กายวิภาคศาสตร์ (Anatomy) เป็ นวิชาทีก ่ ล่าวถึงรูปร่าง และ โครงสร ้าง (form and structure) ของ สงิ่ มีชวี ต ิ คาว่า กายวิภาค หรือ Anatomy แยก ั ท์ได ้เป็ น Ana.
Download ReportTranscript กายวิภาคศาสตร์ (Anatomy) เป็ นวิชาทีก ่ ล่าวถึงรูปร่าง และ โครงสร ้าง (form and structure) ของ สงิ่ มีชวี ต ิ คาว่า กายวิภาค หรือ Anatomy แยก ั ท์ได ้เป็ น Ana.
กายวิภาคศาสตร์ (Anatomy) เป็ นวิชาทีก ่ ล่าวถึงรูปร่าง และ โครงสร ้าง (form and structure) ของ สงิ่ มีชวี ต ิ คาว่า กายวิภาค หรือ Anatomy แยก ั ท์ได ้เป็ น Ana = up ออกตามรากศพ แปลว่าเพิม ่ และ Tomy หรือ Tome = cutting แปลว่าการตัด Anatomy จึงแปลว่า การตัดอีก ซงึ่ หมายถึงการชาแหละ หรือ ตัดออกเป็ น ึ ษาถึงรูปร่างหรือโครงสร ้าง สว่ น ๆ เพือ ่ ศก ของอวัยวะ ประโยชน์ของวิชากายวิภาคศาสตร์ ื่ อวัยวะต่าง ๆ 1.เพือ ่ สามารถเรียกชอ ั ท์เทคนิคซงึ่ ทั่วโลกยอมรับ เพือ ตามศพ ่ ื่ ความหมายได ้เข ้าใจกัน สามารถสอ 2.เพือ ่ รู ้ตาแหน่งทีต ่ งั ้ ของอวัยวะ ต่าง ๆ ในร่างกาย 3.เพือ ่ รู ้ถึงรูปร่าง ลักษณะ และ องค์ประกอบของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย 4.เป็ นพืน ้ ฐานของวิชาสรีรวิทยา (Physiology) 5.เป็ นพืน ้ ฐานของวิชาอายุรศาสตร์ (Medicine) ั ยศาสตร์ 6.เป็ นพืน ้ ฐานของวิชาศล (Surgery) 7.เป็ นพืน ้ ฐานของวิชาสูตศ ิ าสตร์เธนุเวช ื พันธุ์ (Obsteric วิทยาและวิทยาการสบ theriology and Gynecology) 8.เป็ นพืน ้ ฐานของวิชาพยาธิวท ิ ยา (Pathology) ื พ ันธุโ์ คเพศเมีย ระบบสบ ประกอบด ้วยสว่ นต่าง ๆ คือ ่ งคลอด (Vulva) 1.ปากชอ ่ งคลอด(Vestibule) 2.กระพุ ้งชอ ่ งคลอด (Vagina) 3.ชอ 4.มดลูก (Uterus) 5.ท่อนาไข่ (Oviduct) 6.รังไข่ (Ovary) ่ งคลอด (Vulva) 1.ปากชอ ื พันธุ์ ซงึ่ เป็ นอวัยวะสบ สามารถมองเห็นได ้จาก ภายนอกตัวโค ประกอบด ้วยแคม (labia) ซงึ่ มีลก ั ษณะเป็ น กลีบใหญ่ ๆ 2 กลีบประกบ กัน ื่ ม กลีบทัง้ สองจะเชอ กันทางด ้านบนและล่าง กลีบใหญ่ 2 กลีบ ทีป ่ ระกบกัน ชาวบ ้าน ื่ ว่า เรียกว่าจิม ๋ มีชอ เรียกว่าเลเบียร์ เมเจอ รา(Labia majora) ในโคเพศเมียทีโ่ ต เต็มทีก ่ ลีบนี้ จะยาว ประมาณ 10 ็ ติเมตร เซน ในชว่ งเวลาทีโ่ ค ั แสดงอาการเป็ นสด กลีบจะบวมแดงจนเห็น ั ได ้ชด ถ่างกลีบใหญ่ 2 กลีบทีป ่ ระกบกันจะ พบว่ามีกลีบเล็กอีก 2 กลีบอยูด ่ ้านใน เรียกกลีบเล็กนีว้ า่ เรียกว่าเลเบียร์ ไม นอรา(Labia minora) ่ งคลอด(Vulva) ปากชอ จะเป็ นทางผ่านของอวัยวะเพศผู ้ ในขณะผสมพันธุ์ และเป็ นทางออกของน้ า ปั สสาวะ ่ งคลอด (Vestibule) 2.กระพุ ้งชอ เป็ นสว่ นทีถ ่ ด ั ่ ง เข ้าไปจากปากชอ คลอด โคสาวบางตัว มี แผ่นบาง ๆ ปิ ดอยู่ เรียกแผ่นบาง ๆ ทีม ่ าปิ ดว่า เยือ ่ พรหมจารีย ์ (Hymen) ่ ง กระพุ ้งชอ คลอด (Vestibule) ั้ ๆ จะเป็ นสว่ นสน ความยาวเพียง ็ ติเมตร 2-5 เซน ปลายด ้านใน ของสว่ นทีเ่ ป็ นกระพุ ้ง ่ งคลอด จะต่อกับชอ (Vagina) ่ ง บริเวณทีเ่ ป็ นรอยต่อระหว่างกระพุ ้งชอ ่ งคลอด (Vagina) คลอด (Vestibule) และชอ จะมีรเู ปิ ดของท่อปั สสาวะมาเปิ ด ่ งคลอด (Vestibule) มีตอ กระพุ ้งชอ ่ ม ผลิตน้ าเมือกจานวนมาก ทาหน ้าทีผ ่ ลิตน้ า เมือกลักษณะเหนียวใส โดยจะหลัง่ ออกมา ั ในขณะทีโ่ คแสดงอาการเป็ นสด ่ งคลอด มีปม มุมด ้านล่างของกระพุ ้งชอ ุ่ ั (Clitoris) เป็ นสว่ นทีม ้ กระสน ่ เี สนประสาท ั ผัส มาหล่อเลีย ้ งมากทาให ้ไวต่อการสม ่ งคลอด (Vagina) 3.ชอ มีลก ั ษณะเป็ นท่อ ็ ติเมตร ยาวประมาณ 20-30 เซน ผนังบางมีลก ั ษณะเป็ นหลืบ (Fold) ยืดหยุน ่ ได ้ดี ่ งคลอดมีตอ ชอ ่ มสร ้างน้ าเมือกเป็ น จานวนมาก ต่อมสร ้างเมือก จะสร ้างเมือกทีใ่ ส เพือ ่ ่ งคลอดและขับสงิ่ แปลกปลอม ทีผ ล ้างชอ ่ า่ น เข ้าไปให ้หลุดออกมา เมือกจะถูกขับออกมามากในขณะทีโ่ ค ั เชน ่ เดียวกับต่อมใน แสดงอาการเป็ นสด ่ งคลอด กระพุ ้งชอ ่ งคลอดมีหน ้าที่ ชอ รองรับอวัยวะเพศของเพศผู ้(Penis) ขณะผสมพันธุ์ เป็ นทางออกของลูกและรกใน กระบวนการคลอด 4.มดลูก (Uterus) มดลูกของโค แบ่งได ้เป็ น 3 สว่ น คือ 1.คอมดลูก หรือปากมดลูก(Cervix) 2. ตัวมดลูก (Body of uterus) 3.ปี กมดลูก (Horn of uterus) มี 2 ข ้าง ้ ซาย-ขวา คอมดลูก (Cervix) อาจเรียกว่าปากมดลูก มีลก ั ษณะเป็ นท่อ ประกอบด ้วยกล ้ามเนือ ้ ทีแ ่ ข็งแรง คอมดลูกจะอยู่ ระหว่างตัวมดลูก (Body of uterus) กับ ่ งคลอด (Vagina) ชอ คอมดลูก (Cervix) ยาวประมาณ ็ ติเมตร 5 – 10 เซน ้ าศูนย์กลาง เสนผ่ สว่ นทีต ่ ด ิ กับตัว มดลูก จะ ประมาณ 1.5 - 7 ็ ติเมตร เซน ยาว คอมดลูกจะมีรเู ล็ก ๆ ผ่านตลอดความ รูเปิ ดเล็ก ๆ นี้ ถูกล ้อมรอบด ้วยสว่ นของ เนือ ้ เยือ ่ ซงึ่ พับไปพับมา(Annular Rings) และเป็ นกล ้ามเนือ ้ ทีห ่ นา เนือ ้ เยือ ่ ซงึ่ พับไปพับมาถ ้าอยูท ่ ป ี่ ลาย ่ งคลอด เรียกว่า ด ้านนอกสว่ นทีต ่ ด ิ กับชอ External os ถ ้าอยูท ่ ป ี่ ลายด ้านในสว่ นทีต ่ ด ิ กับตัว มดลูก เรียกว่า Internal os คอมดลูกจะมีตอ ่ มสร ้างน้ าเมือกซงึ่ จะขับ ั ออกมาในขณะทีโ่ คแสดงอาการเป็ นสด ในขณะทีแ ่ ม่โคตัง้ ท ้องน้ าเมือกทีค ่ อ มดลูกจะจับกันเป็ นก ้อนแข็ง (Mucus plug) อุดแน่น ป้ องกันไม่ให ้สงิ่ แปลกปลอมต่าง ๆ เข ้าไปทาอันตรายต่อลูกอ่อนในมดลูก ตาแหน่งของคอมดลูก ปกติจะพาดอยูบ ่ นกระดูกเชงิ กราน แต่ถ ้ามีการตัง้ ท ้อง หรือเกิดมีการ ผิดปกติขน ึ้ คอมดลูกอาจเลือ ่ นไปอยูท ่ ข ี่ อบ ่ งท ้อง กระดูกเชงิ กรานหรืออยูใ่ นชอ ตัวมดลูก(Body of uterus) จะอยูต ่ อ ่ จากคอ มดลูก(Cervix) ตัวมดลูกยาว ประมาณ 2.5-3 ็ ติเมตร เซน ้ าศูนย์กลาง เสนผ่ ประมาณ 3-4 ็ ติเมตร เซน ผนังบาง ้ ปลายของตัวมดลูก จะถูกแบ่งเป็ นซาย และขวา และเป็ นท่อยาวออกไปทัง้ 2 ข ้าง ื่ มต่อเป็ นปี กมดลูก ซงึ่ จะไปเชอ ตัวมดลูกจะมีตอ ่ มซงึ่ สร ้างน้ าเมือกซงึ่ จะ ั ขับออกมาในขณะทีโ่ คแสดงอาการเป็ นสด ปี กมดลูก(Horn of uterus) ปี กมดลูกจะเป็ น สว่ นทีต ่ อ ่ มาจากตัว มดลูก ้ มี 2 ข ้าง ซาย และขวา ปี กมดลูกแต่ละ ข ้างยาวประมาณ 30 ็ ติเมตร เซน ้ บริเวณตรงกลางระหว่างปี กซายและขวา จะมีเอ็นเรียกว่าเอ็นระหว่างปี กมดลูก ( Intercornual ligament) ยึดอยู่ เอ็นระหว่างปี กมดลูก (Intercornual ligament) มี 2 เสน้ ด ้านบนและด ้านล่าง เอ็นด ้านบนเรียกว่าเอ็นระหว่างปี กมดลูก ด ้านบน(Dorsal intercornusl ligament) ด ้านล่าง เรียกว่าเอ็นระหว่างปี กมดลูก ด ้านล่าง (Ventral intercornual ligament) ั ปี กมดลูก ขณะทีโ่ คแสดงอาการเป็ นสด จะแข็ง ยืดหยุน ่ และจะม ้วนขดเข ้าคล ้ายเขา ของแกะ ั ปี กมดลูกจะ โคยังไม่แสดงอาการเป็ นสด นิม ่ เหลวและยืดยาวออก ขณะทีแ ่ ม่โคตัง้ ท ้องปี กมดลูกทัง้ 2 ข ้าง จะนิม ่ เหลว ปี กมดลูกข ้างทีต ่ งั ้ ท ้องจะมีขนาดใหญ่ กว่าข ้างทีไ่ ม่ตงั ้ ท ้อง ผนังของตัวมดลูก และปี กมดลูก จะเป็ น กล ้ามเนือ ้ เรียบ (smooth muscle) ด ้านในของตัวมดลูก และปี กมดลูกมีลก ั ษณะ ั ้ ของ เป็ นโพรง บุด ้วยชน เนือ ้ เยือ ่ ทีเ่ รียกว่า เยือ ่ บุ ด ้านในมดลูก (Endometrium) เยือ ่ บุด ้านในมดลูก(Endometrium) จะ มีลก ั ษณะเปราะบางและง่ายต่อการฉีกขาด หรือบาดเจ็บ หน ้าทีข ่ องมดลูก เป็ นทีฝ ่ ั งตัวของตัวอ่อน เป็ นทีเ่ ลีย ้ งดูตวั อ่อนและ ลูกอ่อน เป็ นจุดสร ้างรกในขณะที่ แม่โคตัง้ ท ้อง สร ้างฮอร์โมนเพือ ่ ให ้เกิดวงรอบการ ั คือ พร็อสตาแกรนดินเอฟทูอล เป็ นสด ั ฟ่ า (PGF2) ขณะมีการผสมพันธุม ์ ดลูกชว่ ยบีบตัว และสร ้างน้ าเมือกเพือ ่ ชว่ ยให ้อสุจเิ คลือ ่ น มาผสมกับไข่บริเวณท่อนาไข่ เมือ ่ ครบกาหนดการคลอด มดลูกจะบีบ ตัวเพือ ่ ขับลูกออกมาทีเ่ รียกว่า การคลอด 5.ท่อนาไข่ (Oviduct) เป็ นท่อเล็ก ๆ ยาวประมาณ 20็ ติเมตร 25 เซน ้ าศูนย์กลาง เสนผ่ ประมาณ 2 มิลลิเมตร ท่อนาไข่ม ี 2 ข ้าง ต่อจากปี กมดลูกแต่ละ ข ้าง ลักษณะค่อนข ้าง คดเคีย ้ ว และโค ้งงอ เยือ ่ บุด ้านใน เปราะบาง ง่ายต่อการ ฉีกขาด เยือ ่ บุด ้านในของท่อ นาไข่ประกอบด ้วยต่อมซงึ่ หลัง่ ของเหลวทีค ่ อ ่ นข ้าง เป็ นน้ า ไม่เหนียวข ้น เหมือนต่อมในมดลูกหรือ คอมดลูก รอยต่อระหว่างปี ก มดลูกและท่อนาไข่ จะมี ลักษณะคล ้าย ๆ ลิน ้ เปิ ดปิ ดได ้ ลิน ้ นีจ ้ ะยอมให ้ ของเหลว หรืออสุจ ิ หรือไข่ผา่ นได ้เมือ ่ ถึง เวลาทีเ่ หมาะสมคือ ั เวลาทีโ่ คเป็ นสด เท่านัน ้ สว่ นเวลาอืน ่ ๆ จะไม่ยอมให ้ของเหลว ใด ๆ จะผ่านได ้เลย ดังนัน ้ กรณีทอ ่ นาไข่ ื้ จึง อักเสบติดเชอ เป็ นการยากจะนา สารใด ๆ เข ้าไปล ้าง หรือรักษาท่อนาไข่ ท่อนาไข่แบ่งได ้เป็ น สว่ น 3 สว่ นทีต ่ อ ่ กับปี กมดลูก (Isthmus) จะเป็ นสว่ นที่ มีขนาดเล็กทีส ่ ด ุ จากนัน ้ สว่ นของท่อนา ไข่จะขยายขนาดเป็ น กระเปาะใหญ่ขน ึ้ (Ampulla) ปลายสุดของท่อ นาไข่ (Infundibulum) ลักษณะคล ้ายปากแตร หรือกรวย(Fimbria) เพือ ่ เป็ นทีร่ องรับไข่ ซงึ่ จะตกลงมาจากรัง ไข่ ภายในท่อนาไข่ จะมีขนเล็ก ๆ (Cilia) ่ อ ชว่ ยโบกพัดให ้ไข่ทต ี่ กลงมาสูท ่ นาไข่ หรือ ตัวอ่อน เคลือ ่ นทีไ่ ปยังปี กมดลูก ท่อนาไข่ยังสร ้างสารเพือ ่ เร่งการเจริญ ให ้กับไข่และตัวอ่อนอีกด ้วย 6.รังไข่ (Ovary) ้ มีอยู่ 2 ข ้าง ซายขวา รูปร่างและขนาดจะแตกต่างกันไปในโค แต่ละตัว โคบางตัวรังไข่รป ู ร่างกลม บางตัวรังไข่ รูปร่างรี บางตัวรังไข่ลบ ี แบน บางตัวรังไข่ม ี ขนาดใหญ่ บางตัวรังไข่มข ี นาดเล็ก โดยทั่วไป รูปร่างของรังไข่มักจะค่อนข ้างกลมรี ็ ติเมตร ขนาดกว ้างประมาณ 2 เซน ็ ติเมตร ยาวประมาณ 3 เซน ็ ติเมตร หนาประมาณ 1 เซน ั จะ รังไข่ในแต่ละชว่ งของรอบการเป็ นสด มีสว่ นทีเ่ ด่นขึน ้ มาแตกต่างกัน บางชว่ งมีฟอลลิเคิล(follicle) ซงึ่ มี ลักษณะเป็ นถุงน้ านิม ่ ๆ เด่นขึน ้ มาจากผิวรังไข่ บางชว่ งมีก ้อนเนือ ้ เหลือง(Corpus luteum) ซงึ่ มีลก ั ษณะเป็ นก ้อนเนือ ้ แข็ง ๆ มีส ี เหลืองแดงงอกเด่นขึน ้ มาจากผิวรังไข่ หากตัดรังไข่ออกมาดู จะ พบว่า บนผิวของรังไข่ มีฟอลลิ เคิล(follicle) เป็ นจานวนมาก ฟอลลิเคิล จะมีขนาดเล็ก บ ้างใหญ่บ ้าง ภายในฟอลลิเคิล (follicle) ทุก ๆ ฟอลลิเคิล (follicle) จะมีไข่ออ ่ น(Oocyte) อยูภ ่ ายใน ฟอลลิเคิลขนาดเล็กทีส ่ ด ุ เรียกว่าไพรมอ เดียล ฟอลลิเคิล(Primordial follicle) ้ าศูนย์กลาง 30-50 ไมครอน(µm) เสนผ่ ฟอลลิเคิลขนาดใหญ่ขน ึ้ มาอีกหน่อย เรียกว่า ไพรแมรี ฟอลลิเคิล(Primary follicle) ้ าศูนย์กลางประมาณ 40-60 เสนผ่ ไมครอน(µm) ไข่ออ ่ น(Oocyte) ภายในจะมีขนาด ประมาณ 30-40 ไมครอน(µm) ฟอลลิเคิลขนาดใหญ่ขน ึ้ มาอีกหน่อย เรียกว่า เซกันดารี ฟอลลิเคิล(Secondary follicle) ้ าศูนย์กลางประมาณ 150-250 เสนผ่ ไมครอน(µm) ไข่ออ ่ น(Oocyte) ภายในจะมีขนาด ประมาณ 60-100 ไมครอน(µm) ฟอลลิเคิลขนาดใหญ่ขน ึ้ มาอีกหน่อย เรียกว่าโกอิง้ ฟอลลิเคิล หรือดีเวลลอปปิ้ ง ฟอลลิเคิล(Growing follicle หรือ developing follicle) ่ งว่างทีม เป็ นฟอลลิเคิลมีชอ ่ ข ี องเหลวอยู่ ภายใน ้ าศูนย์กลาง 0.25-3.67 มิลลิเมตร เสนผ่ ไข่ออ ่ น(Oocyte) ภายในจะมีขนาดประมาณ 110-126 ไมครอน(µm) สว่ นฟอลลิเคิลขนาดใหญ่พร ้อมจะแตก เกิดการตกไข่ เรียกว่าเมททัว ฟออลิเคิล หรือ กราเฟี ยน ฟอลลิเคิล(Mature follicle หรือ Graafian follicle) ้ าศูนย์กลางของฟอลลิเคิลจะ เสนผ่ ประมาณ 3.67-8.5 มิลลิเมตร ไข่ออ ่ น(Oocyte) ภายในจะมีขนาด ประมาณ 135 ไมครอน(µm) ไพรมอเดียล ฟอลลิเคิล(Primordial follicle) ไพรแมรี ฟอลลิเคิล(Primary follicle) เซกันดารี ฟอลลิเคิล(Secondary follicle) โกอิง้ ฟอลลิเคิล (Growing follicle) เมททัว ฟออลิเคิล หรือ กราเฟี ยน ฟอลลิเคิล (Mature follicle หรือ Graafian follicle) ตัง้ แต่ลก ู โคเกิดขึน ้ มา จะมีไพรมอเดียล ฟอลลิเคิล(Primordial follicle) ประมาณ 150,000 ใบ และจะค่อย ๆ ฝ่ อสลายไป เมือ ่ ลูกโคมีอายุมากขึน ้ เมือ ่ ลูกโคเจริญเติบโตจนถึงวัยเจริญพันธุ์ ั (estrus cycle) จะเกิดวงรอบของการเป็ นสด ั จะใชเวลา ้ ในแต่ละรอบของการเป็ นสด ต่อรอบโดยเฉลีย ่ ประมาณ 21 วัน ั จะมีฟอล ในแต่ละวงรอบของการเป็ นสด ลิเคิล(follicle) หลาย ๆ ใบ เจริญขึน ้ ฟอลลิเคิลสว่ นใหญ่ จะเจริญขึน ้ และ สลายไป จะมีเพียง 1-2 ใบเท่านัน ้ ทีเ่ จริญจนถึง ระยะทีเ่ ป็ นเมททัว ฟออลิเคิล หรือ กราเฟี ยน ฟอลลิเคิล(Mature follicle หรือ Graafian follicle) จนเกิดการตกไข่ (ovulation) ฟอลลิเคิล(follicle) ทีเ่ จริญจนพร ้อมทีจ ่ ะ มีการตกไข่(ovulation) ้ าศูนย์กลาง ประมาณ 1จะมีขนาดเสนผ่ ็ ติเมตร 1.6 เซน ั การตกไข่ จะเกิดขึน ้ หลังจากโคเป็ นสด ยืนนิง่ ให ้ตัวอืน ่ ปี นทับประมาณ 30 ชวั่ โมง หลังการตกไข่ บริเวณทีเ่ คยเป็ นฟอลลิ เคิลจะเป็ นแอ่งลึกลงไปจากผิวของรังไข่ ั่ เรียกแอ่งทีล ่ ก ึ ลงไปนีว้ า่ โอวาเรียน ดีเพรสชน (Ovarian depression หรือ OVD) เนือ ้ เยือ ่ หรือเซลบริเวณแอ่งทีล ่ ก ึ ลงไป ไปนี้ จะมีการแบ่งตัวต่อไป โดยเนือ ้ เยือ ่ หรือเซลจะเจริญขึน ้ จนเต็ม แอ่งทีเ่ กิดการตกไข่พร ้อมทัง้ นูนขึน ้ มาบนเนือ ้ รังไข่ เนือ ้ เยือ ่ นี้ จะแข็งและมีขนาดใหญ่ขน ึ้ เรือ ่ ยๆ มีสเี หลืองปนแดงเรียกว่า ก ้อนเนือ ้ เหลือง (Corpus luteum หรือ CL) ก ้อนเนือ ้ เหลืองเริม ่ แรกจะมีขนาดเล็ก และจะมีขนาดใหญ่ทส ี่ ด ุ ประมาณชว่ งกลาง ั หลังจากนัน ของรอบการเป็ นสด ้ จะเล็กลง การเจริญของก ้อนเนือ ้ เหลืองจะเจริญทัง้ นูนขึน ้ มาจากผิวรังไข่ และฝั งลงไปในเนือ ้ รัง ไข่ ซงึ่ สว่ นใหญ่จะฝั งลงไปในเนือ ้ รังไข่ จะ โผล่ออกมาจากผิวรังไข่ขน ึ้ มาก็เพียงเล็กน ้อย ก ้อนเนือ ้ เหลือง(Corpus luteum) ื่ ว่าโปรเจส จะทาหน ้าทีส ่ ร ้างฮอร์โมน ชอ เตอร์โรน(Progesterone) ก ้อนเนือ ้ เหลืองจะมีขนาดใหญ่ทส ี่ ด ุ ั ประมาณชว่ งกลางของรอบการเป็ นสด หากแม่โคผสมไม่ตด ิ ก ้อนเนือ ้ เหลืองจะ ค่อย ๆ ฝ่ อลงจนสลายไป(Corpus albican) เพือ ่ เกิดการตกไข่รอบต่อไป หากผสมติด และตัวอ่อนมีการฝั่ งตัวที่ ปี กมดลูก ก ้อนเนือ ้ เหลือง(Corpus luteum) ก็จะคงอยูต ่ อ ่ ไป ตลอดการตัง้ ท ้องเพือ ่ สร ้าง ื่ โปรเจสเตอร์โรน(Progesterone) ฮอร์โมนชอ เพือ ่ ควบคุมการตัง้ ท ้อง