ัดสินเห็นว่า
้
่
ข้อความนันแสดงถึ
งเจตคติทดี
ี่ หรือไม่ด ี ถ้าค่า S ตา
แสดงว่าข้อความคิดเห็นเป็ นเจตคติไม่ด ี ส่วนค่า S
สู ง แสดงถึงเจตคติทดี
ี่
่
2. ค่า Q เป็ นค่าทีแสดงเห็
นว่าความคิดเห็น
กลุ่มผู ต
้ ัดสินมีการกระจายออกจากกันมากน้อย
่ แสดงว่ากลุ่มผู ต
เพียงใด ถ้าค่า Q ตา
้ ด
ิ สินมีความ
้ ่ 6 ตรวจสอบคุณภาพแบบวัดเจต
ขันที
้ังหาคุบ
ผู ส
้ ร ้างแบบวั
ดต้
ณภาพของแบบวัด
คติ
ทองฉบั
้ั
บ โดยพิจารณาจากความตรง
เจตคติทงฉบั
่ (Reliability) ความตรง
(Validity) และความเทียง
่ ่
เป็ นคุณสมบัตข
ิ องแบบวัดเจตคติสามารถวัดสิงที
่
ต้องการวัดได้อย่างถู กต้อง ส่วนความเทียงเป็
น
คุณสมบัตข
ิ องแบบวัดเจตคติทมี
ี่ ความคงเส้นคงวา
่ งก็
้ั ได้ผลคงเดิมหรือใกล้เคียงกัน
ไม่วา
่ จะวัดกีคร
ความตรงของแบบวัดเจตคติสามารถ
ตรวจสอบได้หลายวิธ ี เช่น การเทียบกับกลุ่มที่
ทราบลักษณะอยู แ
่ ล้ว (Known Group) เป็ นการ
ไปสอบถามนักเรียนกลุม
่ ที่ 1 ซงึ่ เรียนแผนคณิตวิทย์ และนักเรียนกลุม
่ ที่ 2 ซงึ่ เรียนแผนอังกฤษไทย-สงั คม นักเรียนทัง้ สองกลุม
่ มีเจตคติตอ
่ การ
เรียนคณิตศาสตร์ตา่ งกัน คือ นักเรียนกลุม
่ ที่ 1 มี
เจตคติทด
ี่ ี สว่ นนักเรียนกลุม
่ ที่ 2 มีเจตคติไม่ด ี
เมือ
่ นาแบบวัดเจตคติสอบถามนักเรียนทัง้ สองกลุม
่
แล ้วนาคะแนนเจตคติของแต่ละกลุม
่ มาคานวณ
ค่าเฉลีย
่ และความแปรปรวนของคะแนนเจตคติ
เปรียบเทียบค่าเฉลีย
่ คะแนนทัง้ สองกลุม
่ ด ้วยการ
ทดสอบค่าที (t-test)
ผลการทดสอบปรากฏว่าค่าเฉลีย
่ คะแนน
่
ความเทียงของแบบว
ด
ั เจตคติสามารถหาได้
หลายวิธ ี เช่น
่
1. การสอบซา้ (Test-Retest) การหาค่าความเทียง
ต้องนาแบบวัดไปสอบถามกลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียวกัน 2 ครง้ั
้ั
้ั
การสอบถามครงแรกและคร
งหลั
งควรห่างกัน 2 สัปดาห ์
้ าคะแนนของผู ต
จากนันน
้ อบแต่ละคน จากการตอบทัง้ 2 ครง้ั
์
มาหาค่าสัมประสิทธิสหสั
มพันธ ์แบบเพียร ์สัน (Pearson
Product - Moment Correlation Coefficient)
่
2. การแบ่งครึง่ (Split-Half) หาค่าความเทียงโดย
้ั ยวแล้วนาผลมา
นาแบบวัดไปสอบถามกลุ่มต ัวอย่างครงเดี
่
ตรวจให้คะแนน อาจรวมคะแนนเฉพาะข้อคูแ
่ ละข้อคีของ
่
ผู ต
้ อบแต่ละคน ความเทียงหาได้
่ ละ
จากการนาคะแนนข้อคูแ
่
์
ข้อคีมาค
านวณค่าสัมประสิทธิสหสั
มพันธ ์แบบเพียร ์สันเป็ น
การพัฒนาแบบว ัดเจตคติตามวิธข
ี องลิเคิร ์ท
ลิเคร ์ท (Likert) ได้พฒ
ั นาแบบวัดเจตคติทใช้
ี่ วธ
ิ ก
ี ารรวมค่า
ประเมิน (Method of Summated Ratings) ใน ค.ศ. 1932 ต่อมา
ได้ร ับความนิ ยมในการนาไปใช้วด
ั เจตคติของบุคคล เนื่ องจากมีวธ
ิ ก
ี าร
สร ้างง่ าย ไม่จาเป็ นต้องอาศ ัยกลุม
่ ผู ต
้ ด
ั สินในการกาหนดค่าประจา
ข้อความแต่ละข้อเหมือนวิธก
ี ารของเทอร ์สโตน
่ ตอ
่
่
่ งจากการรวม
ในการวัดเจตคติตามแนวคิดทีมี
่ เรืองใดเรื
องหนึ
คะแนนคาตอบทุกข้อความคิดเห็นในแบบวัดเจตคติ กล่าวคือคะแนน
่ ต
จากการรวมค่าคะแนนคาตอบทีผู
้ อบเลือกในแต่ละข้อจะแสดงถึงเจตคติ
้
ของบุคคลนัน
้
ขันตอนในการสร
้างแบบวัดเจตคติตามวิธข
ี องลิเคิร ์ท ดังนี ้
1. กาหนดเป้ าหมายของเจตคติทต้
ี่ องการศึกษา
่ ยวข้
่
่
่ องการศึกษา
2. เขียนข้อความทีเกี
องกับเรืองที
ต้
3. กาหนดคาตอบและน้ าหนักคะแนนของตัวเลือกและข้อความ
่
4. คัดเลือกข้อความทีจะน
าไปใช้วด
ั เจตคติโดยการวิเคราะห ์
้ ่ 1 กาหนดเป้ าหมายของเจตคติท ี่
ขันที
ต้องการศึกษา
ต้องกาหนดเป้ าหมาย
ของเจตคติให้แน่ ช ัดว่าต้องการ
่
่
ศึกษาเจตคติทมี
ี ตอ
่ เรืองใด และ
่ ่
กาหนดโครงสร ้างของสิงที
ต้องการวัดว่ามีดา้ นใดบ้าง
่
่
้ ่ 2 เขียนข้อความทีเกี
่ ยวข้
่
องกับเรืองที
ขันที
ต้องการศึกษา
่ ้างขึนเพื
้
่ ดเจตคติควรมีความหมาย
ข้อความทีสร
อวั
่ หรือทางบวกและในทางทีไม่
่ ดห
ในทางทีดี
ี รือทางลบ ข้อความที่
เป็ นกลางหรือตัดสินไม่ได้วา
่ มีลก
ั ษณะไปในทางใด ไม่ควรนามา
ถาม ตลอดจนข้อความในแบบวัดเจตคติควรมีความหมาย
่ วด
ทางบวกและลบอย่างละเท่า ๆ กัน ตัวอย่างข้อความทีใช้
ั เจต
คติตอ
่ การเรียนวิชาคอมพิวเตอร ์
้
่ น่
่ าเบือหน่
่
1. เนื อหาวิ
าย
ชาคอมพิวเตอร ์เป็ นสิงที
2. วิชาคอมพิวเตอร ์เรียนแล้วสนุ กสนาน
3. วิชาคอมพิวเตอร ์มีประโยชน์ควรค่าแก่การศึกษา
่
4. การมีความรู ้เกียวกั
บวิชาคอมพิวเตอร ์ทาให้เป็ นคนที่
ทันสมัย
้ ่ 3 กาหนดคาตอบและน้ าหนักคะแนนของ
ขันที
ตัวเลื่ อกและข้อความ
่
กาหนดคาตอบทีแสดงความรู ้สึกเพือให้ผูต
้ อบเลือกตอบ
แต่เดิมได้กาหนดให้มค
ี าตอบ 5 ระดับ ดังนี ้
1. เห็นด้วยอย่างยิง่
(Strongly Agree)
2. เห็นด้วย
(Agree)
3. เฉย ๆ หรือไม่แน่ ใจ (Uncertain)
4. ไม่เห็นด้วย
(Disagree)
5. ไม่เห็นด้วยอย่างยิง่
(Strongly Disagree)
่ าหนดคาตอบให้เลือกแล้ว ตัวเลือกในแต่ละข้อควร
เมือก
มีน้ าหนักคะแนนเท่าใด
่
กม่า
1. ควรกาหนดน้ าหนักคะแนนเบียงเบนแบบซิ
(Sigma Deviate Weighting)
้
้ ่ 4 คัดเลือกข้อความทีจะ
่
ขันที
นาไปใช้วด
ั เจตคติ
ทดลองใชกั้ บกลุม
่ ตัวอย่างทีม
่ ี
ลักษณะคล ้ายกับกลุม
่ ตัวอย่างทีต
่ ้องการ
ึ ษา เพือ
ศก
่ ตรวจสอบว่าข ้อความเหล่านั น
้
สามารถนาไปใชวั้ ดเจตคติได ้หรือไม่ การ
ื่
คัดเลือกข ้อความได ้โดยการวิเคราะห์รายชอ
วิธก
ี ารวิเคราะห์ม ี 2 วิธ ี ดังนี้
ั ประสท
ิ ธิส
ั พันธ์
1. การหาค่าสม
์ หสม
ระหว่างคะแนนแต่ละข ้อกับคะแนนรวม
้ ่ 5 ตรวจสอบคุณภาพของแบบวัดเจต
ขันที
้ั
คติทงฉบั
บ
ความตรงของแบบวัดเจตคติตาม
วิธข
ี องลิเคิรท
์ มีวธิ ก
ี ารตรวจสอบหลายวิธ ี
่
เชน
ี่ วชาญตรวจสอบ
1. การให ้ผู ้เชย
ความตรงตามเนือ
้ หา
2. การเทียบกับกลุม
่ ทีท
่ ราบ
ลักษณะอยูแ
่ ล ้ว
สรุป
เจตคติ เป็ นอารมณ์
ความรู ้สึกในทางสนับสนุ น
หรือต่อต้านเป้ าหมายทางจิต
่
่
ซึงอาจเป็ นสิงของหรือบุคคล
่
โดยเป็ นช่วงต่อเนื อง และมี