บทที่ 1

Download Report

Transcript บทที่ 1

บทที่ 1
ความรูเ้ บื้องต้นเกีย่ วกับคอมพิวเตอร
1.1 ความหมายของคอมพิวเตอร์


ผู้ออกแบบ
ส่ วนใหญ่เป็ น นักคณิ ตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ หรื อวิศวกร
จุดมุ่งหมายเดิม
เพื่อใช้ในการคานวณและแก้ปัญหาทางคณิ ตศาสตร์
1.1 ความหมายของคอมพิวเตอร์
ความหมาย
 เครื่ องคานวณ
 เครื่ องคานวณอิเล็กทรอนิ กส์ที่สามารถทางานคานวณผล และ
เปรี ยบเทียบค่าตามชุดคาสัง่ ด้วยความเร็ วสูงอย่างต่อเนื่องและ
อัตโนมัติ
 เครื่ องอิเล็กทรอนิ กส์แบบอัตโนมัติ ทาหน้าที่เสมื อนสมองกลใช้
สาหรับแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งที่ง่ายและซับซ้อน โดยวิธีทาง
คณิ ตศาสตร์
1.2 ประวัติความเป็ นมาของคอมพิวเตอร์

ในระยะ 5,000 ปี ทีผ
่ า่ นมา มนุษย์เริม
่ ใชนิ้ ว้ มือ
และนิว้ เท ้าเพือ
่ ชว่ ยในการคานวณ และพัฒนา
่ ลูกหิน
เป็ นอุปกรณ์อน
ื่ ๆ เชน
1.2 ประวัติความเป็ นมาของคอมพิวเตอร์

ประมาณ 2,600 ปี กอ
่ นคริสตกาล ชาวจีนได ้
้
ประดิษฐ์เครือ
่ งมือเพือ
่ ใชในการค
านวณ
เรียกว่า ลูกคิด (Abacus) ซงึ่ ถือได ้ว่าเป็ น
อุปกรณ์ชว่ ยการคานวณทีเ่ ก่าแก่ทส
ี่ ด
ุ ในโลก
้
และยังคงใชงานมาจนถึ
งปั จจุบน
ั
1.2 ประวัติความเป็ นมาของคอมพิวเตอร์

ื่
พ.ศ. 2158 นั กคณิตศาสตร์ชาวสก็อตแลนด์ชอ
John Napier ได ้ประดิษฐ์อป
ุ กรณ์ทใี่ ชช้ ว่ ยในการ
คานวณขึน
้ มาเรียกว่า Napier's Bones เป็ น
อุปกรณ์ทม
ี่ ล
ี ักษณะคล ้ายกับตารางสูตรคูณใน
ปั จจุบน
ั
1.2 ประวัติความเป็ นมาของคอมพิวเตอร์

ื่
พ.ศ. 2185 นั กคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ชอ
Blaise Pascal ได ้ออกแบบเครือ
่ งมือชว่ ยในการ
้ กการหมุนของฟั นเฟื อง
คานวณโดยใชหลั
้ ้ดีในการคานวณบวก
เครือ
่ งมือนีส
้ ามารถใชได
และลบ เท่านั น
้ สว่ นการคูณและหารยังไม่ด ี
เท่าไร
1.2 ประวัติความเป็ นมาของคอมพิวเตอร์
ื่ Gottfried
ในปี 2216 นั กปรัชญาชาวเยอรมันชอ
Wilhelm Baronvon Leibnitz ได ้ปรับปรุงเครือ
่ ง
้
้าๆ กันแทน
คานวณของปาสกาล ซงึ่ ใชการบวกซ
การคูณเลข จึงทาให ้สามารถทาการคูณและหาร
ได ้โดยตรง และยังค ้นพบเลขฐานสอง (Binary
Number)
1.2 ประวัติความเป็ นมาของคอมพิวเตอร์

พ.ศ. 2344 นักประดิษฐ์ชาวฝรั่งเศส
ื่ Joseph Marie Jacquard พัฒนา
ชอ
เครือ
่ งทอผ ้าโดยใชบั้ ตรเจาะรูในการ
บันทึกคาสงั่ ควบคุมเครือ
่ งทอผ ้าให ้
ทาตามแบบทีก
่ าหนดไว ้ ซงึ่ เป็ น
แนวทางทีท
่ าให ้เกิดการประดิษฐ์
เครือ
่ งเจาะบัตรในเวลาต่อมา และถือ
ว่าเป็ นเครือ
่ งจักรทีใ่ ชชุ้ ดคาสงั่
(Program) สงั่ ทางานเป็ นเครือ
่ งแรก
1.2 ประวัติความเป็ นมาของคอมพิวเตอร์

พ.ศ. 2373 Charles Babbage
ศาสตราจารย์ทางคณิตศาสตร์แห่ง
มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ของอังกฤษ
ได ้สร ้างเครือ
่ งหาผลต่าง (Difference
Engine) ซงึ่ เป็ นเครือ
่ งทีใ่ ชค้ านวณ
และพิมพ์ตารางทางคณิตศาสตร์
อย่างอัตโนมัต ิ แต่ก็ไม่สาเร็จตาม
แนวคิด ด ้วยข ้อจากัดทางด ้าน
วิศวกรรมในสมัยนัน
้ แต่ได ้พัฒนา
เครือ
่ งมือหนึง่ เรียกว่า เครือ
่ งวิเคราะห์
(Analytical Engine)
1.2 ประวัติความเป็ นมาของคอมพิวเตอร์

เครือ
่ งนีป
้ ระกอบด ้วยสว่ นสาคัญ
4 สว่ น คือ
 1. ส่ วนเก็บข้อมูล



ส่ วนประมวลผล
3. ส่ วนควบคุม
4. ส่ วนรับข้อมูลเข้าและ
แสดงผลลัพธ์
2.
ด ้วยเครือ
่ งวิเคราะห์ มีลก
ั ษณะ
ใกล ้เคียงกับสว่ นประกอบของ
ระบบคอมพิวเตอร์ในปั จจุบน
ั จึง
ทาให ้ Charles Babbage ได ้รับ
การยกย่องให ้เป็ น
"บิดาแห่งคอมพิวเตอร์ "
1.2 ประวัติความเป็ นมาของคอมพิวเตอร์

ื่ Lady
พ.ศ. 2385 สุภาพสตรีชาวอังกฤษชอ
Augusta Ada Byron ได ้ทาการแปลเรือ
่ งราว
เกีย
่ วกับเครือ
่ ง Analytical Engine และได ้เขียน
้ อ
ขัน
้ ตอนของคาสงั่ วิธใี ชเครื
่ งนีใ้ ห ้ทาการคานวณที่
ั ซอน
้ จึงนั บได ้ว่า ออกุสต ้า เป็ น
ยุง่ ยากซบ
โปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก และยังค ้นพบอีกว่า
ชุดบัตรเจาะรูทบ
ี่ รรจุชด
ุ คาสงั่ ไว ้สามารถนากลับมา
ทางานซ้าใหม่ นั่ นคือหลักการทางานวนซ้า หรือที่
เรียกว่า Loop
1.2 ประวัติความเป็ นมาของคอมพิวเตอร์

พ.ศ. 2397 นักคณิตศาสตร์ชาว
อังกฤษ George Boole ได ้สร ้าง
ระบบพีชคณิตแบบใหม่ เรียกว่า
พีชคณิตบูลลีน (Boolean
Algebra) ซงึ่ มีประโยชน์มากต่อ
การออกแบบวงจรไฟฟ้ าและ
อิเล็กทรอนิกส ์ และการออกแบบ
ทางตรรกวิทยาของเครือ
่ ง
คอมพิวเตอร์ในปั จจุบน
ั ด ้วย
1.2 ประวัติความเป็ นมาของคอมพิวเตอร์

พ.ศ. 2423 Dr. Herman Hollerith นักสถิต ิ
ชาวอเมริกน
ั ได ้ประดิษฐ์เครือ
่ งประมวลผล
ทางสถิตเิ ครือ
่ งแรก ซงึ่ ใชกั้ บบัตรเจาะรู ซงึ่
้
ได ้ถูกนามาใชในงานส
ารวจสามะโนประชากร
ของสหรัฐอเมริกา
1.2 ประวัติความเป็ นมาของคอมพิวเตอร์

พ.ศ. 2480 ศาสตราจารย์ Howard Aiken ได ้พัฒนา
เครือ
่ งคานวณตามแนวคิดของแบบเบจ ร่วมกับวิศวกร
ของบริษัท ไอบีเอ็มได ้สาเร็จ โดยเครือ
่ งจะทางานแบบ
ื่
เครือ
่ งจักรกลปนไฟฟ้ าและใชบั้ ตรเจาะรู เครือ
่ งมือนีม
้ ช
ี อ
ื่ หนึง่ ว่า IBM Automatic
ว่า MARK I หรือมีอก
ี ชอ
Sequence Controlled Calculator และนับเป็ นเครือ
่ ง
คานวณแบบอัตโนมัตเิ ครือ
่ งแรกของโลก
1.2 ประวัติความเป็ นมาของคอมพิวเตอร์

พ.ศ. 2486 เป็ นชว่ งสงครามโลกครัง้ ที่ 2 ศูนย์วจ
ิ ัยของ
กองทัพบกสหรัฐอเมริกา ต ้องการเครือ
่ งคานวณหาทิศทาง
้ อ
และระยะทางในการสง่ ขีปนาวุธ ซงึ่ ถ ้าใชเครื
่ งคานวณสมัย
้
นัน
้ จะต ้องใชเวลาถึ
ง 12 ชม.ต่อการยิง 1 ครัง้ ดังนัน
้ จึงให ้
ทุนอุดหนุนแก่ John W. Mauchly และ Persper Eckert
์ น
ื่ ว่า ENIAC
สร ้างคอมพิวเตอร์อเิ ล็กทรอนิกสข
ึ้ มา มีชอ
(Electronic Numerical Intergrater and Calculator)
สาเร็จในปี 2489 โดยนาหลอดสุญญากาศจานวน 18,000
หลอด ซงึ่ มีข ้อดีคอ
ื ทาให ้เครือ
่ งมีความเร็วและมีความ
ถูกต ้องแม่นยาในการคานวณมากขึน
้
1.2 ประวัติความเป็ นมาของคอมพิวเตอร์

พ.ศ. 2492 Dr. John Von Neumann ได ้พบ
วิธก
ี ารเก็บโปรแกรมไว ้ในหน่วยความจาของ
เครือ
่ งได ้สาเร็จ เครือ
่ งคอมพิวเตอร์ทถ
ี่ ก
ู
พัฒนาขึน
้ ตามแนวคิดนีไ้ ด ้แก่ EDVAC
(Electronic Discrete Variable Automatic
้
Computer) และนามาใชงานจริ
งในปี 2494 และ
ในเวลาเดียวกันมหาวิทยาลัย เคมบริดจ์ ก็ได ้มี
การสร ้างคอมพิวเตอร์ในลักษณะคล ้ายกับเครือ
่ ง
ื่ ว่า EDSAC (Electronic
EDVAC นี้ และให ้ชอ
Delay Storage Automatic Calculator) มี
ลักษณะการทางานเหมือนกับ EDVAC คือเก็บ
โปรแกรมไว ้ในหน่วยความจา แต่มล
ี ก
ั ษณะพิเศษ
้
ทีแ
่ ตกต่างออกไปคือ ใชเทปแม่
เหล็กในการ
บันทึกข ้อมูลต่อมา ศาสตราจารย์แอคเคิทและ
มอชลี ได ้ร่วมมือกันสร ้างเครือ
่ งคอมพิวเตอร์อก
ี
ื่ ว่า UNIVAC I (Universal Automatic
ชอ
Calculator) ซงึ่ ผลิตขึน
้ มาเพือ
่ ขายหรือเชา่ เป็ น
่ ลาด
เครือ
่ งแรกทีอ
่ อกสูต
1.3 วิวฒ
ั นาการของเครื่องคอมพิวเตอร์
แบ่ งออกเป็ น 5 ยุค คือ

ยุคที่ 1 ใช้หลอดสูญญากาศ
1.3 วิวฒ
ั นาการของเครื่องคอมพิวเตอร์
ยุคที่ 2 ใช้หลอดทรานซิสเตอร์
1.3 วิวฒ
ั นาการของเครื่องคอมพิวเตอร์

ยุคที่ 3 ใช้ไอซี (IC : Intergrated Circuit)
1.3 วิวฒ
ั นาการของเครื่องคอมพิวเตอร์

ยุคที่ 4 ใช้แอลเอสไอ
(VLSI : Very Large Scale Integrated)
1.3 วิวฒ
ั นาการของเครื่องคอมพิวเตอร์

ยุคที่ 5 ปัญญาประดิษฐ์ (AI : Artificial Intelligence)
1.4 ประเภทของคอมพิวเตอร์

แบ่ งตามหลักของการแทนค่ าข้ อมูลในเครื่อง
คอมพิวเตอร์
อานาลอกคอมพิวเตอร์ (Analog Computer)
 ดิจิตอลคอมพิวเตอร์ (Digital Computer)


แบ่ งตามลักษณะการใช้ งาน
คอมพิวเตอร์เฉพาะกิจ (Special-Purpose Computer)
 คอมพิวเตอร์ ใช้งานทัว
่ ไป (General-Purpose Computer)

1.4 ประเภทของคอมพิวเตอร์

แบ่ งตามขนาดของเครื่อง

ไมโครคอมพิวเตอร์ (Micro Computer)

Desktop, Laptop, Notebook, Palmtop
สถานีงานวิศวกรรม (Engineering Workstation)
 มินิคอมพิวเตอร์ (Mini Computer)
 เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe Computer)
 ซุ ปเปอร์ คอมพิวเตอร์ (Super Computer)

1.5 องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์
ประกอบด้ วย 3 องค์ ประกอบ
 คน


ตัวเครื่อง หรือ ฮาร์ ดแวร์


System Analysis, Computer Programmer, Computer Operator, DataPreparation Operator
ตัวเครื่ องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อื่น ๆ
โปรแกรมคาสั่ ง หรือ ซอฟท์ แวร์

System Software, Application Program
1.6 ส่วนประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์

CPU : Central Processing Unit
Control
 ALU (Arithmetic Logic Unit)
 Main Memory




Input Unit
Output Unit
Secondary Storage
หน่ วยคำนวน
และตรรก (ALU)
หน่ วยรับข้อมูล
หน่ วยควบคุม
หน่ วยควำมจำหลัก
หน่ วยควำมจำ
สำรอง
รูปแสดงสว่ นประกอบของคอมพิวเตอร์
หน่ วยแสดงผล
ข้อมูล
หน่ วยความจาของคอมพิวเตอร์


หน่วยความจาทีเ่ รียกว่า ROM (Read Only
Memory) ข ้อมูลทีอ
่ ยูใ่ นหน่วยความจา แม ้จะปิ ดไฟ
เครือ
่ ง สงิ่ ทีบ
่ น
ั ทึกอยูก
่ ็จะไม่หาย
หน่วยความจาทีเ่ รียกว่า RAM (Random Access
้ นทีเ่ ก็บข ้อมูลและโปรแกรมของ
Memory) ใชเป็
ผู ้ใช ้ โดยจะเปลีย
่ นแปลง แก ้ไข เพิม
่ เติม ลบออก
ได ้ แต่เมือ
่ ปิ ดไฟเครือ
่ ง ข ้อมูลทีอ
่ ยูใ่ นสว่ นนีจ
้ ะ
หายไปหมด
หน่ วยความจาของคอมพิวเตอร์

หน่วยทีเ่ ล็กทีส
่ ด
ุ ทีอ
่ าจเป็ นเลข 0 หรือ 1 เรียกว่า บิต (Bit) ทีย
่ อ
่ มาจาก
่ 8 บิต เรียกว่า 1
Binary Digit และเมือ
่ นาเอาบิตมารวมกันเป็ นกลุม
่ เชน
้
ไบท์ (Byte) โดย 1 ไบท์จะใชแทนตั
วอักษรหรือตัวเลข 1 ตัว ทุกๆไบท์
จะมีหมายเลขกากับ (Address number) ขนาดของหน่วยความจาจะ
ขึน
้ อยูก
่ บ
ั จานวนไบท์ โดยไบท์จะมีหน่วยเป็ น Kb (Kilobyte) หรือ Mb
่ เครือ
(Megabyte) หรือ Gb (Gigabyte) เชน
่ ง IBM มีหน่วยความจา
ขนาด 128 Mb คือ เครือ
่ งนีจ
้ ะสามารถเก็บตัวอักษรหรือตัวเลขได ้
128*1,024*1,024 ตัวอักษร เป็ นต ้น



( 1 Kilobyte
( 1 Megabyte
( 1 Gigabyte
= 210
= 210 * 210
= 210 * 210 * 210
= 1,024 bytes)
= 1,048,576 bytes)
= 1,073,741,824 bytes)
1.7 คอมพิวเตอร์ซอฟท์แวร์

โปรแกรมระบบ (System Program)


โปรแกรมจัดการระบบ, โปรแกรมแปลภาษา, โปรแกรมควบคุมงาน,
โปรแกรมควบคุมการรับส่ งข้อมูล, โปรแกรมอัตถประโยชน์, โปรแกรม
บารุ งรักษา
โปรแกรมประยุกต์ (Application Program)

เขียนขึ้นด้วยภาษาคอมพิวเตอร์



เบสิ ก (BASIC), ภาษาฟอร์แทรน (FORTRAN), โคบอล (COBOL)
ปาสกาล (PASCAL), ซี (C), วีบี (VB), วีซี (VC), เดลฟี (Delphi)
โปรแกรมในสานักงาน, การทาบัญชี, การลงทะเบียน, งานวิจยั เป็ นต้น
1.8 ภาษาคอมพิวเตอร์

ภาษาเครื่อง (Machine Language)


คาสั่งของภาษาประกอบด้วยกลุ่มเลขฐานสอง (0 และ 1)
ภาษาใกล้ เคียงภาษามนุษย์ (Human Oriented Language)


ภาษาระดับต่า (Low level language)
 มีเพียงภาษาเดียวเท่านั้น คือ ภาษาแอสเซมบลี่
ภาษาระดับสูง (High level language)
 เบสิ ก (BASIC), ภาษาฟอร์ แทรน (FORTRAN), โคบอล (COBOL)
 ปาสกาล (PASCAL), ซี (C), วีบี (VB), วีซี (VC), เดลฟี (Delphi)
1.9 รหัสแทนข้อมูล

รหัส BCD (Binary Code Decimal)


รหัส EBCDIC (Extended Binary Code
Decimal Interchange Code)


1 ไบท์ 6 บิท ได้ 64 ลักษณะ
1 ไบท์ 8 บิท ได้ 256 ลักษณะ
รหัส ASCII (American Standard Code Information
Interchange)

1 ไบท์ 8 บิท ได้ 256 ลักษณะ เป็ นที่นิยมใช้กนั มากในปั จจุบนั
1.9 รหัสแทนข้อมูล
Character
BCD
EBCDIC
ASCII
1
2
3
4
000001
000010
000011
000100
11110001
11110010
11110011
11110100
00110001
00110010
00110011
00110100
:
:
:
:
A
B
C
D
110001
110010
110011
110100
11000001
11000010
11000011
11000100
01000001
01000010
01000011
01000100
:
:
:
:
1.10 ลักษณะที่สาคัญของเครื่องคอมพิวเตอร์

เป็ นเครื่องอิเล็กทรอนิกส์


มีความเร็วสู งในการประมวลผล


ทางานด้วยความเร็วสูง
มีหน่ วยความจาภายใน


ประกอบด้วยชิ้นส่ วนอิเล็กทรอนิกส์
ใช้เก็บโปรแกรมและข้อมูล
มีความถูกต้ องเสมอ

ถ้าข้อมูลและคาสัง่ ถูกต้อง
1.11 ประโยชน์และข้อจากัดของคอมพิวเตอร์
ประโยชน์ ของคอมพิวเตอร์ ได้ แก่






ความเร็ ว (Speed)
ความถูกต้อง (Accuracy)
ความน่าเชื่อถือ (Reliability)
การเก็บรักษาข้อมูลหรื อโปรแกรม (Retention)
การประหยัด (Economy)
การใช้งานได้หลาย ๆ ด้าน (Wide Applicability)
1.11 ประโยชน์และข้อจากัดของคอมพิวเตอร์
ข้ อจากัดของคอมพิวเตอร์ ได้ แก่




การทางานต้องขึ้นกับมนุษย์ (Dependence of People)
การวางระบบงานคอมพิวเตอร์ตอ้ งใช้เวลามาก (TimeConsuming System)
การรบกวนระบบงานปกติ (Disruptiveness)
การไม่รู้จกั ปรับปรุ งให้ดีข้ ึน (Unadaptiveness)
Home Work
แบบฝึ กห ัด บทที่ 1
ส่งทางคาตอบทาง paper ก่อนเรียนบทที่ 2
The End