บทที่ 3 เทคโนโลยี การสื่อสารข้อมูล เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ? ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หมายถึง การนา เครื่องคอมพิวเตอร์รวมถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น สวิตช์ เร้าท์เตอร์ เครื่องพิมพ์ มาเชื่อมโยงเป็นระบบ เครือข่าย โดยมีตัวกลางในการนาพาสัญญาณ เพื่อให้ สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ ทาให้เกิดประโยชน์ใน การใช้งานด้านต่างๆ.

Download Report

Transcript บทที่ 3 เทคโนโลยี การสื่อสารข้อมูล เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ? ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หมายถึง การนา เครื่องคอมพิวเตอร์รวมถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น สวิตช์ เร้าท์เตอร์ เครื่องพิมพ์ มาเชื่อมโยงเป็นระบบ เครือข่าย โดยมีตัวกลางในการนาพาสัญญาณ เพื่อให้ สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ ทาให้เกิดประโยชน์ใน การใช้งานด้านต่างๆ.

Slide 1

บทที่ 3
เทคโนโลยี
การสื่อสารข้อมูล


Slide 2

เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ?
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หมายถึง การนา
เครื่องคอมพิวเตอร์รวมถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น สวิตช์
เร้าท์เตอร์ เครื่องพิมพ์ มาเชื่อมโยงเป็นระบบ
เครือข่าย โดยมีตัวกลางในการนาพาสัญญาณ เพื่อให้
สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ ทาให้เกิดประโยชน์ใน
การใช้งานด้านต่างๆ


Slide 3

เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ?

ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หมายถึง ระบบที่มี
คอมพิวเตอร์อย่างน้อยสองเครื่องเชื่อมต่อกันโดยใช้
สื่ อ กลาง และสามารถสื่ อ สารข้ อ มู ล กั น ได้ อ ย่ า งมี
ประสิทธิภาพ


Slide 4

เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ?
สรุปได้ว่า ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หมายถึง
การติดต่อสื่อสารหรือการเชื่อมต่อกันระหว่าง
ระบบคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้น ผ่านสื่อกลางใน
การติดต่อสื่อสารหรือการเชื่อมต่อ ได้ทั้งสื่อกลางแบบ
มีสายหรือสื่อกลางแบบไม่มีสายก็ได้ อาทิเช่น สาย
เคเบิล หรือผ่านคลื่นวิทยุ โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อ
แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารหรือใช้ในการติดต่อสื่อสาร
ซึ่งกันและกัน


Slide 5

องค์ประกอบ


Slide 6

องค์ประกอบ
1. ข้อมูล (Data) คือสิ่งที่เราต้องการส่งไปยังปลายทาง เช่น ข่าวสาร
หรือสารสนเทศ อาจเป็นข้อความ ภาพ วิดีโอ หรือสื่อประสม
2. ฝ่ายส่งข้อมูล (Sender) คือ แหล่งกาเนิดข่าวสาร (Source) หรือ
อุปกรณ์ที่นามาใช้สาหรับส่งข่าวสาร เช่น คอมพิวเตอร์ เร้าท์เตอร์
3. ฝ่ายรับข้อมูล (Receiver) คือ จุดหมายปลายทางของข่าวสาร
(Destination) หรืออุปกรณ์ที่นามาใช้สาหรับรับข่าวสารที่ส่งมาจาก
ฝ่ายส่งข้อมูล เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ วิทยุ โทรทัศน์ เร้าท์เตอร์
4. สื่อกลางส่งข้อมูล (Media) คือ ช่องทางการติดต่อสื่อสารที่จะนาเอา
ข้อมูลข่าวสารจากฝ่ายส่งข้อมูลไปยังฝ่ายรับข้อมูล
5. โพรโตคอล (Protocol) คือ มาตรฐานหรือข้อตกลงที่จะใช้ในการ
ติดต่อสื่อสารร่วมกันระหว่างฝ่ายผู้ส่งกับฝ่ายผู้รับ


Slide 7

อุปกรณ์พื้นฐานที่ต้องมี
 คอมพิวเตอร์ที่อยู่ในระบบเครือข่าย
 เน็ตเวิร์คการ์ด

หรือ NIC (Network Interface

Card)
 สื่อกลางและอุปกรณ์สาหรับการรับส่งข้อมูล
(Physical Media) – Twist pair , Coaxial , Fiber
optic, Wireless
 โปรโตคอล (Protocol) – TCP/IP
 ระบบปฏิบัติเครือข่ายหรือ NOS (Network
Operating System)


Slide 8

ประโยชน์
 การใช้ทรัพยากรร่วมกันได้
 ช่วยลดต้นทุนด้านงบประมาณรายจ่ายลง
 ความสะดวกในด้านการสื่อสาร
 สร้างความปลอดภัยให้แก่ระบบ


Slide 9

รูปแบบการสื่อสารข้อมูล
1. การสื่อสารแบบ Unicast
เป็นโหมดการรับส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์หนึ่งไป
ยั ง อี ก เครื่ อ งหนึ่ ง ในระบบเครื อ ข่ า ยในลั ก ษณะ 1 ต่ อ 1
หรือเรียกว่า One-to-One
การสื่อสารแบบ Unicast เป็นการส่งข้อมูลระหว่าง
คอมพิ ว เตอร์ แ บบง่ า ยๆ แต่ จ ะมี ปั ญ หาถ้ า จ านวน
คอมพิวเตอร์ในการรับส่งเพิ่มมากเกินไป จะส่งผลทาให้
เกิดปัญหาการส่งข้อมูลในเครือข่ายมากเกินไป (Network
Load)


Slide 10

รูปแบบการสื่อสารข้อมูล
2. การสื่อสารแบบ Broadcast
เป็นการส่งข้อมูลจากคอมพิ วเตอร์ต้น ทางหนึ่งเครื่องไปยัง
เครื่องปลายทางหลายเครื่อง ซึ่งเป็นแบบ 1 ต่อ ทั้งหมด หรือเรียกว่า
One-to-All
การแพร่ ข้ อ มู ล แบบส่ ง ไปยั ง เครื่ อ งทุ ก เครื่ อ งนั้ น ต้ อ งมี ก าร
ประมวลผลข้อมูลที่เครื่องปลายทาง เครื่องที่ไม่ต้องการรับข้อมูลก็
จะได้รับข้อมูล ไปด้วยแต่ต้องทิ้งข้อมูล ที่ได้รับ มา เป็นการสูญเสี ย
ความสามารถในการประมวลผลไป ทั้งยังทาให้มีปริมาณข้อมูลใน
เครือข่ายจานวนมากโดยเปล่าประโยชน์ และสามารถเกิดเป็นปัญหา
พายุข้อมูล (Broadcast storm)


Slide 11

รูปแบบการสื่อสารข้อมูล
3. การสื่อสารแบบ Multicast
เป็นการส่งข้อมูลจากเครื่องต้นทางหนึ่งไปยังกลุ่ม
ของเครื่องปลายทางเฉพาะกลุ่มที่มีการกาหนดแบบ 1 ต่อ
กลุ่มเฉพาะ หรือ One-to-N ซึ่ง N ในที่นี้อยู่ตั้งแต่ 1 ถึง
ทั้งหมด การส่งข้อมูลจะส่งไปยังเฉพาะกลุ่มที่ต้องการรับ
ข้อมูลเท่านั้น


Slide 12

ทิศทางของการสื่อสาร
1. การสื่อสารแบบซิมเพล็กซ์
2. การสื่อสารแบบฮาล์ฟดูเพล็กซ์
3. การสื่อสารแบบฟูลดูเพล็กซ์


Slide 13

ทิศทางของการสื่อสาร
1. การสื่อสารแบบซิมเพล็กซ์
การสื่อสารแบบซิมเพล็กซ์ (Simplex) หรือการสื่อสารแบบ
ทางเดียวเป็นการสื่อสารที่มีลั กษณะผู้ ส่งทาหน้าที่ส่งสารอย่าง
เดี ย ว และผู้ รั บ ก็ จ ะมี ห น้ า ที่ รั บ สารอย่ า งเดี ย ว โดยที่ ผู้ รั บ ไม่
สามารถส่งข่าวสารกลับไปยังผู้ส่งได้ จะคล้ายกับการที่เรานั่งฟัง
วิทยุ หรือดูโทรทัศน์ เราจะเป็นผู้รับอย่างเดียวไม่สามารถเป็นผู้ส่ง
ได้ เช่น คีย์บอร์ดและจอภาพแบบทัชสกรีน


Slide 14

ทิศทางของการสื่อสาร
2. การสื่อสารแบบฮาล์ฟดูเพล็กซ์

การสื่อสารแบบฮาล์ฟดูเพล็กซ์ (Half-Duplex) หรือการ
สื่ อ สารแบบทางใดทางหนึ่ ง ที่ ผู้ รั บ และผู้ ส่ ง สามารถส่ ง ข่ า วสาร
ระหว่างกันได้ แต่ต้องเป็นคนละเวลา คือหากผู้ส่งส่งข้อมูลไปหา
ผู้รับ ระหว่างนั้นผู้รับจะไม่สามารถส่งข้อมูลไปหาผู้ส่งได้ต้องรอจน
ว่าผู้ส่งจะส่งเสร็จจึงสามารถส่งข้อมูลข่าวสารได้ เช่น การใช้วิทยุ
สื่ อสารของต ารวจ การสื่ อ สารในรู ป แบบนี้ ต้ องอาศัย การ สลั บ
สวิตซ์ เพื่อแสดง การเป็นผู้ส่งสัญญาณคือต้องผลัดกันพูด และจะ
ไม่สามารถส่งข้อมูลพร้อมกันได้


Slide 15

ทิศทางของการสื่อสาร
3. การสื่อสารแบบฟูลดูเพล็กซ์

การสื่อสารแบบฟูลดูเพล็กซ์ (Full-Duplex) หรือการสื่อสาร
แบบสองทิศทาง เป็นการสื่อสารที่ทั้งผูร้ ับและผูส้ ่ง สามารถส่งข้อมูล
ข่ า วสารถึ ง กั น ได้ ใ นระยะเวลาหนึ่ ง ได้ พ ร้ อ มกั น หรื อ การ
ติดต่อสื่อสารกันได้ตลอดทั้งผู้ส่งและผู้รับในเวลาเดียวกัน เช่น การ
ใช้โทรศัพท์


Slide 16

ประเภทของเครือข่าย
1. แบ่งตามขนาดพื้นที่ให้บริการ
2. แบ่งตามลักษณะการไหลของข้อมูล
3. แบ่งตามลักษณะหน้าที่การทางานของคอมพิวเตอร์


Slide 17

ประเภทของเครือข่าย
 แบ่งตามขนาดพื้นที่ให้บริการ

(LAN , MAN , WAN)


Slide 18

ประเภทของเครือข่าย
 แบ่งตามลักษณะการไหลของข้อมูล

เครือข่ายแบบรวมศูนย์ (Centralized Network)


Slide 19

ประเภทของเครือข่าย
 แบ่งตามลักษณะการไหลของข้อมูล

เครือข่ายแบบกระจาย (Distributed Network)


Slide 20

ประเภทของเครือข่าย
 แบ่งตามลักษณะหน้าที่การทางานของคอมพิวเตอร์

ระบบเครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์
(Peer to Peer) หรือ
(Workgroup)

ระบบเครือข่ายแบบไคลเอนท์
เซิร์ฟเวอร์ (Client Server
Network)


Slide 21


Slide 22

มาตรฐานระบบเครือข่าย
1. มาตรฐานเครือข่ายท้องถิ่น
(Local Area Network: LAN)
2. มาตรฐานระบบเครือข่ายระดับประเทศ
(Wide Area Network: WAN)


Slide 23

มาตรฐานระบบเครือข่าย
1. มาตรฐานเครือข่ายท้องถิ่น (LAN)
ที่เป็นที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน โดยทั่วไปมี 3 แบบ คือ
1.1 Ethernet
พัฒนาขึ้นโดยบริษัท Xerox ถือเป็นมาตรฐานของระบบ
เครื อ ข่า ยท้ อ งถิ่ น ที่ ได้ รั บ ความนิ ยมมากที่สุ ด ในปั จ จุ บั น ระบบ
เครือข่ายท้องถิ่น จะใช้มาตรฐาน IEEE 802.3 เช่น Ethernet
(10 Mbps), Fast Ethernet (100 Mbps), Gigabit Ether
(1000 Mbps) โดยที่ Ethernet จะใช้เทคนิคการส่งข้อมูลแบบ
CSMA/CD (Carrier Sense Multiple Access/Collision
Detection) กล่าวคือถ้าเกิดส่งข้อมูลพร้อมกันและสัญญาณชน
กัน จะต้องส่งข้อมูลใหม่


Slide 24

มาตรฐานระบบเครือข่าย

1. มาตรฐานเครือข่ายท้องถิ่น (LAN)
ที่เป็นที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน โดยทั่วไปมี 3 แบบ คือ
1.2 Token-Ring
พัฒนาขึ้นโดยบริษัท IBM จะใช้ Access Method แบบ
Token Passing ในการเชื่อมต่อสามารถใช่ได้ทั้งสาย Coaxial,
UTP, STP หรือสายใยแก้วนาแสง (Fiber optic) ระบบ
เครื อ ข่ า ยแบบนี้ มี ค วามคงทนต่ อ ความผิ ด พลาดสู ง (Faulttolerant) ความเร็วในการรับส่งข้อมูลจะอยู่ที่ 4-16 Mbps จะ
ใช้มาตรฐาน IEEE 802.5


Slide 25

มาตรฐานระบบเครือข่าย
1. มาตรฐานเครือข่ายท้องถิ่น (LAN)
ที่เป็นที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน โดยทั่วไปมี 3 แบบ คือ
1.3 FDDI (Fiber Distributed Data Interface)
เป็ น มาตรฐานเครื อ ข่ า ยความเร็ ว สู ง ที่ ท างานอยู่ ใ นชั้ น
Physical ส่วนใหญ่นาไปใช้เชื่อมต่อเป็น Backbone (เป็น
สายสัญญาณหลักเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายท้องถิ่นเข้าด้วยกัน
ใช้ Access Method แบบ Token-passing และใช้ Topology
แบบวงแหวนคู่ (Dual Ring) ซึ่งช่วยทาให้ทนต่อข้อบกพร่อง
(Fault tolerance) ของระบบเครือข่ายได้ดีขึ้น ทางานอยู่ที่
ความเร็ว 100 Mbps


Slide 26

มาตรฐานระบบเครือข่าย
2. มาตรฐานระบบเครือข่ายระดับประเทศ ( WAN)
ที่เป็นที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน โดยทั่วไปมี 3 แบบ คือ
2.1 X.25
เป็นโปรโตคอลมาตรฐานของเครือข่ายแบบเก่า ได้รับการ
ออกแบบโดย CCITT ประมาณ ค.ศ. 1970 เพื่อใช้เป็นส่วน
ติ ด ต่ อ ระหว่ า งระบบเครื อ ข่ า ยสาธารณะแบบแพ็ ก เกตสวิ ต ช์
(Packet Switching) กับผู้ใช้ระบบ x.25 เป็นการสื่อสาร
แบบต่อเนื่อง (Connection-oriented) ที่สนับสนุนการเชือ่ มต่อ
วงจรสื่อสารแบบ Switching Virtual Circuit (SVC) และ
Permanent Virtual Circuit (PVC)


Slide 27

มาตรฐานระบบเครือข่าย
2. มาตรฐานระบบเครือข่ายระดับประเทศ ( WAN)
ที่เป็นที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน โดยทั่วไปมี 3 แบบ คือ
2.2 Frame Relay
เฟรมรีเลย์เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อจาก X.25 อีกทีหนึ่ง
ในการส่งข้อมูล เฟรมรีเลย์จะมีการตรวจเช็คความถูกต้องของ
ข้อมูลที่จุดปลายทาง ทางานแบบ Packet Switching


Slide 28

มาตรฐานระบบเครือข่าย
2. มาตรฐานระบบเครือข่ายระดับประเทศ ( WAN)
ที่เป็นที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน โดยทั่วไปมี 3 แบบ คือ
2.3 ATM (Asynchronous Transfer Mode)
เป็ น ระบบเครื อ ข่ า ยความเร็ ว สู ง ปั จ จุ บั น ระบบองค์ ก ร
ใหญ่ๆ นิยมใช้งานอย่างแพร่หลายในวงการอุตสาหกรรมการ
สื่อสาร โดยระบบ ATM จะมีการส่งข้อมูล จานวนน้อยๆ ที่มี
ขนาดคงทีที่เรียกว่า เซลล์ (Cell)


Slide 29

Wireless LAN: WLAN
ระบบเครื อ ข่ า ยไร้ ส าย หมายถึ ง การสื่ อ สารข้ อ มู ล
ระหว่างคอมพิ วเตอร์ผ่านระบบเครือข่าย โดยไม่ต้องผ่าน
สายสัญญาณ แต่จะมีการส่งข้อมูลผ่านการใช้คลื่นความถี่
วิทยุในย่านวิทยุ (Radio Frequency: RF) และคลื่น
อินฟราเรด (infrared) แทน โดยระบบเครือข่ายไร้สายก็ยัง
มี คุ ณ สมบั ติ ค รอบคลุ ม ทุ ก อย่ า งเหมื อ นกั บ ระบบเครื อ ข่ า ย
ท้องถิ่น (LAN) แบบใช้สายทั่วไป


Slide 30

Wireless LAN: WLAN
ระบบเครือข่ายไร้สายพัฒนาขึ้น ในปี ค.ศ. 1971 บน
เกาะฮาวาย โดยเป็นผลงานของนักศึกษาของมหาวิทยาลัย
ฮาวาย ที่ชื่อว่า “ALOHNET” ซึ่งความสามารถในขณะนั้น
สามารถส่งข้อมูลเป็นแบบ Bi-directional คือส่งข้อมูลไปส่ ง ข้ อ มู ล กลั บ ได้ ผ่ า นคลื่ น วิ ท ยุ สื่ อ สารกั น ซึ่ ง เป็ น การส่ ง
ข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ด้วยกันเอง จานวน 7 เครื่อง
ที่ตั้งอยู่บนเกาะ 4
เกาะโดยรอบ และมีศูนย์กลางการ
เชื่อมต่ออยู่ที่เกาะที่ชื่อว่า Oahu


Slide 31

ประเภทของเครือข่ายไร้สาย

1. ระบบเครือข่ายไร้สายส่วนบุคคล (WPAN)
2. ระบบเครือข่ายท้องถิ่นไร้สาย (WLAN)
3. ระบบเครือข่ายเมืองไร้สาย (WMAN)
4. ระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ไร้สาย (WWAN)


Slide 32

ประเภทของเครือข่ายไร้สาย
1. ระบบเครือข่ายไร้สายส่วนบุคคล (WPAN)
เป็นการใช้งานในลักษณะที่ครอบคลุมพื้นที่จากัด เช่น อยู่
ภายในบ้านพักอาศัย หรือห้องทางานเล็กๆ ซึ่งมีอยู่สองระบบที่
รองรับการทางานส่วนบุคคล คือ IR (Infra-Red) ประมาณไม่เกิน
3 เมตร และ Bluetooth ระยะห่าง ไม่เกิน 10 เมตร


Slide 33

ประเภทของเครือข่ายไร้สาย
2. ระบบเครือข่ายท้องถิ่นไร้สาย (WLAN)
เป็ น การใช้ ง านในลั ก ษณะที่ ค รอบคลุ ม พื้ น ที่ ก ว้ า งกว่ า
ประเภทระบบเครือข่ายไร้สายส่วนบุคคล เช่น อยู่ภายในสานักงาน
เดียวกัน อาคารเดียวกัน ระยะห่างระหว่างอุปกรณ์ประมาณ 0 ถึง
100 เมตร


Slide 34

ประเภทของเครือข่ายไร้สาย
3. ระบบเครือข่ายเมืองไร้สาย (WMAN)
เป็นการใช้งานในลักษณะที่ครอบคลุมพื้นที่กว้าง เช่น ใช้
งานระหว่ า งองค์ ก ร ระหว่ า งเมื อ ง และมี ร ะบบเครื อ ข่ า ยที่
หลากหลายมากขึ้น อาศัยการส่งสัญญาณผ่านเสาอากาศ


Slide 35

ประเภทของเครือข่ายไร้สาย
4. ระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ไร้สาย (WWAN)
เป็นการใช้งานในเครือข่ายขนาดใหญ่ เช่น ระหว่างเมือง
ขนาดใหญ่ ระหว่างประเทศ โดยการสื่อสารลักษณะอย่างนี้จะใช้
การสื่อผ่านดาวเทียมแทน ในกรณีที่ข้ามไปต่างประเทศ


Slide 36

มาตรฐานของระบบเครือข่าย

1.มาตรฐาน IEEE802.11
2.มาตรฐาน IEEE802.11a
3.มาตรฐาน IEEE802.11b
4.มาตรฐาน IEEE802.11g
5.มาตรฐาน IEEE802.11n


Slide 37

มาตรฐานของระบบเครือข่าย

1. มาตรฐาน IEEE802.11
พัฒนาขึ้นในปี พ.ศ. 2540 อุปกรณ์สามารถรับส่ง
ข้อมูลได้ที่อัตราเร็ว 1 และ 2 Mbps ผ่านการส่งข้อมูลแบบ
อินฟาเรด (Infrared) หรือ คลื่นความถี่วิทยุ 2.4, 5 GHz มี
ระบบรักษาความปลอดภัยโดยใช้ระบบ WEP


Slide 38

มาตรฐานของระบบเครือข่าย

2. มาตรฐาน IEEE802.11a
พัฒนาขึ้นในปี พ.ศ. 2542 อุปกรณ์สามารถรับส่งข้อมูลได้ที่
อัตราเร็ว 54 Mbps ผ่านการส่งข้อมูลด้วยสัญญาณวิทยุย่าน
ความถี่ 5 GHz ใช้เทคนิคการส่งข้อมูลแบบ OFDM (Orthogonal
Frequency Division Multiplexing) แต่เนื่องจากย่านความถี่ 5
GHz นั้นได้ถูกห้ามใช้ในบางประเทศ รวมถึงประเทศไทย และ
ประกอบกั บ ย่ า นความถี่ ที่ สู ง ท าให้ อุ ป กรณ์ มี ร าคาแพง และ
ระยะทางที่สามารถใช้งานได้สั้นกว่าย่านความถี่ 2 GHz จึงทาให้
มาตรฐาน IEEE802.11a นั้นไม่เป็นที่นิยมใช้กันมากนัก


Slide 39

มาตรฐานของระบบเครือข่าย

3. มาตรฐาน IEEE802.11b
พัฒนาขึ้นพร้อมกับ IEEE802.11a ในปี พ.ศ. 2542 อุปกรณ์
สามารถรับส่งข้อมูลได้ที่อัตราเร็ว 11 Mbps ใช้เทคนิคการส่ง
ข้อมูลแบบ CCK (Complimentary Code Keying) และ DSSS
(Direct Sequence Spread Spectrum) ใช้ย่านความถี่ 2.4 GHz
ซึ่ ง เป็ น ย่ า นความถี่ ส าหรั บ การสื่ อ สารทางด้ า นวิ ท ยาศาสตร์ ,
อุตสาหกรรม, และการแพทย์ ประกอบกับความถี่ที่ตาท
่ าให้อุปกรณ์
มีราคาถูก จึงทาให้มาตรฐาน IEEE802.11b เป็นที่นิยมใช้กันอย่าง
แพร่หลายมากกว่า และเป็นที่มาของเครื่องหมายการค้า Wi-Fi


Slide 40

มาตรฐานของระบบเครือข่าย

4. มาตรฐาน IEEE802.11g
พัฒนาขึ้นขึ้นในปี พ.ศ. 2546 ใช้เทคนิคการส่งข้อมูลแบบ
OFDM และใช้ย่านความถี่ 2.4 GHz อุปกรณ์สามารถรับส่งข้อมูลได้
ที่อัตราเร็ว 54 Mbps และสามารถทางานกับมาตรฐานเก่า
IEEE802.11b ได้ (Backward-Compatible) จึงทาให้มาตรฐาน
IEEE802.11g
นั้ น เป็ น ที่ นิ ย ม และเข้ า มาแทนที่ ม าตรฐาน
IEEE802.11b ในที่สุด


Slide 41

มาตรฐานของระบบเครือข่าย

5. มาตรฐาน IEEE802.11n
พัฒนาขึ้นในปี พ.ศ. 2548 เป็นมาตรฐานที่กาลังเข้ามา
แทนที่มาตรฐาน IEEE802.11g โดยในมาตรฐาน IEEE802.11n
นี้ได้มี การพัฒนาให้ ส ามารถรั บส่ ง ข้ อมู ล ได้ใ นอัต รา 100-540
Mbps ตามทฤษฎี


Slide 42

เกณฑ์การวัดประสิทธิภาพ

1.สมรรถนะ (Competency)
2.ความน่าเชื่อถือ (Reliability)
3.ความปลอดภัย (Security)


Slide 43

เกณฑ์การวัดประสิทธิภาพ

1. สมรรถนะ (Competency)
1.1 เวลาที่ใช้ในการถ่ายโอนข้อมูล
1.2 จานวนผู้ใช้งานในระบบเครือข่าย
1.3 ชนิดสื่อกลางที่ใช้ส่งข้อมูล
1.4 อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์


Slide 44

เกณฑ์การวัดประสิทธิภาพ

2. ความน่าเชื่อถือ (Reliability)
2.1 ปริมาณความถี่ของความล้มเหลวในการส่งข้อมูล
2.2 ระยะเวลาที่ใช้การกู้คืนข้อมูลหรือกู้คืนระบบกรณีเกิด
ความส้มเหลวขึ้น
2.3 การป้องกันเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทาให้ระบบเกิดความ
ล้มเหลว


Slide 45

เกณฑ์การวัดประสิทธิภาพ

3. ความปลอดภัย (Security)
ถือเป็นหัวใจสาคัญที่สุดโดยเน้นไปที่ความสามารถที่จะป้องกัน
บุคคลที่ไม่มีสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูล หรือระบบเครือข่าย โดยอาจใช้
รหัสการเข้าถึงข้อมูล เป็นต้น และความสามารถในการป้องกันภัย
คุ ก คามต่ า งๆ เช่ น การป้ อ งกั น ไวรั ส คอมพิ ว เตอร์ เพื่ อ ให้ ร ะบบ
เครือข่ายมีความปลอดภัยสูงสุด


Slide 46

ประโยชน์ของเครือข่าย
1. ด้านการติดต่อสื่อสาร
1.1 บริการกระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์
1.2 จดหมายและจดหมายเสียงทางอิเล็กทรอนิกส์
1.3 การประชุมระยะไกลทางอิเล็กทรอนิกส์
1.4 การสนทนาแบบออนไลน์


Slide 47

ประโยชน์ของเครือข่าย
2. ด้านการค้นหาข้อมูล
บริการสารสนเทศทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic
Information services) เป็นประโยชน์ที่สาคัญที่สุดอย่าง
หนึ่งของระบบเครื อข่า ยคอมพิว เตอร์ โดยผู้ใ ห้บริ ก ารจะ
สามารถบริการสารสนเทศที่มีความสาคัญและเป็นที่ต้องการ
ของผู้ ใ ช้ ผ่ า นทางเครื อ ข่ า ย ซึ่ ง ผู้ ใ ช้ จ ะสามารถเรี ย กดู
สารสนเทศเหล่านั้นได้ทันทีทันใดและตลอด 24 ชั่วโมง เช่น
การใช้เว็บบราวเซอร์สืบค้นหาข้อมูล


Slide 48

ประโยชน์ของเครือข่าย

3. ด้านธุรกิจและการเงิน
3.1 การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์
3.2 การโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
3.3 การสั่งซื้อสินค้าทางอิเล็กทรอนิกส์


Slide 49

ประโยชน์ของเครือข่าย
4. ด้านการศึกษา
ปัจจุบันสามารถระบบเครือข่ายมีส่วนช่วยด้านการศึกษาอย่าง
มากเช่น การเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต และการค้นหาความรู้
ต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต เป็นต้น

5. ด้านการแพทย์
โรงพยาบาลใหญ่ๆ มีการนาเอาระบบเครือข่ายเข้าไปใช้งานกัน
มาก ที่เห็นได้ชัดเจน คือการจัดเก็บข้อมูลคนไข้ ปัจจุบันสามารถ
เรียกผ่านอินเทอร์เน็ตได้แล้ว ทาให้ลดระยะเวลาของหมอและยัง
ช่วยให้การวินิจฉัยได้ถูกต้องครบถ้วน และการใช้ตรวจรักษาโรค
ทางไกลผ่านระบบเครือข่าย


Slide 50

Telemedicine


Slide 51

ระบบเครือข่ายภายในสวนดุสิต

1. บริการโฮสติ้ง
บริการเว็บโฮสติ้ง (SDU Hosting) คือ การให้บริการรับฝาก
เว็บไซต์ ภายใต้โดเมนเนม ของ dusit.ac.th


Slide 52

ระบบเครือข่ายภายในสวนดุสิต

2. บริการจัดการผู้ใช้จากส่วนกลาง
ระบบการจัดการผู้ใช้จากส่วนกลาง (IDM: Identity
Manager) หรือเรียกว่า SDU IDM เป็นระบบการจัดการเกี่ยวกับ
รหัสผู้ใช้ ของบริการด้านออนไลน์ของมหาวิทยาลัย เช่น การ
เปลี่ยน Password หรือตรวจสอบสถานะของผู้ใช้งาน


Slide 53

ดุสิต

3. เครื่องให้บริการอัตโนมัติ
เครื่องให้บริการอัตโนมัติ หรือ SDU Kiosk เป็นเครื่องที่ให้บริการ
อัตโนมัติ (Multi-function self-service kiosk) โดยมีไว้ให้บริการ
นักศึกษาในเรื่องเช็คเรื่องเกรด พิมพ์ใบเกรด ตรวจสอบการค้างหนังสือ
จากห้องสมุด ดูรายวิชาที่ลงเรียน ตารางสอน ตารางสอบ และอื่น ๆ


Slide 54

ดุสิต

4. บริการอีเมลนักศึกษา
บริการอีเมลนักศึกษา (SDU Live) เป็นบริการที่จะทาให้นักเรียน
นักศึกษา สามารถใช้งาน Live@edu สาหรับ การทางานร่วมกัน และ
การติดต่อสื่อสารโดยสามารถใช้งานทุกบริการที่มีโดยใช้ รหัสผู้ใช้เพียง
รหัสเดียว ไม่ว่าจะเป็น อีเมล Windows Live Messenger หรือ การ
แชร์ข้อมูล
การเข้าใช้งานนักศึกษาสามารถเข้าใช้งานโดยให้เข้ามาที่
http://www.sdulive.net


Slide 55

ดุสิต

5. บริการอีเมลบุคลากร
บริการอีเมลบุคลากร (SDU Mail) คือ บริการรับ ส่งอีเมลล
ระบบปฏิทิน ไฟล์เอกสารแนบ รายชื่อติดต่อ และข้อมูลอื่นๆ สาหรับ
บุคลากร ซึ่งเป็นระบบ Microsoft Exchange Server ที่สามารถทา
ให้ระบบการสื่อสารทางานได้อย่างต่อเนื่อง การรับส่งอีเมลไม่ติดขัด
ช่วยป้องกันผู้ใช้และข้อมูลอันมีค่าขององค์กร จากอันตรายต่างๆที่มา
ทางอีเมลขยะและไวรัส


Slide 56

ดุสิต

6. บริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย
บริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย (SDU WIFI) เป็นบริการที่ให้
นั ก ศึ ก ษาเข้ า ใช้ ร ะบบอิ น เทอร์ เ น็ ต ได้ จ ากทุ ก บริ เ วณภายใน
มหาวิทยาลัยฯ โดยนักศึกษาสามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์พกพา
หรื อ โทรศั พ ท์ เ ชื่ อ มต่ อ อิ น เทอร์ เ น็ ต ได้ เมื่ อ นั ก ศึ ก ษาพบสั ญ ญาณ
Wireless ของมหาวิทยาลัยฯทาการเชื่อมต่อได้ทันที เชื่อมต่อแล้ว
นักศึกษาจะเข้าอินเทอร์เน็ต จะต้องทาการ Log In เข้าสู่ระบบก่อน
จึงจะสามารถเข้าใช้บริการได้


Slide 57

บริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย


Slide 58

ดุสิต

7. บริการเว็บ VPN
บริการเว็บ VPN หรือ SDU VPN เป็นบริการ
SDUNET@Home เป็นบริการที่ใช้หลักการของ SSL VPN
สาหรับนักศึกษาและ บุคลากรของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
ที่ใช้บริการ Internet จากผู้ให้บริการทั่วไปสามารถ ใช้บริการ
สืบค้นข้อมูลห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ และระบบอื่นๆ ที่จาเป็นต้อง
ใช้หมายเลข IP Address ของมหาวิทยาลัย โดยใช้ User name
และ Password เดียวกันกับ E-mail ของมหาวิทยาลัยฯ โดย
นักศึกษาสามารถเข้าใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่าน VPN (Virtual
Private network) ได้ทางเว็บไซต์ http://webvpn.dusit.ac.th


Slide 59

บริการเว็บ VPN


Slide 60

QUESTION ?