นายชยกมล เกษมสันต์ ณ อยุธยา (ครัง้ ที่ ๑) วิธีพิจารณาในศาลชัน้ ต้น  วิธพี จิ ารณาสามัญในศาล  วิธพี จิ ารณาวิสามัญใน ชัน้ ต้น ศาลชัน้ ต้น  คดีมโนสาเร่/คดีไม่มขี อ้ ยุง่

Download Report

Transcript นายชยกมล เกษมสันต์ ณ อยุธยา (ครัง้ ที่ ๑) วิธีพิจารณาในศาลชัน้ ต้น  วิธพี จิ ารณาสามัญในศาล  วิธพี จิ ารณาวิสามัญใน ชัน้ ต้น ศาลชัน้ ต้น  คดีมโนสาเร่/คดีไม่มขี อ้ ยุง่

นายชยกมล เกษมสันต์ ณ อยุธยา
(ครัง้ ที่ ๑)
วิธีพิจารณาในศาลชัน้ ต้น
 วิธพี จิ ารณาสามัญในศาล  วิธพี จิ ารณาวิสามัญใน
ชัน้ ต้น
ศาลชัน้ ต้น
 คดีมโนสาเร่/คดีไม่มขี อ้ ยุง่ ยาก
 การขาดนัดยืน่ คาให้การ
 การขาดนัดพิจารณา
 อนุ ญาโตตุลาการ
(ในศาล)
วิธีพิจารณาสามัญในศาลชันต้
้ น
 การเสนอคดีตอ่ ศาล
 การตรวจรับคาฟ้องหรื อคาร้ องขอ
 การส่งสาเนาคาฟ้องและผลแห่งการยื่นคาฟ้อง
 การทิ ้งฟ้องและการถอนฟ้อง
 คาให้ การและฟ้ องแย้ ง
 การแก้ ไขเพิ่มเติมคาฟ้องหรื อคาให้ การ
 การชี ้สองสถาน
 การสืบพยานหรื อไต่สวน
การเสนอคดีตอ่ ศาล
๑. หลักทัว่ ไป
๒. กรณีคดีมีข้อพิพาท
๓. กรณีคดีไม่มีข้อพิพาท
๑.หลักทัว่ ไป
มาตรา ๑๗๐ “ห้ ามมิให้ ฟ้อง พิจารณา และชี ้ขาดตัดสินคดีเป็ นครัง้ แรกในศาลหรื อ
โดยศาลอื่นนอกจากศาลชันต้
้ น เว้ นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติชดั แจ้ งไว้ เป็ นอย่างอื่น
ภายใต้ บงั คับแห่งบทบัญญัติในภาคนี ้ว่าด้ วยคดีไม่มีข้อพิพาท คดีมโนสาเร่ คดีขาด
นัดและคดีที่มอบให้ อนุญาโตตุลาการชี ้ขาด การฟ้อง การพิจารณา และการชี ้ขาดตัดสิน
คดีในศาลชันต้
้ น นอกจากจะต้ องบังคับตามบทบัญญัติทวั่ ไปแห่งภาค ๑ แล้ ว ให้ บงั คับ
ตามบทบัญญัติในลักษณะนี ้ด้ วย”
วรรคหนึง่ เป็ นบทบัญญัติที่สอดคล้ องกับลาดับอานาจพิจารณาพิพากษาของศาล
ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ส่วนจะเสนอคดีตอ่ ศาลใดต้ องพิจารณาเขตอานาจศาล
ตามมาตรา ๒ ถึงมาตรา ๗
.
ตัวอย่าง นาย ก.ฟ้องศาลชันต้
้ นในฐานะหน่วยงานของรัฐโดยยื่นฟ้องต่อศาลอุทธรณ์
แต่ศาลชันต้
้ นไม่สง่ เรื่ องให้ ศาลอุทธรณ์ ต่อมาจึงนาคาฟ้องไปยื่นโดยตรงที่ศาลอุทธรณ์
แต่ศาลอุทธรณ์ก็ไม่พิจารณารับคาฟ้องอีก นาย ก. จึงยื่นคาร้ องต่อศาลฎีกาเพื่อขอ
อนุญาตยื่นฟ้องศาลชันต้
้ นและศาลอุทธรณ์
คร.ท.๖๘๗/๒๕๕๐ การเสนอคดีหรื อการฟ้องคดีครัง้ แรกจะต้ องเริ่ มคดีที่ศาลชันต้
้ น
ตามมาตรา ๑๗๐ วรรคหนึง่ เมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ ผ้ รู ้ องยื่นฟ้องต่อศาลฎีกา ศาล
ฎีกาจึงไม่มีอานาจพิจารณาพิพากษาคดีของผู้ร้อง และไม่อาจอนุญาตให้ ผ้ รู ้ องยื่นฟ้องต่อ
ศาลฎีกาได้
.
ข้ อยกเว้ นที่สามารถยื่นต่อศาลอื่นทีไ่ ม่ใช่ศาลชันต้
้ น เช่น คดีเลือกตังท้
้ องถิ่นซึง่ ศาล
ชันอุ
้ ทธรณ์เป็ นศาลที่มีอานาจพิจารณาพิพากษา หรื อพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้ วย
วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๘,๙ บัญญัติ
ให้ คดีประเภทที่กาหนดไว้ อยู่ในอานาจพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญา
ของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง
สาหรับวรรคสองนันหมายถึ
้
ง
ก. คดีไม่มีข้อพิพาท คดีมโนสาเร่ คดีขาดนัดและคดีที่มอบให้ อนุญาโตตุลาการชี ้ขาด
ต้ องปฏิบตั ิตามบทบัญญัติเฉพาะในเรื่ องนันๆ
้
ข. คดีสามัญประเภทอื่นนอกจากข้ อก. นอกจากต้ องเป็ นไปตามบทบัญญัติทวั่ ไป
แห่งภาค ๑ แล้ ว ยังต้ องปฏิบตั ิตามลักษณะ ๑ แห่งภาค ๒ ของป.วิ.พ.นี ้ด้ วย
.
มาตรา ๑๗๑ “คดีที่ประมวลกฎหมายนี ้บัญญัติวา่ จะฟ้องยังศาลชันต้
้ นหรื อเสนอ
ปั ญหาต่อศาลชันต้
้ นเพื่อชี ้ขาดตัดสินโดยทาเป็ นคาร้ องขอก็ได้ นนั ้ ให้ นาบทบัญญัติแห่ง
ประมวลกฎหมายนี ้ ว่าด้ วยสิทธิและหน้ าที่ของโจทก์และจาเลยและวิธีพิจารณาความที่
ต่อจากการยื่นคาฟ้ องมาใช้ บงั คับแก่ผ้ ยู ื่นคาขอและคูค่ วามอีกฝ่ ายหนึง่ ถ้ าหากมี และ
บังคับแก่วิธีพิจารณาที่ตอ่ จากการยื่นคาร้ องขอด้ วยโดยอนุโลม”
กรณีตามมาตรานี ้เช่น คดีตามมาตรา ๔ (๒), ๔ จัตวา, ๔ เบญจ เป็ นต้ น ทังนี
้ ้
เนื่องจากคดีไม่มีข้อพิพาททีเ่ ริ่ มคดีด้วยคาร้ องขอ แต่บางครัง้ อาจมีบคุ คลอื่นเข้ ามา
เกี่ยวข้ องในคดีไม่วา่ โดยตรง หรื อโดยอ้ อมในภายหลัง จึงต้ องนาบทบัญญัติของคดีที่เริ่ ม
ด้ วยการฟ้องมาใช้ โดยอนุโลม ซึง่ สอดคล้ องกับมาตรา ๑๘๘ ที่กาหนดให้ ดาเนินคดีไป
อย่างคดีมีข้อพิพาทนัน่ เอง
๒. กรณีคดีมีข้อพิพาท
มาตรา ๑๗๒ “ภายใต้ บงั คับบทบัญญัติมาตรา ๕๗ ให้ โจทก์เสนอข้ อหาของตนโดย
ทาคาฟ้ องเป็ นหนังสือยื่นต่อศาลชันต้
้ น
คาฟ้ องต้ องแสดงโดยแจ้ งชัดซึง่ สภาพแห่งข้ อหาของโจทก์และคาขอบังคับ ทังข้
้ ออ้ าง
ที่อาศัยเป็ นหลักแห่งข้ อหาเช่นว่านัน้
ให้ ศาลตรวจคาฟ้องนันแล้
้ วสัง่ ให้ รับไว้ หรื อให้ ยกเสีย หรื อให้ คืนไปตามที่บญ
ั ญัติไว้
ในมาตรา ๑๘”
.
ข้ อพิจารณาตามวรรคหนึง่
๑) การที่บคุ คลภายนอกร้ องสอดเข้ ามาในคดีในฐานะเป็ นโจทก์หรื อคูค่ วามฝ่ ายที่
สามตามมาตรา ๕๗ (๑) หรื อ (๓) สภาพคาร้ องสอดดังกล่าวมีลกั ษณะเป็ นคาฟ้ องอยูใ่ น
ตัวตามมาตรา ๑ (๓) แต่ไม่ต้องเสนอคดีของตนด้ วยคาฟ้อง อย่างไรก็ตามคาร้ องสอดนี ้
ยังคงต้ องอยู่ในบังคับของมาตรา ๑๗๒ วรรคสองด้ วย
ฎ.๑๔๔๓/๒๕๔๘ คาร้ องสอดตามมาตรา ๕๗ (๑) มีลกั ษณะเป็ นคาฟ้ องตามมาตรา
๑ (๓) จึงต้ องแสดงโดยชัดแจ้ งซึง่ สภาพแห่งข้ อหาและคาขอบังคับ ทังข้
้ ออ้ างทีอ่ าศัยเป็ น
หลักแห่งข้ อหาตามมาตรา ๑๗๒ วรรคสอง
แต่การร้ องสอดเข้ ามาเป็ นคูค่ วามฝ่ ายที่สามโดยเพียงแต่ขอให้ ยกฟ้องไม่ได้ เรี ยกร้ อง
อะไรหรื อมีลกั ษณะเป็ นการต่อสู้เข้ ามาในฐานะจาเลย กรณีนี ้ไม่จาต้ องมีคาขอบังคับ
เพราะโดยเนื ้อหาของคาร้ องสอดมิใช่คาฟ้อง (ฎ.๔๓/๒๕๓๘,ฎ.๖๗๙๒/๒๕๔๘)
.
๒) มาตรานี ้ใช้ คาว่า “เสนอข้ อหา”ต่างจากมาตรา ๕๕ ที่ใช้ คาว่า “เสนอคดี” แต่มี
ความหมายเช่นเดียวกัน ทังนี
้ ้เป็ นไปตามมาตรา ๑ (๒) และ ๑ (๓)
๓) คดีแพ่งสามัญต้ องเสนอคดีโดยทาคาฟ้องเป็ นหนังสือยื่นต่อศาลชันต้
้ น ไม่อาจที่
จะกระทาด้ วยวาจาได้ อันต่างจากคดีมโนสาเร่ซงึ่ กระทาได้ ตามมาตรา ๑๙๑
๔) เนื่องจากคาฟ้ องเป็ นคาคูค่ วามอย่างหนึง่ ตามมาตรา ๑ (๕) จึงต้ องปฏิบตั ิตาม
มาตรา ๖๗ คือต้ องทาให้ ปรากฏข้ อความแน่ชดั ถึงตัวบุคคลและมีรายการตาม (๑) ถึง (๕)
ซึง่ ในส่วน (๔) ก็คือการบรรยายฟ้องตามมาตรา ๑๗๒ วรรคสองนัน่ เอง
.
การบรรยายฟ้องในคดีแพ่งสามัญตามวรรคสอง
๑) คาฟ้ องต้ องมีลกั ษณะเสนอข้ อหาตามมาตรา ๑ (๓) และถือเป็ นคาคูค่ วามตาม
มาตรา ๑ (๕) ดังนี ้
ก. สภาพแห่งข้ อหาและข้ ออ้ างทีอ่ าศัยเป็ นหลักแห่งข้ อหาเป็ นข้ อสาคัญอันมีผลให้
เกิดเป็ นประเด็นแห่งคดีตามคาฟ้อง
สภาพแห่ งข้ อหา หมายถึง ลักษณะของเรื่ องทีม่ ีข้อโต้ แย้ งสิทธิหรื อหน้ าทีข่ อง
บุคคลในทางแพ่ ง เช่น นิติกรรมสัญญา ละเมิด สิทธิแห่งสภาพบุคคล
ข้ ออ้ างทีอ่ าศัยเป็ นหลักแห่ งข้ อหา หมายถึง ข้ ออ้ างของเรื่ องทีเ่ กิดการโต้ แย้ ง
สิทธิหรื อหน้ าทีท่ ผี่ ้ ถู กู โต้ แย้ งสิทธิหรื อหน้ าทีน่ ามาเป็ นมูลเหตุฟ้อง เช่น กรณีเรื่ องซื ้อ
ขาย อาจเป็ นข้ ออ้ างว่าจาเลยผิดสัญญาไม่ชาระราคา หรื อ จาเลยในฐานะผู้ขายต้ องรับ
ผิดในเรื่ องชารุดบกพร่องหรื อรอนสิทธิเป็ นต้ น
.
ฎ.๒๕๓๗/๒๕๔๙ โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ใช้ ทางพิพาทมาเป็ นเวลา ๓๐ ปี เศษ
โดยไม่มีผ้ ใู ดโต้ แย้ งคัดค้ าน เดิมเป็ นคันดินเล็กๆต่อมาได้ ขยายกว้ างขึ ้นจนมีความกว้ าง ๓
เมตร รถยนต์แล่นเข้ าออกได้ มาประมาณ ๕-๖ ปี แล้ ว และขอให้ ศาลพิพากษาว่าทาง
พิพาทกว้ าง ๓ เมตรดังกล่าวเป็ นทางจาเป็ นของโจทก์ ตามคาฟ้องเห็นได้ วา่ โจทก์ประสงค์
ให้ เปิ ดทางพิพาทในฐานะทางจาเป็ นแต่ประการเดียว มิได้ อ้างว่าทางพิพาทเป็ นภาระจา
ยอมด้ วย ซึง่ ในชันชี
้ ้สองสถานศาลชันต้
้ นก็กาหนดประเด็นข้ อพิพาทข้ อเดียวว่าทางพิพาท
เป็ นทางจาเป็ นหรื อไม่เท่านัน้ การที่โจทก์ฎีกาว่าทางพิพาทเป็ นทางภาระจายอมจึงเป็ นข้ อ
ที่มิได้ วา่ กล่าวกันมาแล้ วแต่ในศาลชันต้
้ น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
.
ข. คาขอบังคับ หมายถึง คาขอบังคับตามสิทธิที่ถกู โต้ แย้ งในขณะเสนอคดีต่อศาล ทังนี
้ ้คา
ขอบังคับท้ ายคาฟ้องต้ องระบุว่าให้ จาเลยชาระหนี ้อะไร กระทาการใด หรื องดเว้ นกระทาการใด
ให้ ชดั แจ้ ง
ฎ.๘๐๑๐/๒๕๔๖ โจทก์ฟ้องว่าบ.ซึง่ เป็ นผู้จดั การมรดกของผู้ตายได้ จดั การมรดกจนเกิด
ความเสียหายเป็ นเหตุให้ ที่ดินมรดกถูกยึดขายทอดตลาดและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้ ว
ทาให้ โจทก์ซงึ่ เป็ นผู้จดั การมรดกคนใหม่ไม่สามารถติดตามที่ดินมรดกมาแบ่งปั นทายาทได้ ขอให้
บังคับจาเลยซึง่ เป็ นทายาทบ.ไปจดทะเบียนโอนใส่ชื่อโจทก์ในฐานะผู้จดั การมรดกในที่ดินและส่ง
มอบที่ดินมรดกแก่โจทก์ โดยที่ไม่ได้ ฟ้องผู้ที่ซื ้อที่ดินมรดกได้ จากการขายทอดตลาดด้ วย คาขอ
ท้ ายฟ้องจึงเป็ นการขอให้ ศาลมีคาพิพากษาไปใช้ บงั คับกับบุคคลภายนอก ซึง่ ศาลไม่สามารถ
บังคับให้ ได้ ทัง้ โจทก์ มิได้ฟ้องขอให้บงั คับจำเลยชดใช้รำคำทีด่ ิ นมรดกในกรณี ทีไ่ ม่สำมำรถจด
ทะเบียนโอนทีด่ ิ นมรดกให้โจทก์ ได้ โดยตีราคาที่ดินมาในคาฟ้องและเสียค่าขึ ้นศาลตามทุนทรัพย์
ของราคาที่ดิน คาขอบังคับตามฟ้องไม่อาจบังคับได้ ศำลจึงไม่มีอำนำจพิ พำกษำให้จำเลยใช้
รำคำทีด่ ิ นโจทก์
.
๒) การพิจารณาว่าคาฟ้องชอบตามมาตรา ๑๗๒ วรรคสองหรื อไม่ เป็ นคาฟ้อง
เคลือบคลุมหรื อไม่ ต้ องพิจารณาจากการบรรยายคาฟ้องเป็ นสาระสาคัญว่าเป็ นไปตาม
เงื่อนไขที่กาหนดในมาตรา ๑๗๒ วรรคสอง และบรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ ้นระหว่างโจทก์
กับจาเลยให้ เข้ าใจได้ ทังนี
้ ้ไม่เกี่ยวกับคาให้ การหรื อการนาสืบในชันพิ
้ จารณาแต่ประการ
ใด
ฎ.๓๙๙๖/๒๕๔๖ คาฟ้ องของโจทก์ในส่วนเกี่ยวกับจาเลยที่ ๓ ไม่ปรากฏว่าจาเลย
ที่ ๓ เกี่ยวข้ องกับคดีนี ้อย่างไร ร่วมละเมิดหรื อต้ องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดเพราะอะไร
คาฟ้ องในส่วนนี ้จึงไม่แสดงชัดแจ้ งซึง่ สภาพแห่งข้ อหาและคาขอบังคับ ทังข้
้ ออ้ างที่อาศัย
เป็ นหลักแห่งข้ อหานันไม่
้ ชอบด้ วยมาตรา ๑๗๒ วรรคสอง เป็ นฟ้องเคลือบคลุม แม้จำเลย
ที ่ ๓ จะให้กำรว่ำรับประกันภัยรถยนต์คนั เกิ ดเหตุก็ตำม ก็ไม่ทำให้คำฟ้ องทีไ่ ม่ชอบด้วย
กฎหมำยมำแต่แรกกลับเป็ นคำฟ้ องทีช่ อบขึ้นมำได้
.
๓) ในคดีแพ่งการบรรยายฟ้องไม่จาต้ องอ้ างบทกฎหมายอย่างในคดีอาญา โจทก์
เพียงบรรยายข้ อเท็จจริ งและคาขอมาก็พอแล้ ว เป็ นหน้ าที่ของศาลจะต้ องยกบทกฎหมาย
ขึ ้นปรับแก่ข้อเท็จจริ งนันเอง
้ (ฎ.๑๕๕๒/๒๕๐๖,๗๗๖๗/๒๕๔๓,๖๔๐๖/๒๕๕๐)
๔) ตัวอย่างการบรรยายคาฟ้องว่าชอบด้ วยกฎหมายหรื อไม่
ก. กรณีชอบด้ วยกฎหมาย
ฎ.๕๔๕/๒๕๓๐ (ป.) โจทก์ฟ้องขับไล่จาเลยและเรี ยกค่าเสียหายโดยอาศัยสัญญา
เช่าเป็ นหลักแห่งข้ อหาโดยโจทก์อ้างว่าไม่ชาระค่าเช่า โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ ว ขอให้
บังคับจาเลยรื อ้ ถอนสิ่งปลูกสร้ างออกไปและให้ ใช้ ค่าเสียหาย เป็ นคาฟ้ องที่แสดงโดยแจ้ ง
ชัดซึง่ สภาพแห่งข้ อหาและคาขอบังคับ ทังข้
้ ออ้ างที่อาศัยเป็ นหลักแห่งข้ อหาตามมาตรา
๑๗๒ แล้ ว แม้ไม่ได้บรรยำยว่ำทีด่ ิ นพิพำท ๕ ตำรำงวำตำมสัญญำเช่ำจะอยู่ตรงส่วนไหน
ของทีด่ ิ นโจทก์ ฟ้ องโจทก์ก็ไม่เคลือบคลุม
.
ฎ.๗๔๒/๒๕๓๗ การบรรยายฟ้องในคดีแพ่งตามมาตรา ๑๗๒ กาหนดเพียงว่า
จะต้ องแสดงให้ แจ้ งชัดซึง่ สภาพแห่งข้ อหาและคาขอบังคับ ทังข้
้ ออ้ างที่อาศัยเป็ นหลักแห่ง
ข้ อหาเท่านัน้ หาต้ องบรรยายถึงข้ อเท็จจริ งและรายละเอียดไม่ คำฟ้ องบรรยำยว่ำจำเลย
ขับรถยนต์บรรทุกหกล้อโดยควำมประมำทปรำศจำกควำมระมัดระวังและเป็ นเหตุให้เฉีย่ ว
ชนรถยนต์โจทก์ ได้รับควำมเสียหำย จึงชอบด้วยกฎหมำยแล้ว ไม่เป็ นฟ้องเคลือบคลุม
ฎ.๘๐๓/๒๕๔๕ คดีที่โจทก์ขอให้ บงั คับจาเลยชาระเงินตามเช็คพร้ อมดอกเบี ้ย แม้
โจทก์ จะมิ ได้บรรยำยว่ำได้รบั เช็คมำด้วยมูลหนีใ้ ด ก็เป็ นเพียงรายละเอียดที่จะพึงนาสืบใน
ชันพิ
้ จารณาต่อไป ไม่เป็ นเหตุให้ คาฟ้องเคลือบคลุม ฟ้องของโจทก์ชอบด้ วยมาตรา ๑๗๒
วรรคสอง
.
ข้ อสังเกต
- อายุความไม่ใช่สภาพแห่งข้ อหาที่จะต้ องกล่าวมาในคาฟ้องว่าคดีของโจทก์ไม่ขาด
อายุความเพราะเหตุใด (ฎ.๔๙๙๐/๒๕๓๘) ดังนัน้ แม้ ปรากฎจากคาบรรยายฟ้องว่าสิทธิ
เรี ยกร้ องของโจทก์ได้ ลว่ งเลยกาหนดอายุความแล้ ว ศาลก็จะยกฟ้ องทันทีไม่ได้ เพราะอายุ
ความไม่ใช่สภาพแห่งข้ อหานัน่ เอง (ฎ.๑๖๒๐/๒๕๓๕)
- เอกสารท้ ายฟ้องถือเป็ นส่วนหนึง่ ของคาฟ้อง ดังนัน้ ต้ องนามาพิจารณาประกอบ
กับข้ อความตามคาบรรยายฟ้องด้ วย
ฎ.๖๘๖/๒๕๔๖ โจทก์ฟ้องว่าจาเลยผิดสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและบังคับจานอง
โดยบรรยายถึงหนี ้ตามฟ้องตลอดจนการบอกกล่าวบังคับจานองแล้ วคิดคานวณยอดหนี ้
.
ถึงวันที่สญ
ั ญาสิ ้นสุดลงเป็ นจานวนเท่าใดตามเอกสารท้ ายฟ้องซึง่ ถือเป็ นส่วนหนึง่ ของคา
ฟ้ อง ถือว่าชอบแล้ ว ส่วนขันตอนของการค
้
านวณดอกเบี ้ยแต่ละเดือนเป็ นอย่างไรเป็ น
รายละเอียดที่สามารถนาสืบได้ ในชันพิ
้ จารณา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ฎ.๖๔๓๗/๒๕๕๐โจทก์บรรยายฟ้องแจ้ งชัดแล้ วว่าจาเลยบุกรุกเข้ าไปในที่ดินพิพาท
ของโจทก์ตามแผนที่ท้ายฟ้องประมาณ ๕ ไร่ ซึง่ แผนที่เป็ นส่วนหนึง่ ของคาฟ้ องและได้ ระบุ
บริ เวณที่อ้างว่าบุกรุกไว้ อย่างชัดเจนพอให้ จาเลยเข้ าใจและต่อสู้คดีได้ ฟ้องโจทก์ไม่
เคลือบคลุม
แม้ เอกสารท้ ายฟ้องเป็ นภาษาต่างประเทศ คูค่ วามก็สามารถส่งต่อศาลได้ โดยไม่
จาเป็ นต้ องแปลเป็ นภาษาไทยนอกจากศาลสัง่ ให้ ทาคาแปลตามมาตรา ๔๖ วรรคสาม
(ฎ.๖๕๓๐/๒๕๔๖)
.
ข. กรณีไม่ ชอบด้ วยกฎหมาย หรื อเป็ นคาฟ้องเคลือบคลุม
ฎ.๙๕๙/๒๕๒๕ ฟ้ องให้ รับผิดฐำนละเมิ ด โดยบรรยายฟ้องว่าจาเลยแต่ละคนปล่อย
โคของตนเข้ าไปกัดกินยางในสวนของโจทก์ได้ รับความเสียหายรวมเป็ นเงิน ๒๗,๕๐๐
บาท ขอให้ จาเลยทังสองชดใช้
้
ค่าเสียหายดังกล่าว กรณีตามคาฟ้องเป็ นเรื่ องจาเลยแต่ละ
คนกระทาละเมิ ด เมือ่ ไม่ได้บรรยำยให้ปรำกฏว่ำจำเลยคนไหนทำให้โจทก์ เสียหำยเป็ น
จำนวนเท่ำใด อีกทัง้ มิ ใช่หนีร้ ่ วมทีจ่ ะฟ้ องขอให้รบั ผิ ดในฐำนลูกหนีร้ ่ วมได้ จึงเป็ นการ
ขัดแย้ งกันในตัวเป็ นฟ้องเคลือบคลุมไม่ชอบด้ วยมาตรา ๑๗๒
ฎ.๕๑๓๒/๒๕๔๒ โจทก์บรรยายฟ้องระบุหนีเ้ งินต้ นและดอกเบี ้ยตามสัญญำกู้ ๒
ฉบับรวมกันมาและเอกสารท้ ายฟ้องก็ไม่ได้ แยกหนี ้ตามสัญญากู้แต่ละฉบับออกจากกัน
จำเลยที ่ ๕ ผูค้ ้ำประกันสัญญำกู้ฉบับเดียวย่อมไม่ทรำบว่ำหนีท้ ีต่ นต้องรับผิ ดมีเพียงใด
ฟ้ องโจทก์ในส่วนจาเลยที่ ๕ จึงเคลือบคลุม
.
ฎ.๕๓๓/๒๕๕๖ การขอเปิดทางจาเป็ นต้องเป็ นกรณีทท่ี ด่ี นิ แปลงนัน้ ถูกทีด่ นิ
แปลงอื่นล้อมอยูจ่ นไม่มที างออกถึงทางสาธารณะได้ แต่ตามคาฟ้องมิได้บรรยายให้เห็น
ว่าทีด่ นิ ของโจทก์ถูกทีด่ นิ แปลงอื่นล้อมจนไม่มที างออกถึงทางสาธารณะได้อย่างไร และ
แผนทีเ่ อกสารท้ายคาฟ้องก็ไม่ปรากฏว่าทีด่ นิ ด้านทิศใต้กบั ทิศตะวันตกทีต่ ดิ กับทีด่ นิ
ของโจทก์เป็ นทีด่ นิ ของผูอ้ ่นื หรือทางสาธารณะ หรือสระ บึง ทะเล หรือทีช่ นั มีระดับ
ทีด่ นิ กับทางสาธารณะสูงกว่ากันมาก ทัง้ เส้นทางทีข่ อเปิดก็ระบุไว้วา่ เป็ นทางเดินภาระ
จายอม ซึง่ ข้อเท็จจริงเกีย่ วกับสภาพทีด่ นิ ของโจทก์นนั ้ เป็ นสาระสาคัญทีต่ อ้ งบรรยายมา
ให้แจ้งชัดในคาฟ้อง เพือ่ ทีจ่ าเลยจะได้ต่อสูไ้ ด้ถูกต้อง ไม่ใช่เรือ่ งทีโ่ จทก์จะนาสืบในชัน้
พิจารณาในภายหลัง จึงเป็ นคาฟ้องทีไ่ ม่แสดงแจ้งชัดซึง่ สภาพแห่งข้อหา เป็ นฟ้อง
เคลือบคลุม
.
ฎ.๘๐๕๙/๒๕๕๖ บรรยายฟ้องเพียงว่า จาเลยทาหนังสือรับสภาพหนี้ให้
โจทก์ โดยหนังสือดังกล่าวมีขอ้ ความเพียงว่า โจทก์จาเลยมาพบพนักงานสอบสวนแจ้ง
ว่าจาเลยจะนาเงินจานวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท มามอบให้โจทก์ในวันที่ ๙ ส.ค. ๒๕๕๐ จึง
ลงประจาวันไว้เป็ นหลักฐาน ซึง่ ไม่มขี อ้ ความตอนใดเลยทีจ่ ะแสดงให้เห็นว่าเป็ นการ
แสดงเจตนาของจาเลยทีย่ อมรับว่าเป็ นหนี้เดิมค่าอะไรต่อโจทก์ โดยโจทก์มสี ทิ ธิ
เรียกร้องในหนี้เดิมดังกล่าว และจาเลยยอมรับในสิทธิเรียกร้องของโจทก์แล้วจะชาระ
หนี้นนั ้ ให้แก่โจทก์ เนื่องจากการรับสภาพหนี้นนั ้ มีผลเพียงทาให้อายุความสะดุดหยุดลง
เท่านัน้ มิใช่เป็ นการก่อสิทธิเรียกร้องขึน้ มาใหม่ หากไม่มมี ลู หนี้เดิมต่อกันแล้วย่อมจะมี
การรับสภาพหนี้ไม่ได้ ฉะนัน้ การทีโ่ จทก์ฟ้องร้องจึงต้องอาศัยมูลหนี้เดิมทีแ่ สดงมาโดย
แจ้งชัดในคาฟ้อง แต่โจทก์ไม่บรรยายความเป็ นมาแห่งมูลหนี้เดิม จาเลยย่อมไม่อาจ
เข้าใจฟ้องของโจทก์ได้ ฟ้องของโจทก์ไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึง่ สภาพแห่งข้อหาและ
ข้ออ้างทีอ่ าศัยเป็ นหลักแห่งข้อหา จึงเป็ นฟ้องเคลือบคลุม
.
๕) คาฟ้องที่ขาดสาระสาคัญในประเด็นแห่งคดีอนั จะทาให้ จาเลยต้ องรับผิด หรื อคา
ฟ้ องที่ไม่มีคาขอบังคับจาเลยเกี่ยวกับการกระทาที่โต้ แย้ งสิทธิของโจทก์ตามฟ้อง ศาลอาจ
พิพากษายกฟ้องในชันตรวจค
้
าฟ้องได้ แต่หากล่วงเลยเวลามาแล้ วศาลก็ต้องพิพากษายก
ฟ้ องในชันท
้ าคาพิพากษา
ฎ.๔๐๐/๒๕๓๗ คาฟ้ องกล่าวหาว่าจาเลยที่ ๑ กระทาละเมิดต่อโจทก์ จาเลยที่ ๒ ซึง่
เป็ นนายจ้ างจาเลยที่ ๑ ต้ องร่วมรับผิด มิได้ บรรยายว่าจาเลยที่ ๑ ได้ กระทาละเมิดใน
ทางการที่จ้างของจาเลยที่ ๒ จึงขาดสาระสาคัญอันเป็ นประเด็นแห่งคดีที่พงึ กระทาให้
จาเลยที่ ๒ ต้ องรับผิด ศาลจะพิพากษาให้ โจทก์ชนะคดีโดยไม่อาศัยคาฟ้องไม่ได้ จาเลยที่
๒ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
.
๖) หากมีบทกฎหมายหรื อข้ อกาหนดของศาลนันไว้
้ โดยเฉพาะ การบรรยายฟ้องอาจ
ไม่นามาตรา ๑๗๒ วรรคสองไปใช้ บงั คับอย่างเคร่งครัด เช่น ข้ อกาหนดคดีทรัพย์สินทาง
ปั ญญาและการค้ าระหว่างประเทศ พ.ศ.๒๕๔๐ ข้ อ ๖ วรรคหนึง่ ที่แสดงให้ พอเข้ าใจถึง
สภาพแห่งข้ อหา ข้ ออ้ างที่อาศัยเป็ นหลักแห่งข้ อหา และคาขอบังคับ มิใช่แสดงโดยแจ้ งชัด
(ฎ.๒๖๕/๒๕๔๖) หรื อพ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผ้ บู ริ โภค พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๒๐ วรรคสอง
เป็ นต้ น
๓. กรณีคดีไม่มีข้อพิพาท
เมือ่ บุคคลใดจะต้องใช้สทิ ธิทางศาลเพือ่ รับรองหรือคุม้ ครองสิทธิทต่ี นมีอยู่ อันเป็ น
การเสนอคดีโดยไม่มขี อ้ พิพาทกับบุคคลทีเ่ ป็ นจาเลย เนื่องจากไม่มบี ุคคลอื่นโต้แย้ง
สิทธิหรือหน้าทีข่ องตนย่อมซึง่ เป็ นไปตามมาตรา ๑๘๘ (๑) คือ ต้ องเริ่ มคดีโดยยื่นคาร้ อง
ขอต่อศาล ทังนี
้ ้ผู้ที่จะยื่นคาร้ องขอได้ ต้องเป็ นกรณีทมี่ ีกฎหมายกาหนดให้ ใช้ สิทธิทางศาล
ได้ ด้วยตามมาตรา ๕๕ (ฎ.๓๑๕๔/๒๕๒๘,๑๘๑๖/๒๕๔๗,๔๘๘๘/๒๕๔๘)
ฎ.๑๐๖๐/๒๕๐๗ การได้กรรมสิทธิในที
์ ด่ นิ ตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๓๘๒ ย่อมหมายถึงการ
ครอบครองทีด่ นิ ทีผ่ อู้ ่นื มีกรรมสิทธิ ์ เมือ่ ทีด่ นิ ทีผ่ รู้ อ้ งครอบครองเป็ นทีด่ นิ ทีไ่ ม่มโี ฉนดหรือยังไม่
เคยมีกรรมสิทธิ ์ ผูร้ อ้ งจะใช้สทิ ธิทางศาลเสนอคดีไม่มขี อ้ พิพาทขอให้ศาลแสดงว่าผูร้ อ้ งมี
กรรมสิทธิในที
์ ด่ นิ นัน้ หาได้ไม่
.
ฎ.๖๕๓๖/๒๕๔๔ โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทตกเป็ นกรรมสิทธ์ของโจทก์โดยการ
ครอบครองปรปั กษ์ จาเลยได้ กระทาการโต้ แย้ งสิทธิของโจทก์โดยขอออกโฉนดที่ดิน
พิพาทเป็ นชื่อของจาเลย ขอให้ ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็ นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ห้ าม
จาเลยและบริ วารเกี่ยวข้ อง และให้ จาเลยไปจดทะเบียนโอนทีพ่ ิพาทเป็ นชื่อของโจทก์
สภาพแห่งข้ อหาตามฟ้องดังกล่าวโจทก์มิได้ ขอให้ ศาลมีคาสัง่ ว่าโจทก์ได้ กรรมสิทธิ์ที่
พิพาทโดยการครอบครองปรปั กษ์ เพียงประการเดียวอันจะถือเป็ นคดีไม่มีข้อพิพาทตาม
มาตรา ๑๘๘ (๑) แต่โจทก์ยงั ขอให้ บงั คับจาเลยซึง่ เป็ นผู้โต้ แย้ งสิทธิโจทก์ไปจดทะเบียน
โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็ นของโจทก์ อีกทังห้
้ ามจาเลยและบริ วารเกี่ยวข้ องกับที่พิพาทอีก
ด้ วย จึงเป็ นคดีมีข้อพิพาทซึง่ โจทก์ชอบทีจ่ ะเสนอคดีโดยทาเป็ นคาฟ้ องตามมาตรา ๕๕
ประกอบมาตรา ๑๗๒ วรรคท้ าย
การตรวจรับคาฟ้อง
มาตรา ๑๗๒ วรรคสาม ให้ ศาลตรวจคาฟ้องนัน้ แล้ วสัง่ ให้ รับไว้ หรื อให้ ยกเสียหรื อให้
คืนไปตามที่บญ
ั ญัติไว้ ในมาตรา ๑๘
๑) เมื่อคาฟ้องไม่มีข้อขัดข้ องศาลจะมีคาสัง่ รับคาฟ้องไว้ พิจารณาต่อไป ส่วน
ข้ อเท็จจริ งจะรับฟั งได้ หรื อไม่เพียงใดเป็ นเรื่ องในชันพิ
้ จารณา
๒) หากปรากฏว่าคาฟ้องไม่มีข้อโต้ แย้ งสิทธิตามมาตรา ๕๕ หรื อกรณีไม่อาจบังคับ
ตามคาขอท้ ายฟ้องได้ ศาลชอบที่จะยกฟ้องเสีย (ฎ.๔๒๔/๒๕๔๔) ซึง่ การยกฟ้ องลักษณะ
นี ้มีผลเป็ นการที่วินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีตามมาตรา ๑๓๑ (๒) แล้ ว จึงไม่มีเหตุที่จะคืน
ค่าธรรมเนียมศาลตามมาตรา ๑๕๑ (ฎ.๒๐๒๓/๒๕๒๓,๑๗๓๓/๒๕๔๓) ซึง่ ต่างจาก
มาตรา ๑๘ และถือได้ วา่ เป็ นการวินิจฉัยชี ้ขาดเบื ้องต้ นในปั ญหาข้ อกฎหมายตามมาตรา
๒๔ ด้ วย
.
๓) ศาลมีอานาจที่จะคืนคาฟ้องให้ ไปทามาใหม่ ในกรณีที่อ่านไม่ออก ไม่เข้ าใจ
ฟุ่ มเฟื อย หรื อไม่มีรายการ ไม่มีลายมือชื่อ ไม่แนบเอกสารที่กฎหมายต้ องการ หรื อไม่ได้
ชาระค่าขึ ้นศาลให้ ถกู ต้ อง นอกจากนี ้หากเป็ นการยื่นคาฟ้องไม่ชอบเรื่ องเขตอานาจศาลก็
สามารถที่จะไม่รับหรื อคืนให้ ไปยื่นต่อศาลที่มีเขตอานาจได้ ตามวรรคสี่
ข้ อสังเกต
- มาตรา ๑๘ นาไปใช้ แก่การตรวจเอกสารอื่นทีม่ ิใช่คาคูค่ วามด้ วย เช่น คาขอ คา
แถลง คาร้ อง ใบแต่งทนายความ
- อานาจตามมาตรา ๑๘ เป็ นอานาจของศาลชันต้
้ นโดยเฉพาะ
.
- เอกสารที่กฎหมายบังคับให้ ต้องยื่นต่อศาลเพื่อรวมสานวนความถือเป็ นเอกสารที่
ต้ องแนบมาพร้ อมคาฟ้อง เช่น ใบแต่งทนายความตามมาตรา ๖๑ หนังสือแต่งตังให้
้ รับ
เงินหรื อทรัพย์สินซึง่ ได้ ชาระไว้ ในศาลหรื อวางไว้ ยงั ศาลตามมาตรา ๖๓ หนังสือมอบ
ฉันทะให้ ทาการแทนตามมาตรา ๖๔ หนังสือให้ คาอนุญาตหรื อยินยอมในการดาเนินคดี
ตามมาตรา ๕๖ แต่เอกสำรอืน่ ๆ เช่น หนังสือมอบอำนำจให้ดำเนิ นคดีแทนมิ ใช่เอกสำรที ่
กฎหมำยต้องกำรให้แนบหรื อติ ดมำท้ำยฟ้ อง
ฎ.๑๒๗๑-๑๒๗๓/๒๕๐๘ การมอบอานาจให้ ฟ้องคดีตามมาตรา ๖๐ ไม่มีกฎหมาย
บัญญัติให้ โจทก์ต้องแสดงหนังสือมอบอานาจนันติ
้ ดมากับฟ้ องด้ วย ต่างกับกรณีตาม
มาตรา ๖๑,๖๓,๖๔ ซึง่ บัญญัติไว้ ชดั เจนว่าต้ องยื่นต่อศาล แม้ โจทก์ไม่ได้ ยื่นใบมอบ
อานาจต่อศาลขณะยื่นคาฟ้ องก็ไม่เป็ นการขัดต่อกฎหมาย
.
ฎ.๑๔๐๗/๒๕๓๐ บัญชีเครื อญาติและมรณบัตรมิใช่เอกสารตามที่กฎหมายต้ องการ
ให้ แนบมาพร้ อมกับคาฟ้องขอให้ ถอนผู้จดั การมรดก
ฎ.๓๓๐๔๓/๒๕๓๒ ฟ้องขับไล่ผ้ เู ช่าออกจากอสังหาริ มทรัพย์ที่ให้ เช่าและเรี ยก
ค่าเสียหาย สัญญาเช่าไม่ใช่เอกสารตามที่กฎหมายต้ องการให้ แนบมาพร้ อมกับคาฟ้ อง
เป็ นเรื่ องที่สามารถนาสืบได้ ในชันพิ
้ จารณา
- คาคูค่ วามที่มีข้อขัดข้ องหรื อไม่ถกู ต้ องตามวรรคสอง ศาลชันต้
้ นต้ องมีคาสัง่ ให้
คูค่ วามไปทามาใหม่หรื อแก้ ไขเพิ่มเติมหรื อชาระหรื อวางค่าธรรมเนียมศาลให้ ถกู ต้ อง
ครบถ้ วนภายในระยะเวลาและเงื่อนไขที่กาหนด หากคูค่ วามไม่ปฏิบตั ิจึงจะมีคาสัง่ ไม่
รับคาคูค่ วามนันได้
้ กรณีนี ้ต้ องคืนค่าขึ ้นศาลที่ชาระมาแล้ วทังหมดตามมาตรา
้
๑๕๑
วรรคหนึง่ แต่จะมีคาสัง่ ไม่รับเสียทีเดียวโดยไม่ให้ โอกาสคูค่ วามปฏิบตั ิให้ ถกู ต้ องก่อน
ไม่ได้ เว้ นแต่ลว่ งเลยเวลาที่ศาลจะมีคาสัง่ ให้ แก้ ไขได้ แล้ ว (ฎ.๗๑๗๕/๒๕๔๓) หรื อไม่มี
ประโยชน์หรื อความจาเป็ นที่จะต้ องให้ แก้ ไข (ฎ.๘๗๑/๒๕๕๐)
การส่งสาเนาคาฟ้องและผลแห่งการยื่นคาฟ้อง
มาตรา ๑๗๓ “เมื่อศาลได้ รับคาฟ้องแล้ ว ให้ ศาลออกหมายส่งสาเนาคาฟ้องให้
จาเลยเพื่อแก้ คดี และภายในกาหนดเจ็ดวันนับแต่วนั ยื่นคาฟ้อง ให้ โจทก์ร้องขอต่อ
พนักงานเจ้ าหน้ าที่เพื่อให้ สง่ หมายนัน้
นับแต่เวลาที่ได้ ยื่นคาฟ้ องแล้ ว คดีนนอยู
ั ้ ่ในระหว่างการพิจารณาและผลแห่งการนี ้
(๑) ห้ ามไม่ให้ โจทก์ยื่นคาฟ้องเรื่ องเดียวกันนันต่
้ อศาลเดียวกันหรื อต่อศาลอื่น และ
(๒) ถ้ ามีเหตุเปลี่ยนแปลงเกิดขึ ้นในพฤติการณ์อนั เกี่ยวด้ วยการยื่นคาฟ้องคดีตอ่ ศาล
ที่มีเขตศาลเหนือคดีนนั ้ เช่น การเปลี่ยนแปลงภูมิลาเนาของจาเลย การเปลี่ยนแปลงเช่น
ว่านี ้หาตัดอานาจศาลที่รับฟ้ องคดีไว้ ในอันที่จะพิจารณาและชี ้ขาดตัดสินคดีนนไม่
ั้ ”
.
ตามวรรคหนึ่งเป็ นหน้ าที่ของศาลในการออกหมายเรี ยกส่งสาเนาคาฟ้องให้ แก่จาเลย
เพื่อแก้ คดี แต่โจทก์ยงั คงมีหน้ าที่ต้องร้ องขอต่อพนักงานเจ้ าหน้ าที่ภายใน ๗ วันนับแต่ยื่น
คาฟ้ องเพื่อให้ สง่ หมายนัน้ หำกไม่ดำเนิ นกำรถือว่ำโจทก์ ทิ้งฟ้ องตำมมำตรำ ๑๗๔ (๑)
ศำลมีอำนำจจำหน่ำยคดีได้ตำมมำตรำ ๑๓๒ (๑) และศาลสามารถคืนค่าขึ ้นศาล
บางส่วนได้ ตามที่เห็นสมควรตามมาตรา ๑๕๑ วรรคสาม
การส่งหมายและสาเนาคาฟ้องนี ้เจ้ าพนักงานศาลจะเป็ นผู้สง่ ซึง่ โจทก์มีหน้ าที่เสีย
ค่าธรรมเนียมการส่งด้ วย ส่วนการนาส่งนันโจทก์
้
จะนาส่งหรื อไม่ก็ได้ เว้ นแต่ศาลจะสัง่ ให้
โจทก์มีหน้ าที่จดั การนาส่งด้ วยตามมาตรา ๗๐
.
สาหรับผลแห่งการยื่นคาฟ้องนันย่
้ อมเกิดตังแต่
้ เวลาที่ได้ ยื่นคาฟ้อง คือขณะที่สง่ ต่อ
พนักงานเจ้ าหน้ าที่ของศาลตามมาตรา ๖๙ โดยมีผลให้ (๑) ห้ ามฟ้องซ้ อน และ (๒) เรื่ องเหตุ
เปลี่ยนแปลงในพฤติการณ์เกี่ยวด้ วยการยื่นฟ้องของมาตรา ๑๗๓
ฎ.๓๕๔๕/๒๕๒๕ โจทก์ยื่นฟ้องจาเลยต่อศาลจังหวัดนนทบุรีโดยระบุว่าจาเลยมีบ้านอยู่ใน
จังหวัดนนทบุรี ต่อมาระหว่างส่งหมายเรี ยกและสาเนาคาฟ้อง โจทก์ขอแก้ ไขคาฟ้องที่อยู่จาเลย
เป็ นจังหวัดพิษณุโลก ซึง่ เป็ นที่อยู่ตามทะเบียนบ้ าน เมื่อมีพฤติการณ์ที่แสดงว่าบ้ านในจังหวัด
นนทบุรีอาจเป็ นถิ่นที่อยู่ของจาเลยอีกแห่งหนึง่ นอกจากจังหวัดพิษณุโลกซึ่งโจทก์จะถือเอาถิ่นที่
อยู่แห่งหนึง่ แห่งใดเป็ นภูมิลาเนาเพื่อยื่นฟ้องจาเลยก็ได้ กรณีศาลชันต้
้ นควรจะฟั งข้ อเท็จจริ งก่อน
การที่ศาลชันต้
้ นสัง่ จาหน่ายคดีโดยอ้ างว่าจาเลยมีภมู ิลาเนาอยู่ในเขตศาลจังหวัดพิษณุโลก จึง
เป็ นการไม่ชอบ
ฎ.๗๖๗/๒๕๒๖ โจทก์ขอถอนฟ้องจาเลยที่ ๓ ซึง่ มีภมู ิลาเนาในเขตอานาจศาลแพ่งอันเป็ น
ศาลที่ยื่นฟ้องไว้ เพราะเพิ่งทราบจากคาให้ การของจาเลยที่ ๑ ว่าจาเลยที่ ๓ มิได้ เอาประกันภัย
รายนี ้และขอให้ ศาลหมายเรี ยกจาเลยร่ วมซึง่ เป็ นผู้รับประกันภัยที่แท้ จริ งและมีภมู ิลาเนาในเขต
ศาลแพ่งเข้ ามาในคดี การเปลี่ยนแปลงเช่นนี ้ไม่ตดั อานาจศาลแพ่งในอันที่จะพิจารณาชี ้ขาด
ตัดสินคดีตอ่ ไปตามมาตรา ๑๗๓ (๒)
ฟ้องซ้อน
โจทก์จะยืน่ ฟ้องจาเลยคนเดียวกันในคดีเรือ่ งเดียวกันนัน้ ในขณะคดีเดิมยังอยูใ่ น
ระหว่างพิจารณาต่อศาลนัน้ หรือศาลอื่นอีกไม่ได้ ถือว่าเป็ นฟ้องซ้อนตามมาตรา ๑๗๓
วรรคสอง (๑)
หลักเกณฑ์
๑. คดีอยูใ่ นระหว่างพิจารณา
๒. ห้ามโจทก์ฟ้อง
๓. คูค่ วามเดียวกัน
๔ .เรือ่ งเดียวกัน
๕. ต่อศาลโดยไม่จากัดว่าศาลเดียวกันหรือศาลอื่น
.
๑. คดีอยูใ่ นระหว่างพิจารณา
เมือ่ นับเวลาตัง้ แต่ยนื ่ คาฟ้องต่อศาลแล้วย่อมเกิดเป็ นคดีขน้ึ ตามมาตรา ๑ (๒) และ
ถือว่าคดีอยูใ่ นระหว่างพิจารณาจนกว่าจะมีคาวินิจฉัยชีข้ าดตัดสินคดีหรือจาหน่ายคดี
ออกไป
คดีทอ่ี ยูใ่ นระหว่างการพิจารณานี้ อาจอยูใ่ นระหว่างการพิจารณาของศาลชัน้ ต้น
ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกาก็ได้ แต่ตอ้ งเป็ นคดีทย่ี งั ไม่ถงึ ทีส่ ดุ โดยในการพิจารณาว่า
เป็ นฟ้องซ้อนหรือไม่ตอ้ งดูขณะทีย่ น่ื คาฟ้องเรือ่ งนัน้
นอกจากนี้แม้คดีทอ่ี ยูใ่ นระหว่างการพิจารณานัน้ จะกาลังพิจารณาทีไ่ ม่ใช่เรือ่ ง
เนื้อหาประเด็นแห่งคดีกต็ ามก็หา้ มฟ้องซ้อน
.
ฎ.๑๔๒๙/๒๕๓๖ เมือ่ คาสังของศาลที
่
อ่ นุ ญาตให้โจทก์ถอนฟ้องในคดีก่อนยัง
ไม่ถงึ ทีส่ ดุ ก็ตอ้ งถือว่าคดีก่อนอยูใ่ นระหว่างการพิจารณา การทีโ่ จทก์นามูลหนี้ราย
เดียวกันมาฟ้องจาเลยเป็ นคดีน้ีอกี จึงเป็ นฟ้องซ้อนกับคดีก่อนต้องห้ามตามมาตรา
๑๗๓ (๑) แม้ต่อมาคดีก่อนถึงทีส่ ดุ โดยศาลอนุ ญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง ก็หาทาให้
ฟ้องคดีหลังซึง่ เป็ นฟ้องทีไ่ ม่ชอบด้วยกฎหมายมาแต่ตน้ กลายเป็ นฟ้องทีช่ อบด้วย
กฎหมายขึน้ มาใหม่
แต่หากโจทก์ถอนฟ้องแล้วไม่มกี ารอุทธรณ์จงึ ไม่มคี ดีอยูใ่ นระหว่างการ
พิจารณาสามารถฟ้องใหม่ได้ไม่เป็ นฟ้องซ้อน
ฎ.๒๖๕๘/๒๕๔๕ โจทก์ฟ้องจาเลยตามสัญญาเช่าซือ้ จาเลยนารถทีเ่ ช่าซือ้ มา
คืนโจทก์ โจทก์จงึ ถอนฟ้อง แต่เมือ่ นารถออกประมูลขายได้เงินไม่คุม้ ราคาทีเ่ ช่า
ซือ้ จึงมาฟ้องเรียกราคารถส่วนทีข่ าดอีก กรณีเช่นนี้ไม่ถอื เป็ นฟ้องซ้อนเพราะฟ้อง
โจทก์คดีก่อนไม่อยูใ่ นระหว่างการพิจารณาเนื่องจากถอนฟ้องไปแล้ว
.
ในคดีทม่ี ฟี ้ องแย้ง การพิจารณาว่าคดีอยูร่ ะหว่างการพิจารณาหรือไม่ ต้องพิจารณา
ฟ้องของโจทก์กบั ฟ้องแย้งของจาเลยแยกออกจากกัน
ฎ.๓๒๙๑/๒๕๓๗ โจทก์ขาดนัดพิจารณา ศาลชัน้ ต้นสังจ
่ าหน่ายคดีทงั ้ หมดออกจาก
สารบบความ วันเดียวกันโจทก์ยน่ื ฟ้องเข้ามาใหม่ในข้อหาเดิมเป็ นคดีน้ี ต่อมาจาเลย
อุทธรณ์คาสั ่งศาลทีใ่ ห้จาหน่ายฟ้องแย้ง ศาลชัน้ ต้นสังไม่
่ รบั อุทธรณ์ จาเลยยืน่ คาร้อง
อุทธรณ์คาสังไม่
่ รบั อุทธรณ์ ดังนี้ เมือ่ ศาลชัน้ ต้นสังจ
่ าหน่ายคดีตามฟ้องเดิมของโจทก์ คดี
ตามฟ้องเดิมของโจทก์จงึ ไม่อยูใ่ นระหว่างการพิจารณาของศาลอีกต่อไป โจทก์ยอ่ มยืน่
คาฟ้องเรือ่ งเดียวกันเป็ นคดีน้ไี ด้ไม่ฝา่ ฝืนมาตรา ๑๗๓ (๑) ส่วนทีจ่ าเลยยืน่ อุทธรณ์คาสัง่
จาหน่ายคดีนนั ้ เป็ นอุทธรณ์คาสั ่งทีใ่ ห้จาหน่ายคดีตามฟ้องแย้ง ซึง่ เป็ นคนละส่วนกันไม่
เกีย่ วกับฟ้องเดิมของโจทก์ ไม่ถอื ว่าฟ้องเดิมของโจทก์อยูใ่ นระหว่างพิจารณาอันจะทาให้
ฟ้องโจทก์ในคดีน้เี ป็ นฟ้องซ้อนเช่นกัน แต่เมือ่ ต่อมาศาลฎีกามีคาพิพากษาให้รบั ฟ้องแย้ง
ไว้พจิ ารณา จึงทาให้ฟ้องแย้งของจาเลยในคดีน้ที ข่ี อให้โจทก์ชาระค่าเสียหายเช่นเดียวกับ
คดีก่อนเป็ นฟ้องซ้อน
.
๒. ห้ามโจทก์ฟ้อง
กฎหมายบัญญัตหิ า้ มเฉพาะโจทก์เท่านัน้ มิได้หา้ มจาเลยทีจ่ ะฟ้องโจทก์แม้
คดีอยูใ่ นระหว่างการพิจารณา (ฎ.๒๕๗๙/๒๕๒๕,ฎ.๒๘๘/๒๕๓๕,ฎ.๓๘๔๗/
๒๕๓๕)
ในการฟ้องแย้งนัน้ จาเลยมีฐานะเป็ นโจทก์ในส่วนทีฟ่ ้ องแย้งอยูด่ ว้ ยจึงอยู่
ภายใต้หลักเกณฑ์มาตรา ๑๗๓ (๑) เช่นกัน
ฎ.๒๔๒๗-๒๔๒๘/๒๕๒๐ สานวนแรกโจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างก่อสร้างอาคาร
จากจาเลยผูว้ า่ จ้าง จาเลยให้การและฟ้องแย้งว่าโจทก์ผดิ สัญญาและบอกเลิก
สัญญาแล้ว ขอให้บงั คับโจทก์ชาระค่าปรับและเรียกค่าเสียหาย คดีอยู่ในระหว่าง
การพิจารณา จาเลยฟ้องโจทก์สานวนหลังฐานผิดสัญญาจ้างนัน้ เรียกค่าเสียหาย
เพิม่ เติมนอกจากทีฟ่ ้ องแย้งไว้แล้ว ดังนี้ สานวนหลังเป็ นฟ้องซ้อนต้องห้ามตาม
มาตรา ๑๗๓ (๑)
.
บุคคลทีอ่ ยู่ในฐานะอย่างเดียวกัน หากต่างเป็ นโจทก์ฟ้องคดีเรือ่ ง
เดียวกันก็ถอื เป็ นฟ้ องซ้อน เช่น กรณี เจ้าของรวม หรือผูจ้ ดั การมรดกกับ
ทายาททีต่ ่างใช้สิทธิเกีย่ วกับทรัพย์มรดก
ฎ.๙๖๖/๒๕๑๘ บุคคลหลายคนมีกรรมสิทธิในที
์ ด่ นิ ร่วมกัน เจ้าของรวมคน
หนึ่งให้จาเลยเช่าทีด่ นิ ดังกล่าว ต่อมาฟ้องขับไล่จาเลย คดีอยูร่ ะหว่างการพิจารณา
โจทก์ซง่ึ เป็ นเจ้าของรวมอีกคนหนึ่งมาฟ้องขับไล่จาเลยออกจากทีด่ นิ นัน้
เช่นเดียวกัน จึงเป็ นฟ้องซ้อน
ฎ.๗๐๒/๒๕๒๔ ผูจ้ ดั การมรดกในฐานะตัวแทนทายาทรวมทัง้ โจทก์ฟ้องขับ
ไล่จาเลยออกจากทีพ่ พิ าท ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ฟ้องขับไล่
จาเลยออกจากทีพ่ พิ าทอีกเป็ นฟ้องซ้อน
.
คดีอาญาทีพ่ นักงานอัยการเป็ นโจทก์มคี าขอส่วนแพ่งให้จาเลยคืนหรือใช้
ราคาทรัพย์แก่ผเู้ สียหายตามปวิอ.มาตรา ๔๓ ถือว่าเป็ นการฟ้องคดีสว่ นแพ่งแทน
ผูเ้ สียหาย ผูเ้ สียหายจะมาฟ้องคดีแพ่งอีกไม่ได้เป็ นฟ้องซ้อน (ฎ.๓๐๘๐/๒๕๔๔)
คดีทพ่ี นักงานอัยการในฐานะเจ้าหน้าทีค่ มุ้ ครองผูบ้ ริโภคฟ้องคดีแทนโจทก์ใน
คดีไว้แล้ว โจทก์จะนาคดีเรือ่ งเดียวกันมาฟ้องอีกในระหว่างทีค่ ดีก่อนอยูใ่ นระหว่าง
การพิจารณาไม่ได้ (ฎ.๑๕๗๗/๒๕๔๘)
การร้องสอดเข้ามาเป็ นคูค่ วามฝา่ ยทีส่ าม หากเนื้อหามีสภาพเป็ นคาฟ้อง ผู้
ร้องสอดย่อมมีฐานะเป็ นโจทก์ จึงอาจเป็ นกรณีฟ้องซ้อนได้
.
ฎ.๕๗๑๖/๒๕๓๙ การร้องสอดเข้ามาเป็ นคูค่ วามฝา่ ยทีส่ ามตามมาตรา ๕๗ (๑)
ถือเป็ นคาฟ้อง ผูร้ อ้ งสอดอยูใ่ นฐานะโจทก์ โจทก์เดิมและจาเลยอยูใ่ นฐานะจาเลย
เมือ่ ศาลชัน้ ต้นมีคาสังจ
่ าหน่ายคดีระหว่างผูร้ อ้ งสอดกับจาเลยโดยมิได้จาหน่ายคดี
เกีย่ วกับโจทก์ ถือว่าคดีระหว่างผูร้ อ้ งสอดกับโจทก์อยูใ่ นระหว่างพิจารณา คาร้อง
สอดของผูร้ อ้ งทีย่ น่ื เข้ามาใหม่จงึ เป็ นฟ้องซ้อนสาหรับโจทก์ ผูร้ อ้ งสอดคงมีอานาจยืน่
เข้ามาใหม่เฉพาะทีเ่ กีย่ วกับจาเลย
แต่ผร้ ู ้องสอดตามมาตรา ๕๗ (๓) ที่เข้ามาตามหมายเรียกของศาลไม่เป็ น
ฟ้ องซ้อน
ฎ.๑๓๓๗/๒๕๑๙ คดีก่อนโจทก์ฟ้องจาเลยที่ ๒ ขอแบ่งมรดก คดีอยูใ่ นระหว่าง
การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ แต่คดีน้ีโจทก์ฟ้องจาเลยที่ ๑ เป็ นคนละคนกัน จาเลย
ที่ ๒ เข้ามาในคดีน้ีกด็ ว้ ยการทีศ่ าลเรียกให้เข้ามาตามมาตรา ๕๗ (๓) ฟ้องของ
โจทก์จงึ ไม่เป็ นฟ้องซ้อน
.
๓. คูค่ วามเดียวกัน
การฟ้องซ้อนนัน้ คูค่ วามในคดีหลังจะต้องเป็ นคูค่ วามรายเดียวกันกับคูค่ วาม
ในคดีก่อน กล่าวคือ เป็ นโจทก์จาเลยคนเดียวกัน แต่รวมถึงการทีใ่ ช้สทิ ธิแทน
คูค่ วามรายนัน้ ด้วย เช่น กรณีเจ้าของรวมทีป่ พพ.มาตรา ๑๓๕๙ ให้อานาจ
เจ้าของรวมคนหนึ่งๆใช้สทิ ธิอนั เกิดแต่กรรมสิทธิ ์ครอบไปถึงทรัพย์สนิ ทัง้ หมด
เพือ่ ต่อสูบ้ ุคคลภายนอก หรือกรณีทผ่ี จู้ ดั การมรดกซึง่ กระทาการแทนทายาท
กรณีลกู หนี้รว่ ม มีความเห็นของอ.พิพฒ
ั น์ จักรางกูร ว่าหากโจทก์ฟ้อง
ลูกหนี้รว่ มคนหนึ่ง ต่อมาหากฟ้องลูกหนี้รว่ มอีกคนหนึ่งในหนี้รายเดียวกันอีก
น่าจะเป็ นฟ้องซ้อน
.
การทีศ่ าลมีคาพิพากษาให้ขบั ไล่ แล้วโจทก์ขอให้บงั คับคดีกบั บริวาร
จาเลยออกไปด้วยนัน้ มิใช่การฟ้องคดี ดังนัน้ หากโจทก์มาฟ้องขับไล่บริวาร
เป็ นจาเลยให้ออกจากอสังหาริมทรัพย์จงึ ไม่เป็ นฟ้องซ้อน
ฎ.๘๑๙/๒๕๓๓ คดีก่อนโจทก์ฟ้องขับไล่อ. เมือ่ ศาลพิพากษาให้โจทก์
ชนะคดี โจทก์ยน่ื คาร้องว่าจาเลยเป็ นบริวารของอ.ขอให้ออกหมายบังคับให้
ออกไป จาเลยยืน่ คาร้องว่ามิใช่บริวารของอ. การทีโ่ จทก์ยน่ื คาร้องขอให้ศาล
ออกหมายบังคับคดีดงั กล่าวมิใช่เป็ นการยืน่ ฟ้องคดีต่อศาล ดังนัน้ โจทก์มา
ฟ้องขับไล่จาเลยในคดีน้ีจงึ ไม่ใช่ฟ้องซ้อน
.
๔. เรือ่ งเดียวกัน
ข้อห้ามเรือ่ งฟ้องซ้อนกฎหมายมุง่ ถึงเรือ่ งเดียวกัน ซึง่ ถ้อยคาต่างจาก
การฟ้องซ้าหรือการดาเนินกระบวนพิจารณาซ้า คาว่าเรือ่ งเดียวกันนี้ม ี
ความหมายกว้างกว่าประเด็นเดียวกัน ทัง้ นี้หมายถึง เรือ่ งทีอ่ าศัยมูลฟ้องซึง่
มีอยูก่ ่อนฟ้องแล้ว เมือ่ โจทก์นามูลหนึ่งมาฟ้องแล้วจะนามูลอื่นทีม่ อี ยูแ่ ล้ว
เพือ่ ฟ้องอีกไม่ได้ แม้จะเปลีย่ นแปลงสภาพแห่งข้อหาหรือข้ออ้างหรือ
เรียกร้องให้รบั ผิดในเงินจานวนอื่น เช่น ฟ้องเรียกเงินกู้ หากต่อมาฟ้องเรียก
ดอกเบีย้ จากต้นเงินกูร้ ายเดียวกันก็เป็ นฟ้องซ้อน หรือฟ้องขับไล่ออกจาก
ทีด่ นิ โดยอ้างว่าจาเลยอยูโ่ ดยละเมิด ต่อมากลับฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการ
ละเมิดนัน้ อีกก็เป็ นฟ้องซ้อน
ทัง้ นี้ กฎหมายมุง่ ให้ใช้สทิ ธิจากมูลฟ้องเดียวกันให้เสร็จสิน้ ไปในคราว
เดียว หากขาดตกบกพร่องก็ชอบทีจ่ ะขอแก้ไขเพิม่ เติมได้ แต่ไม่อนุญาตให้
ฟ้องใหม่อกี
.
สาหรับค่าเสียหายในอนาคตหากเกิดขึน้ มีมาอยูแ่ ล้วขณะทีย่ น่ื ฟ้องก็ควรต้องขอมาหาก
ยังคงมีอยูต่ ่อไป ทัง้ ศาลก็มอี านาจกาหนดให้ตามมาตรา ๑๔๒ ด้วย ดังนัน้ หากมิได้เรียกมา
แต่กลับสงวนสิทธิไว้ฟ้องในภายหน้าจะไม่ทาให้เกิดผลใดๆ
ฎ.๑๙๖๔/๒๕๓๕ สาระสาคัญทีโ่ จทก์นามากล่าวอ้างเป็ นมูลเหตุแห่งการฟ้องและเรียก
ค่าเสียหายในคดีน้เี ป็ นผลสืบเนื่องมาจากเรือ่ งเดียวกันและมูลเหตุเดียวกันกับคดีก่อน ชอบที่
จะเรียกร้องค่าเสียหายมาพร้อมกับฟ้องในคดีก่อนเสียคราวเดียวกัน โจทก์นาคดีมาฟ้องทีละ
ส่วนทีละตอน ทัง้ ๆทีค่ ดีก่อนอยูใ่ นระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์หาได้ไม่ คดีน้เี ป็ น
ฟ้องซ้อน
กรณีทถ่ี อื เป็ นเรือ่ งเดียวกัน
ฎ.๕๖-๕๗/๒๕๑๙ จาเลยผิดสัญญาแลกเปลีย่ นรถยนต์ โจทก์คดิ ค่าเสียหายเรียกเป็ น
รายวัน ระหว่างพิจารณาโจทก์ฟ้องจาเลยอีกคดีหนึ่งเรียกราคารถ เป็ นเรือ่ งทีโ่ จทก์ควรรจะ
เรียกราคารถในคดีแรกอยูแ่ ล้ว จึงเป็ นฟ้องซ้อน
ฎ.๕๒๑๐/๒๕๔๐ คดีก่อนโจทก์ฟ้องจาเลยขอแบ่งทีด่ นิ สินสมรส คดีน้โี จทก์ฟ้องจาเลย
อ้างว่าทีด่ นิ สามแปลงเป็ นสินสมรส จาเลยนาไปขาย ขอให้บงั คับจาเลยแบ่งค่าที่ดนิ ส่วนของ
โจทก์ คดีมปี ระเด็นต้องวินิจฉัยและคาขอบังคับอย่างเดียวกัน เป็ นฟ้องซ้อน
.
ฎ.๖๔๗๕/๒๕๕๖ คดีแรกหลังจากศาลชัน้ ต้นมีคาสังตั
่ ง้ จาเลยเป็ นผูจ้ ดั การมรดก
ตามพินยั กรรมแล้ว โจทก์ทงั ้ สองยื่นคาร้องในคดีดงั กล่าวขอให้ถอนจาเลยออกจากการ
เป็ นผูจ้ ดั การมรดก และแต่งตัง้ โจทก์ทงั ้ สองเป็ นผูจ้ ดั การมรดกแทน โดยอ้างว่าจาเลยนา
พินยั กรรมฉบับแรกซึง่ เป็ นโมฆะแล้วเพราะถูกเพิกถอนโดยพินยั กรรมฉบับหลังมาอ้างต่อศาล
อันมีพฤติกรรมไม่สุจริตและเท่ากับจาเลยสละสิทธิตามพินยั กรรมฉบับหลังสุด และพินยั กรรม
ทุกฉบับสิน้ ผลบังคับแล้วเพราะล่วงเลยกาหนดระยะเวลาตามกฎหมาย คาร้องของโจทก์ทงั ้
สองดังกล่าวเป็ นการเสนอข้อหาต่อศาลจึงถือได้วา่ เป็ นคาฟ้อง เมือ่ จาเลยคัดค้านคาร้อง อัน
เป็ นการยกข้อต่อสูเ้ ป็ นข้อแก้คาฟ้อง คาคัดค้านจึงเป็ นคาให้การ แม้คดีดงั กล่าวมีประเด็นข้อ
พิพาทว่า ใครสมควรเป็ นผูจ้ ดั การมรดก แต่การทีศ่ าลจะมีคาสังถอนจ
่
าเลยออกจากการเป็ น
ผูจ้ ดั การมรดก หรือแต่งตัง้ ผูจ้ ดั การมรดกคนใหม่หรือไม่นนั ้ ก็จะต้องพิจารณาให้ได้ความ
เสียก่อนว่าพินยั กรรมฉบับแรกเป็ นโมฆะหรือสิน้ ผลตามทีโ่ จทก์ทงั ้ สองกล่าวอ้างหรือไม่ คดีน้ที ่ี
โจทก์ทงั ้ สองยืน่ ฟ้องอ้างเหตุทานองเดียวกันว่า จาเลยใช้พนิ ยั กรรมทีถ่ กู เพิกถอนยืน่ ต่อศาล
ขอให้ตงั ้ ตนเป็ นผูจ้ ดั การมรดกถือว่ามีเจตนาไม่สุจริต ขอให้พิพากษาว่าพินัยกรรมดังกล่าว
เป็ นโมฆะ และให้แบ่งที่ดินมรดกแก่โจทก์ทงั ้ สอง ศาลชัน้ ต้นก็ตอ้ งพิจารณาให้ได้ความ
เสียก่อนว่าพินยั กรรมฉบับทีจ่ าเลยอ้างเป็ นโมฆะหรือสิน้ ผลแล้วหรือไม่ ซึง่ เป็ นประเด็นทีต่ อ้ ง
วินิจฉัยเช่นเดียวกับคดีแรก เมือ่ คดีดงั กล่าวอยูร่ ะหว่างการพิจารณา ฟ้องคดีน้จี งึ เป็ นฟ้องซ้อน
.
กรณีทไ่ี ม่ถอื ว่าเป็ นเรือ่ งเดียวกัน
- แม้มคี าขออย่างเดียวกัน แต่ขอ้ อ้างไม่ใช่อย่างเดียวกัน
ฎ.๑๐๙๑-๑๐๙๒/๒๕๓๗ สานวนแรกโจทก์อา้ งการได้มาซึง่ กรรมสิทธิในที
์ ด่ นิ พิพาท
ตามปพพ.มาตรา ๑๓๘๒ อันเป็ นการกล่าวอ้างโดยนิตเิ หตุ ส่วนสานวนคดีหลังอ้างการได้
กรรมสิทธิ ์ในทีด่ นิ โดยการทีโ่ จทก์ซอ้ื ทีด่ นิ พิพาทมาจากจาเลย อันเป็ นกล่าวอ้างเรือ่ งนิตกิ รรม
แม้คาขอมีอย่างเดียวกันให้เปลีย่ นชือ่ ในโฉนดเป็ นของโจทก์ ก็ไม่เป็ นฟ้องซ้อน
ฎ.๓๖๕/๒๕๓๙ คดีก่อนฟ้องให้จาเลยใช้เงินตามเช็ค คดีน้ีโจทก์ฟ้องว่าจาเลยเป็ นตัวแทนเรียก
เก็บเบีย้ ประกันภัยแล้วไม่นาส่งให้โจทก์ สิทธิการฟ้องมีสภาพแห่งข้อหาต่างกัน แม้มลู หนี้สบื เนื่องจาก
เบีย้ ประกันภัยเช่นเดียวกันก็ไม่เป็ นฟ้องซ้อน
- สิทธิอนั เป็ นมูลตามฟ้องเกิดขึน้ ใหม่หลังฟ้องคดีก่อน
ฎ.๓๑๖/๒๕๑๑ (ป.) เดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จาเลยและเรียกค่าเสียหาย อ้างว่าผิดสัญญาเช่าเพราะให้
เช่าช่วงทาให้อาคารเสียหาย ระหว่างพิจารณาสัญญาเช่าหมดอายุ จึงฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายอีก
โดยอ้างว่าสัญญาเช่าระงับแล้ว ฟ้องคดีหลังไม่ตอ้ งห้ามตามมาตรา ๑๗๓ (๑) เพราะมูลคดีหลังเกิดขึน้ ที่
หลังจากฟ้องคดีแรกแล้ว
.
- สิทธิคนละเรือ่ งคนละอย่างสามารถฟ้องใหม่ได้ เพราะไม่ใช่จานวนทีต่ อ้ งรับ
ผิดในขณะทีย่ น่ื ฟ้องไว้เดิม
ฎ.๖๔๖/๒๕๒๒ คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่าจาเลยที่ ๑ คนเดียวกระทาละเมิดเข้า
ทานาของโจทก์ในปี ๒๕๑๙ คดีน้ีฟ้องว่าจาเลยที่ ๑ กับพวกเข้ามาแย่งไถและ
หว่านข้าวทานาอันเป็ นการละเมิดในปี ๒๕๒๐ ซึง่ เป็ นละเมิดต่างคราวกัน ไม่
ต้องห้ามตามมาตรา ๑๗๓ วรรคสอง (๑)
ฎ.๒๑๔๓/๒๕๒๓ คดีเดิมฟ้องหย่าอ้างว่าทาหนังสือยินยอมหย่ากัน ศาลยก
ฟ้อง ระหว่างอุทธรณ์ โจทก์ฟ้องคดีใหม่วา่ จาเลยทิง้ ร้างขอหย่า สภาพแห่งข้อหา
ตลอดจนประเด็นในคดีทงั ้ สองต่างกัน ไม่เป็ นฟ้องซ้อน
.
๕. ไม่จากัดว่าศาลเดียวกันหรือศาลอื่น
ฎ.๓๑๖๐/๒๕๓๖ ผูร้ อ้ งร้องขอเป็ นผูจ้ ดั การมรดก ระหว่างไต่สวนมีผูค้ ดั ค้าน
ผูร้ อ้ งไปยืน่ คาร้องขอเป็ นผูจ้ ดั การมรดกทีศ่ าลอื่นฝา่ ฝืนมาตรา ๑๗๓ และเป็ นการ
ใช้สทิ ธิไม่สจุ ริต คาสังตั
่ ง้ ผูจ้ ดั การมรดกไม่ผกู พันผูค้ ดั ค้านซึง่ เป็ นบุคคลภายนอก
ข้อสังเกต
- ฟ้องซ้อนนาไปใช้ในคดีอาญาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธพี จิ ารณาความ
อาญา มาตรา ๑๕ (ฏ.๗๒๘/๒๔๙๔,ฎ.๓๖๘๑-๓๖๘๒/๒๕๓๒)
- ฟ้องซ้อนเป็ นปญั หาเกีย่ วกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมี
อานาจยกขึน้ วินิจฉัยเองได้ตามมาตรา ๑๔๒ (๕) (ฎ.๑๐๓๘/๒๕๑๒,ฎ.๕๖-๕๗/
๒๕๑๖)
ิ
ด
าเน
นกระบวน
ฟ้ องซ้อน
ฟ้ องซา้
พิจารณาซา้
๑. คดีอยูใ่ นระหว่าง
๑. คดีทไ่ี ด้มคี า
๑. ศาลมีคา
พิจารณา
พิพากษาหรือคาสังถึ
่ งทีส่ ดุ
พิพากษาหรือคาสัง่
๒. ห้ามโจทก์ฟ้อง แล้ว
วินิจฉัยชีข้ าดคดีหรือ
๓. คูค่ วามเดียวกัน
๒. ห้ามมิให้คคู่ วาม
๔ .เรือ่ งเดียวกัน
เดียวกันรือ้ ร้องฟ้องกันอีก ประเด็นข้อใดแห่งคดี
๒. ห้ามดาเนิน
๕. ต่อศาลโดยไม่
๓. ในประเด็นทีไ่ ด้
กระบวนพิจารณาใน
จากัดว่าศาลเดียวกัน วินิจฉัย
หรือศาลอื่น
๔. โดยอาศัยเหตุอย่าง ศาลนัน้ อันเกีย่ วกับคดี
หรือประเด็นทีว่ นิ ิจฉัยชี้
เดียวกัน
ขาดแล้วนัน้
การทิ ้งฟ้องและการถอนฟ้อง
มาตรา ๑๗๔ “ในกรณีต่อไปนี ้ให้ ถือว่าโจทก์ทิ ้งฟ้อง คือ
(๑) ภายหลังที่ได้ เสนอคาฟ้องแล้ ว โจทก์เพิกเฉยไม่ร้องขอต่อพนักงานเจ้ าหน้ าที่
เพื่อให้ สง่ หมายเรี ยกให้ แก้ คดีแก่จาเลย และไม่แจ้ งให้ ศาลทราบเหตุแห่งการเพิกเฉยเช่น
ว่านันภายในก
้
าหนดเจ็ดวันนับแต่วนั ยื่นคาฟ้อง
(๒) โจทก์เพิกเฉยไม่ดาเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกาหนดไว้ เพื่อการ
นันโดยได้
้
สง่ คาสัง่ ให้ แก่โจทก์โดยชอบแล้ ว”
.
ข้ อสังเกต
- แม้ จะมีเหตุตาม (๑) (๒) ซึง่ ถือว่าโจทก์ทิ ้งฟ้อง แต่ศาลจะมีคาสัง่ ให้ จาหน่ายคดีออกจาก
สารบบความตามมาตรา ๑๓๒ (๑) หรื อไม่เป็ นดุลพินิจของศาล และหากจาหน่ายคดีเพราะทิ ้ง
ฟ้องมาตรา ๑๕๑ วรรรคสามที่แก้ ไขใหม่ให้ ศาลมีอานาจสัง่ คืนค่าขึ ้นศาลบางส่วนได้ ตามที่
เห็นสมควร
- เหตุทิ ้งฟ้องเกิดขึ ้นแก่คคู่ วามคนใด ศาลชอบที่จะจาหน่ายคดีเฉพาะคูค่ วามนัน้ จะ
จาหน่ายคดีทงหมดรวมไปถึ
ั้
งคูค่ วามอื่นที่ไม่มีเหตุทิ ้งฟ้องด้ วยไม่ได้ (ฎ.๗๖๐๐/๒๕๔๑)
- กาหนดเวลาตามมาตรา ๑๗๔ (๑) หมายความเฉพาะยื่นคาฟ้องศาลชันต้
้ นเท่านัน้ จะ
นามาใช้ แก่การส่งหมายนัดสาเนาอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ (ฎ.๑๓๙๓-๑๓๙๕/๒๕๑๐) อย่างไรก็ตาม
การที่เพิกเฉยไม่นาส่งสาเนาอุทธรณ์หรื อฎีกาให้ แก่อีกฝ่ ายหรื อไม่แถลงผลการส่งสาเนาอุทธรณ์
ฎีกาเมื่อนาส่งไม่ได้ ศาลสูงถือว่าทิ ้งฟ้องอุทธรณ์ฎีกาได้ ตามมาตรา ๑๗๔ (๒) (ฎ.๔๗๔๑/
๒๕๓๙.๑๑๐๕/๒๕๔๓)
สาหรับมาตรา ๑๗๔ (๒) ต้ องเป็ นเรื่ องที่ศาลได้ สง่ คาสัง่ ให้ โจทก์เพื่อดาเนินการโดยชอบ
แล้ ว เช่น ท้ ายคาฟ้องมีข้อความว่า “รอฟั งคาสัง่ อยู่ หากไม่รอให้ ถือว่าทราบแล้ ว” หรื อ “จะมาฟั ง
คาสัง่ ภายใน ๗ วัน มิฉะนันถื
้ อว่าทราบแล้ ว” หากศาลมีคาสัง่ แล้ วไม่ปฏิบตั ิตามก็ถือว่าเป็ นการ
ทิ ้งฟ้อง
.
มาตรา ๑๗๕ “ก่อนจาเลยยื่นคาให้ การ โจทก์อาจถอนคาฟ้องได้ โดยยื่นคาบอกกล่าว
เป็ นหนังสือต่อศาล
ภายหลังจาเลยยื่นคาให้ การแล้ ว โจทก์อาจยื่นคาขอโดยทาเป็ นคาร้ องต่อศาลชันต้
้ น
เพื่ออนุญาตให้ โจทก์ถอนคาฟ้องได้ ศาลจะอนุญาตหรื อไม่อนุญาตภายในเงื่อนไขที่
เห็นสมควรก็ได้ แต่
(๑)ห้ ามไม่ให้ ศาลอนุญาต โดยมิได้ ฟังจาเลยหรื อผู้ร้องสอด ถ้ าหากมีก่อน
(๒)ในกรณีที่โจทก์ถอนคาฟ้องเนื่องจากมีข้อตกลงหรื อประนีประนอมยอมความกับ
จาเลย ให้ ศาลอนุญาตไปตามคาขอนัน”
้
.
การถอนฟ้องก่อนยื่นคาให้ การเป็ นสิทธิของโจทก์ ไม่อยู่ในบังคับของวรรคสองที่ต้อง
ฟั งอีกฝ่ ายหนึง่ ก่อน และไม่ใช่คาร้ องที่ต้องให้ อีกฝ่ ายมีโอกาสคัดค้ านก่อนตามมาตรา ๒๑
อย่างไรก็ตามการถอนฟ้ องที่มีลกั ษณะเอาเปรี ยบเชิงคดี หรื อไม่สจุ ริ ต เช่น คาฟ้ องมี
ข้ อบกพร่องที่ไม่อาจขอแก้ ไขได้ ศาลก็อาจไม่อนุญาตให้ ถอนฟ้องได้
การที่มีการยื่นคาให้ การแล้ ว ก่อนมีคาสัง่ ศาลต้ องฟั งจาเลยและผู้ร้องสอดหากมีก่อน
แต่แม้ จะคัดค้ าน ถ้ าเห็นสมควรศาลก็มีอานาจอนุญาตให้ ถอนฟ้องได้
ข้ อสังเกต
-นิติบคุ คลเป็ นโจทก์ หากมีการเปลี่ยนแปลงกรรมการในระหว่างการพิจารณา
กรรมการผู้มีอานาจคนใหม่มีอานาจถอนฟ้องและถอนทนายได้ (ฎ.๑๗๑๕/๒๕๕๑)
.
- มาตรานี ้นาไปใช้ แก่การถอนฟ้องอุทธรณ์หรื อฎีกาด้ วย
- การถอนฟ้ องศาลสัง่ คืนค่าธรรมเนียมศาลทังหมดหรื
้
อบางส่วนได้ ตามมาตรา ๑๕๑
วรรคสอง
ผลการทิ ้งฟ้ องหรื อถอนฟ้อง
มาตรา ๑๗๖ “การทิ ้งคาฟ้องหรื อการถอนฟ้องย่อมลบล้ างผลแห่งการยื่นคาฟ้ องนัน้
รวมทังกระบวนพิ
้
จารณาอื่นๆอันมีตอ่ มาภายหลังยื่นคาฟ้อง และกระทาให้ คคู่ วาม
กลับคืนเข้ าสูฐ่ านะเดิมเสมือนหนึง่ มิได้ มีการยื่นคาฟ้องเลย แต่วา่ คาฟ้ องใดๆที่ได้ ทิ ้งหรื อ
ถอนแล้ วอาจยื่นใหม่ได้ ภายใต้ บงั คับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้ วยอายุความ”
.
ข้ อสังเกต
- การถอนฟ้ องโดยตกลงสละสิทธิไม่ฟ้องจาเลยในเรื่ องเดียวกันอีก ข้ อตกลงดังกล่าว
ย่อมผูกพันโจทก์ทาให้ ไม่อาจยื่นฟ้องได้ อีก (ฎ.๒๐๐๒/๒๕๑๑,๒๒๔๐/๒๕๑๕,๗๘๓๔/
๒๕๔๐)
- การจาหน่ายคดีเพราะทิ ้งฟ้องหรื อถอนฟ้องไม่มีผลทาให้ ฟ้องแย้ งจาเลยตกไป
รวมถึงคาร้ องสอดตามมาตรา ๕๗ (๑) (๓) ก็เช่นกัน (ฎ.๓๔๖๐/๒๕๔๑,๗๔๔๗/
๒๕๓๘,๗๔๘๓/๒๕๔๗)
- ไม่มีกฎหมายให้ ศาลสามารถยกคดีขึ ้นพิจารณาใหม่จากเรื่ องนี ้ได้ (ฎ.๔๐๔๘/
๒๕๒๔,๓๓๗๕/๒๕๒๕)
- มีผลต่อการพิจารณาเรื่ องฟ้ องซ้ อน ฟ้องซ ้า