นายชยกมล เกษมสันต์ ณ อยุธยา (ครัง้ ที่ ๒) คำให้กำรและฟ้องแย้ง คำให้กำรตำมมำตรำ ๑ (๔) หมำยควำมว่ำ กระบวนพิจำรณำใดๆซึง่ คูค่ วำมฝำ่ ยหนึ่ง ยกขึน้ ต่อสูเ้ ป็ นข้อแก้คำฟ้องตำมทีบ่ ญ ั ญัตไิ ว้ในประมวลกฎหมำยนี้นอกจำกคำแถลงกำรณ์ จำกบทนิยำมดังกล่ำวแม้บญ ั.

Download Report

Transcript นายชยกมล เกษมสันต์ ณ อยุธยา (ครัง้ ที่ ๒) คำให้กำรและฟ้องแย้ง คำให้กำรตำมมำตรำ ๑ (๔) หมำยควำมว่ำ กระบวนพิจำรณำใดๆซึง่ คูค่ วำมฝำ่ ยหนึ่ง ยกขึน้ ต่อสูเ้ ป็ นข้อแก้คำฟ้องตำมทีบ่ ญ ั ญัตไิ ว้ในประมวลกฎหมำยนี้นอกจำกคำแถลงกำรณ์ จำกบทนิยำมดังกล่ำวแม้บญ ั.

นายชยกมล เกษมสันต์ ณ อยุธยา
(ครัง้ ที่ ๒)
คำให้กำรและฟ้องแย้ง
คำให้กำรตำมมำตรำ ๑ (๔) หมำยควำมว่ำ กระบวนพิจำรณำใดๆซึง่ คูค่ วำมฝำ่ ยหนึ่ง
ยกขึน้ ต่อสูเ้ ป็ นข้อแก้คำฟ้องตำมทีบ่ ญ
ั ญัตไิ ว้ในประมวลกฎหมำยนี้นอกจำกคำแถลงกำรณ์
จำกบทนิยำมดังกล่ำวแม้บญ
ั ญัตวิ ำ่ “ยกข้อต่อสูเ้ ป็ นข้อแก้คำฟ้อง” แต่จำกมำตรำ ๑๗๗
วรรคสองนัน้ จะเห็นได้วำ่ กำรทีใ่ ห้กำรยอมรับคำฟ้องทัง้ หมดก็เป็ นคำให้กำรเช่นกัน
คำให้กำรเป็ นคำคูค่ วำมตำมมำตรำ ๑ (๕) ซึง่ มีลกั ษณะตัง้ ประเด็นขึน้ มำ จึงรวมถึง
๑. คำร้องขอแก้ไขเพิม่ เติมคำให้กำร
๒. คำให้กำรแก้ฟ้องแย้งของโจทก์
๓. คำให้กำรของโจทก์หรือเจ้ำหนี้ตำมคำพิพำกษำตำมมำตรำ ๒๘๘ (ฎ.๕๑๔/๒๕๐๓ ป.)
.
มำตรำ ๑๗๗ วรรคหนึ่งกำหนดเวลำยืน่ คำให้กำรไว่วำ่ “เมือ่ ได้สง่ หมำยเรียกและ
สำเนำคำฟ้องให้จำเลยแล้ว ให้จำเลยทำคำให้กำรเป็ นหนังสือยืน่ ต่อศำลภำยในสิบห้ำ
วัน”
กำรนับเวลำนัน้ นับแต่ได้สง่ หมำยเรียกและสำเนำคำฟ้องให้แก่จำเลยได้โดยชอบ
ไม่ใช่วนั ทีจ่ ำเลยรับหมำย โดยนับตำมปพพ.มำตรำ ๑๙๓/๓ คือวันแรกทีไ่ ด้สง่ มีผลจะ
ไม่นบั (ฎ.๖๘๔/๒๔๙๕)
กำรทำคำให้กำรจะต้องทำเป็ นหนังสือโดยเป็ นไปตำมแบบพิมพ์คำให้กำรของศำล
ตำมมำตรำ ๖๗ และต้องส่งให้คคู่ วำมฝำ่ ยอืน่ ตำมมำตรำ ๗๑ วรรคหนึ่ง จึงต้องมีสำเนำ
ให้ครบจำนวน
.
กำรเรียงคำให้กำร
มำตรำ ๑๗๗ วรรคสอง “ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้กำรว่ำ จำเลยยอมรับ
หรือปฏิเสธข้ออ้ำงของโจทก์ทงั ้ สิน้ หรือแต่บำงส่วน รวมทัง้ เหตุแห่งกำรนัน้ ”
ลักษณะของคำให้กำรข้ำงต้น จะปรำกฏ ๔ รูปแบบ คือ
๑. ยอมรับตำมคำฟ้องทัง้ หมด
๒. ให้กำรปฏิเสธ
กำรปฏิเสธข้ออ้ำงโจทก์น้ีจะต้องมีควำมชัดแจ้ง หำกกำกวม ไม่อำจทรำบได้วำ่ รับ
หรือปฏิเสธจะมีผลเท่ำกับรับตำมคำฟ้อง หรือหำกไม่ให้กำรในเรือ่ งใดตำมฟ้องก็ถอื ว่ำ
รับตำมคำฟ้องเช่นกัน ซึง่ แตกต่ำงจำกคดีอำญำ (ฎ.๒๑๘/๒๔๘๘)
.
นอกจำกกำรปฏิเสธชัดแจ้งแล้วยังต้องอ้ำงเหตุแห่งกำรปฏิเสธเรือ่ งนัน้ ไว้ดว้ ย หำกปฏิเสธลอยๆก็
จะส่งผลให้จำเลยไม่มปี ระเด็นทีส่ บื พยำน เช่น หำกปฏิเสธว่ำจำเลยไม่เคยทำสัญญำกู้ แต่ไม่ได้อำ้ งเหตุ
ว่ำลำยมือชือ่ ในสัญญำเป็ นลำยมือชื่อปลอม เมือ่ ชัน้ พิจำรณำก็จะขอสืบพยำนว่ำลำยมือชือ่ ปลอมไม่ได้
ฎ.๑๘๐๑/๒๕๓๙ จำเลยให้กำรแต่เพียงว่ำคดีโจทก์ขำดอำยุควำม โดยไม่ได้กล่ำวถึงเหตุแห่งกำร
ขำดอำยุควำมให้ปรำกฎ จึงไม่มปี ระเด็นเรือ่ งอำยุควำม
ฎ.๒๕๗๔/๒๕๕๖ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้กำรตอนแรกว่ำ ต.และจำเลยที่ ๑ ไม่เคยขำยทีด่ นิ
พิพำทให้แก่โจทก์ สัญญำซือ้ ขำยเป็ นนิตกิ รรมอำพรำงสัญญำกูท้ ่ี ต.และจำเลยที่ ๑ กูเ้ งินไปจำกโจทก์
เป็ นคำให้กำรทีแ่ สดงกำรปฏิเสธโดยชัดแจ้งว่ำไม่ได้ขำยทีด่ นิ พิพำทให้แก่โจทก์ รวมทัง้ อ้ำงเหตุแห่งกำร
นัน้ ว่ำสัญญำซือ้ ขำยเป็ นนิตกิ รรมอำพรำงสัญญำกู้ ส่วนทีใ่ ห้กำรตอนหลังว่ำสัญญำซือ้ ขำยมิได้ทำเป็ น
หนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงำนเจ้ำหน้ำทีจ่ งึ ตกเป็ นโมฆะ และโจทก์มไิ ด้ฟ้องคดีภำยใน ๑๐ ปี นับ
แต่วนั ทำสัญญำซือ้ ขำย คดีจงึ ขำดอำยุควำม ก็มใิ ช่วำ่ เป็ นคำให้กำรทีย่ อมรับหรือถือว่ำ ต.และจำเลยที่
๑ ทำสัญญำซือ้ ขำยทีด่ นิ พิพำทกับโจทก์จริง จึงมิได้ขดั แย้งกันเองหรือไม่ชดั แจ้งว่ำยอมรับหรือปฏิเสธ
ข้ออ้ำงในคำฟ้องโจทก์ คำให้กำรชัดแจ้งว่ำปฏิเสธฟ้องโจทก์รวมทัง้ เหตุแห่งกำรนัน้ ตำมมำตรำ ๑๗๗
วรรคสองแล้ว จำเลยที่ ๑ และที๒่ มีสทิ ธินำพยำนเข้ำสืบหักล้ำงสัญญำซื้อขำยตำมฟ้องได้ ไม่ตอ้ งห้ำม
ตำมมำตรำ ๙๔
.
๓. ให้กำรทัง้ รับทัง้ สู้ หรือยอมรับบำงส่วนปฏิเสธบำงส่วน เช่น ฟ้องเรียกค่ำเสียหำยจำกกำรที่
จำเลยทำร้ำยโจทก์ จำเลยให้กำรว่ำกระทำกำรไปโดยชอบด้วยกฎหมำยจึงไม่ตอ้ งรับผิด
๔. ให้กำรต่อสูใ้ นข้อกฎหมำย เช่น ฟ้องเคลือบคลุม คดีขำดอำยุควำม ฟ้องนอกเขตอำนำจศำล
ซึง่ ส่งผลในกำรทีจ่ ะชีข้ ำดเบือ้ งต้นในปญั หำข้อกฎหมำยตำมมำตรำ ๒๔
ข้อสังเกต
- เรือ่ งค่ำเสียหำยถือว่ำจำเลยปฏิเสธเสมอ เว้นแต่จำเลยให้กำรยอมรับไว้
- ประเด็นอำยุควำม หำกไม่ต่อสูไ้ ว้ ศำลจะไม่ยกขึน้ วินิจฉัยให้ ทัง้ นี้ตำมประมวลกฎหมำยแพ่ง
และพำณิชย์ มำตรำ ๑๙๓/๒๙ ทีบ่ ญ
ั ญัตวิ ำ่ “เมือ่ ไม่ได้อำยุควำมขึน้ เป็ นข้อต่อสู้ ศำลจะอ้ำงเอำอำยุ
ควำมมำเป็ นเหตุยกฟ้องไม่ได้”
- เรือ่ งอำนำจฟ้องเป็ นปญั หำข้อกฎหมำยเกีย่ วกับควำมสงบเรียบร้อย แม้จำเลยไม่ให้กำรต่อสูไ้ ว้
ศำลก็มอี ำนำจยกขึน้ ได้ตำมมำตรำ ๑๔๒ (๕) (ฎ.๑๐๘๗/๒๕๑๕)
- กำรทีจ่ ำเลยไม่ยน่ื คำให้กำร หรือให้กำรยอมรับโดยชัดแจ้งทัง้ สิน้ หรือให้กำรปฏิเสธทัง้ สิน้ แต่
ไม่มเี หตุแห่งกำรปฏิเสธ ย่อมทำให้ไม่จำต้องชีส้ องสถำนตำมมำตรำ ๑๘๒ (๑) (๒) (๓)
.
ฟ้ องแย้ง
ฟ้องแย้ง หมำยถึง กำรฟ้องทีจ่ ำเลยกลับเป็ นโจทก์ โดยฟ้องในคดีเดียวกันนัน้
ขอให้โจทก์รบั ผิด ไม่ใช่ฟ้องเป็ นคดีเรือ่ งหนึ่งต่ำงหำก จึงต้องประกอบด้วยลักษณะเป็น
คำให้กำรต่อสูค้ ดีโจทก์ประกำรหนึง่ ก่อน แล้วเสนอข้อหำของจำเลยต่อโจทก์เป็ น
ประกำรทีส่ องต่อมำ
หลักเกณฑ์เป็ นไปตำมมำตรำ ๑๗๗ วรรคสำม และมำตรำ ๑๗๙ วรรคท้ำย ซึง่ มี
อยู่ ๓ ประกำร คือ
๑. ต้องมีขอ้ โต้แย้งเกีย่ วกับสิทธิหรือหน้ำที่ เนื่องจำกฟ้องแย้งเป็ นคำฟ้องอย่ำง
หนึ่งจึงต้องมีลกั ษณะตำมมำตรำ ๕๕ เช่นเดียวกัน
.
ฎ.๖/๒๕๑๖ โจทก์ฟ้องเรียกค่ำเสียหำยจำกจำเลยฐำนผิดสัญญำตัวแทน จำเลยให้
กำรปฏิเสธควำมรับผิด และฟ้องแย้งขอให้ตงั ้ ผูส้ อบบัญชีตรวจสอบบัญชีและเอกสำร
ของโจทก์เพือ่ แสดงว่ำจำเลยมิได้เป็ นหนี้โจทก์ตำมฟ้อง เหตุทจี ่ ำเลยอ้ำงเป็ นฟ้องแย้ง
นัน้ เป็ นเรือ่ งจำเลยแสวงหำหลักฐำนเพือ่ ต่อสูค้ ดี มิใช่เป็ นกำรเสนอข้อหำต่อศำล ไม่เป็ น
ฟ้องแย้ง
ฎ.๒๕๒๖/๒๕๓๑ สัญญำเช่ำระหว่ำงจำเลยกับผูใ้ ห้เช่ำเป็ นสัญญำต่ำงตอบแทนยิง่
กว่ำสัญญำเช่ำธรรมดำ จำเลยมีอำนำจฟ้องแย้งผูใ้ ห้เช่ำซึง่ เป็ นโจทก์ให้จดทะเบียนกำร
เช่ำได้
.
๒. ต้องมีฟ้องเดิม หำกไม่มตี วั โจทก์หรือตัวโจทก์เดิมไม่อยูใ่ นฐำนะเป็ นโจทก์
จำเลยย่อมฟ้องแย้งไม่ได้
ฎ.๗๓๖/๒๕๐๓ บิดำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมำยฟ้องแทนผูเ้ ยำว์ ขอให้ศำลแสดง
ว่ำทรัพย์เป็ นของโจทก์ทงั ้ สีบ่ ุตรผูเ้ ยำว์ ห้ำมจำเลยเกีย่ วข้อง จำเลยต่อสูว้ ำ่ เป็ นบิดำโดย
ไม่ชอบด้วยกฎหมำยของผูเ้ ยำว์จงึ ไม่มอี ำนำจฟ้อง และฟ้องแย้งขอแบ่งทรัพย์มรดก
ระหว่ำงโจทก์กบั จำเลย เมือ่ ศำลฟงั ว่ำบิดำไม่ชอบด้วยกฎหมำยไม่มอี ำนำจฟ้องแทน
ผูเ้ ยำว์และพิพำกษำยกฟ้องโจทก์ ฟ้องแย้งของจำเลยก็ตกไปด้วย เพรำะกำรฟ้องแย้ง
จะต้องมีฟ้องเดิมและตัวโจทก์เดิมทีจ่ ะเป็ นจำเลยต่อไปเป็ นหลักอยูด่ ว้ ย
ข้อสังเกต กำรทีย่ กฟ้องมิใช่ทำให้ฟ้องแย้งตกไปทุกกรณี หำกยังคงมีฟ้องเดิมและ
ตัวโจทก์ทจ่ี ะเป็ นจำเลยฟ้องแย้งต่อไปเป็ นหลักก็พจิ ำรณำฟ้องแย้งต่อไปได้ เช่น กรณีท่ี
ยกฟ้องเพรำะฟ้องเคลือบคลุม หรือกำรทีศ่ ำลจำหน่ำยคดีเพรำะโจทก์ทง้ิ ฟ้อง
.
๓. ต้องเกีย่ วกับฟ้องเดิม และพอรวมพิจำรณำและชีข้ ำดตัดสินเข้ำด้วยกันได้
กรณีทไ่ี ม่เกีย่ วกับฟ้องเดิม
ศำลต้องสังไม่
่ รบั ฟ้องแย้งและให้จำเลยไปฟ้องเป็ นคดีต่ำงหำกโดยสังคื
่ น
ค่ำธรรมเนียมตำมมำตรำ ๑๕๑ และต้องรับคำให้กำรไว้ จะสังยกฟ
่ ้ องแย้งไม่ได้
ฎ.๒๓๒๐/๒๕๒๘ โจทก์ฟ้องว่ำจำเลยขำยสินค้ำยีห่ อ้ และชนิดเดียวกับของโจทก์
ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยว่ำโจทก์กลันแกล้
่
งใส่ควำมฟ้องจำเลย เป็ นกำรละเมิดเป็ นคนละ
เรือ่ งกัน ฟ้องแย้งไม่เกีย่ วกับฟ้องเดิม
ฎ.๑๓๕๔/๒๕๑๗ โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจำกอำคำรทีเ่ ช่ำ จำเลยจะฟ้องแย้ง
ขอให้บงั คับโจทก์เสนอขำยอำคำรแก่จำเลยตำมสัญญำเช่ำไม่ได้ เพรำะไม่เกี่ยวกับฟ้อง
เดิม
.
(๑) ฟ้องแย้งล่วงหน้ำ
ฎ.๑๕๖๓/๒๕๒๕ จำเลยที่ ๒ ฟ้องแย้งว่ำ หำกเห็นว่ำจำเลยที่ ๑ กระทำโดยไม่
สุจริต ขอให้บงั คับโจทก์ใช้คำ่ ทีด่ นิ ให้จำเลยที่ ๒ ดังนี้ ฟ้องแย้งเป็ นเรือ่ งทีจ่ ะเกิดขึน้
ตำมมำภำยหลังเมือ่ ศำลพิพำกษำว่ำจำเลยที่ ๑ กระทำโดยไม่สจุ ริต ให้เพิกถอนสัญญำ
ขำยฝำกทีด่ นิ ระหว่ำงจำเลยทัง้ สองแล้ว ถ้ำจำเลยทัง้ สองชนะคดีตำมทีใ่ ห้กำรปฏิเสธว่ำ
ทำสัญญำกันโดยสุจริต ฟ้องแย้งก็ตกไป จึงเป็ นเรือ่ งทีจ่ ะเรียกร้องกันเมือ่ ปรำกฏคำ
พิพำกษำในคดีแล้วเป็ นฟ้องแย้งเรือ่ งอื่น
.
(๒) ฟ้องแย้งทีม่ เี งือ่ นไข
ฎ.๙๕๖/๒๕๐๒ โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจำกห้องเช่ำ จำเลยต่อสูว้ ำ่ เช่ำเพือ่ อยู่
อำศัย และฟ้องแย้งว่ำ หำกจำเลยต้องออกจำกห้องเช่ำ โจทก์ตอ้ งชดใช้เงินค่ำซ่อมแซม
ให้จำเลย ดังนี้ ฟ้องแย้งของจำเลยมีเงือ่ นไข ให้ถอื เป็ นฟ้องแย้งต่อเมือ่ จำเลยถูกศำล
พิพำกษำให้ขบั ไล่ ฟ้องแย้งของจำเลยจะพิจำรณำรวมไปกับฟ้องเดิมไม่ได้ จะต้องรอจน
พิพำกษำขับไล่เสียก่อนแล้วจึงยกฟ้องแย้งขึน้ พิจำรณำได้ จึงไม่เป็ นฟ้องแย้ง(โดยชอบ)
ฎ.๔๓๓๕/๒๕๓๙ โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรือ้ รัว้ และจดทะเบียนทำงพิพำทให้เป็ น
ภำรจำยอมแก่โจทก์ จำเลยฟ้องแย้งกล่ำวอ้ำงว่ำโจทก์กระทำละเมิดโดยแกล้งฟ้อง
จำเลยเป็ นกำรใช้สทิ ธิไม่สจุ ริต ขอให้โจทก์ใช้คำ่ เสียหำย คำฟ้องแย้งศำลจะบังคับได้
ต่อเมือ่ พิพำกษำให้โจทก์แพ้คดีแล้ว จึงเป็ นฟ้องแย้งทีม่ เี งือ่ นไขไม่เกีย่ วกับฟ้องเดิม
.
(๓) กำรฟ้องแย้งขอให้บงั คับบุคคลภำยนอกกระทำไม่ได้ถอื ว่ำไม่เกีย่ วกับฟ้องเดิม
ฎ.๑๒๖๙/๒๕๐๐ โจทก์ฟ้องว่ำจำเลยเช่ำทีด่ นิ ของโจทก์สน้ิ อำยุกำรเช่ำแล้วจำเลย
ไม่ออกไป ขอให้ขบั ไล่และเรียกค่ำเสียหำย จำเลยให้กำรและฟ้องแย้งขอให้เรียก
เจ้ำของทีด่ นิ ข้ำงเคียงมำเป็ นคูค่ วำม และขอให้ศำลบังคับให้โจทก์กบั เจ้ำของทีด่ นิ
ข้ำงเคียงเพิกถอนกำรบอกเลิกสัญญำเช่ำ คำฟ้องแย้งเป็ นอีกเรือ่ งต่ำงหำกซึง่ ต้องว่ำ
กล่ำวเอำกับบุคคลภำยนอก หำเกีย่ วกับคำฟ้องของโจทก์ไม่ ส่วนคำขอทีใ่ ห้บงั คับ
บุคคลภำยนอกโดยเฉพำะไม่เกีย่ วกับโจทก์กช็ อบทีจ่ ำเลยไปฟ้องเป็ นคดีต่ำงหำก
.
(๔) ฟ้องแย้งไม่มสี ทิ ธิตำมกฎหมำยสำรบัญญัติ
ฎ.๔๘๐/๒๕๓๔ ฟ้องแย้งของจำเลยระบุชดั ว่ำ กำรเช่ำทีพ่ พิ ำทระหว่ำงโจทก์จำเลย
ไม่มหี ลักฐำนเป็ นหนังสือ จำเลยจึงไม่มอี ำนำจฟ้องแย้งให้บงั คับคดีเรียกค่ำเช่ำทีค่ ำ้ ง
จำกโจทก์ เพรำะต้องห้ำมตำมปพพ.มำตรำ ๕๓๘
ฎ.๑๘๑/๒๕๓๕ ทำสัญญำเช่ำ ๕ ฉบับ กำหนดเช่ำฉบับละสำมปีตดิ ต่อกันไป เป็ น
กำรทำเพือ่ หลีกเลีย่ งปพพ.มำตรำ ๕๓๘ ซึง่ บังคับให้จดทะเบียนต่อพนักงำนเจ้ำหน้ำที่
จำเลยผูเ้ ช่ำจะนำสัญญำดังกล่ำวฟ้องแย้งบังคับให้โจทก์ปฏิบตั ติ ำมสัญญำไม่ได้
.
(๕) ฟ้องแย้งในบำงกรณี ถือว่ำไม่มมี ลู จะฟ้องแย้งได้
ฎ.๑๐๐๔/๒๕๒๔ โจทก์ฟ้องเรียกเงินกูจ้ ำกจำเลย จำเลยให้กำรว่ำสำมีจำเลยเคยกู้
เงินโจทก์ สำมีจำเลยถึงแก่กรรม โจทก์มำยึดรถยนต์ของจำเลยไป และให้จำเลยออก
เงินค่ำซ่อมรถอีก ๑๐,๐๐๐บำท เพือ่ นำมำขำยชำระหนี้โจทก์ แต่โจทก์ไม่ซ่อมรถ จำเลย
จึงตีรำคำรถเป็ นเงิน ๖๐,๐๐๐ บำท หักทีเ่ อำไปแล้ว ๑๐,๐๐๐ บำท เหลือค่ำรถอีก
๕๐,๐๐๐ บำทจึงฟ้องแย้งเงินจำนวนดังกล่ำวคืน จำเลยไม่ได้ให้กำรรับว่ำจำเลยกูเ้ งิน
โจทก์ แม้จำเลยจะกล่ำวถึงหนี้เงินกูด้ ว้ ยก็เป็ นเรือ่ งกล่ำวอ้ำงขึน้ มำใหม่ไม่เกีย่ วกับ
สัญญำกูเ้ ดิม จึงรับฟ้องแย้งจำเลยไว้ไม่ได้
.
กรณีฟ้องแย้งเกีย่ วกับฟ้องเดิม
เป็นเรืองที
่ ฟ่ ้ องแย้งและฟ้องเดิมมีขอ้ หำหรือประเด็นอย่ำงเดียวกัน หรือพิพำทเกีย่ วกับ
ทรัพย์สนิ รำยเดียวกัน หรือกำรกระทำอันเดียวกัน
ฎ.๑๑๔๕/๒๕๐๘ โจทก์ฟ้องขอให้แสดงว่ำนิตกิ รรมขำยฝำกทีด่ นิ และสิง่ ปลูกสร้ำงเป็ น
โมฆะ โดยอ้ำงว่ำสัญญำขำยฝำกและสัญญำเช่ำเป็ นนิตกิ รรมอำพรำง ให้แก้ทะเบียนกลับเป็ น
ของโจทก์ จำเลยให้กำรว่ำเป็ นสัญญำขำยฝำกและสัญญำเช่ำทีส่ มบูรณ์ไม่ใช่นิตกิ รรมอำพรำง
ซึง่ สัญญำเช่ำสิน้ สุดแล้ว และฟ้องแย้งขอให้ขบั ไล่นนั ้ เห็นได้ชดั ว่ำเป็ นทีด่ นิ ทีข่ ำยฝำกและเช่ำที่
โจทก์ฟ้องเรียกคืนนั ่นเอง จึงเป็ นกรณีเกีย่ วกับฟ้องเดิมซึง่ จำเลยฟ้องแย้งมำในคำให้กำรได้
ฎ.๑๒๗๑-๑๒๗๒/๒๕๐๙ โจทก์ฟ้องเรียกเงินกูจ้ ำกจำเลย จำเลยรับว่ำกูจ้ ริงแต่ต่อสูว้ ำ่
โจทก์ยงั เป็ นหนี้คำ่ จ้ำงว่ำควำม ค่ำเดินทำงและค่ำอำหำร ขอหักกลบลบหนี้และฟ้องแย้งขอให้
ชำระเงินค่ำว่ำควำม ค่ำเดินทำงและค่ำอำหำรนัน้ ฟ้องแย้งเกีย่ วกับฟ้องเดิม (ฎ.๔๖๐/๒๔๙๙)
.
ฎ.๒๗๐๐/๒๕๓๕ โจทก์ฟ้องว่ำจำเลยผิดสัญญำเช่ำซือ้ จำเลยต่อสูว้ ำ่ โจทก์เป็ น
ฝำ่ ยผิดสัญญำและฟ้องแย้งบังคับให้โจทก์โอนกรรมสิทธิที์ ด่ นิ ทีเ่ ช่ำซือ้ หำกไม่ปฏิบตั ใิ ห้
ถือคำพิพำกษำแทนกำรแสดงเจตนำ หำกไม่สำมำรถโอนให้โจทก์ใช้คำ่ เสียหำย เป็ น
ฟ้องแย้งทีเ่ กีย่ วกับฟ้องเดิม และไม่มเี งือ่ นไข หำกเป็ นคำขอในฟ้องแย้งอีกข้อหนึ่ง เมือ่
บังคับตำมข้อแรกไม่ได้ ซึง่ แล้วแต่ศำลจะพิพำกษำให้จำเลยชนะมำกน้อยเพียงใด
.
ข้อสังเกต
- ผูม้ สี ทิ ธิฟ้องแย้งคือจำเลย หำกจำเลยมอบอำนำจให้บุคคลอื่นกระทำกำรแทน
ใดๆแล้วคนนัน้ ถูกฟ้องในฐำนะเป็ นผูร้ บั มอบอำนำจหรือตัวแทนจำเลย ผูน้ นั ้ จะฟ้องแย้ง
แทนจำเลยได้หรือไม่ตอ้ งพิจำรณำจำกกำรมอบอำนำจหรือกำรแต่งตัง้ ตัวแทน
ฎ.๑๙๗๓/๒๔๙๔ หนังสือมอบอำนำจมีขอ้ ควำมว่ำ “มีอำนำจเป็ นโจทก์ฟ้องคดี
ทัง้ หลำยแทนตัวข้ำพเจ้ำได้ทุกเรือ่ งทุกศำล และมีอำนำจประนีประนอมยอมควำม ทัง้ มี
อำนำจแต่งทนำยแก้ต่ำงว่ำต่ำงได้ดว้ ย” เมือ่ โจทก์ฟ้องจำเลยเกีย่ วพันเรือ่ งจำนอง
จำเลยก็มอี ำนำจสูค้ ดีรวมทัง้ ฟ้องแย้งให้โจทก์ไปจดทะเบียนกำรไถ่ถอนจำนองได้ แม้
จำเลยจะมิได้ใช้ถอ้ ยคำให้ฟ้องแย้งแทนตัวกำร
.
ฎ.๕๘๘/๒๕๑๓ โจทก์เช่ำซือ้ รถไปจำกจำเลย จำเลยยึดรถคืน โจทก์จงึ ฟ้องจำเลย
ให้คนื เงินมัดจำและเงินผ่อนชำระ เมือ่ จำเลยเป็ นเพียงตัวแทนและมิได้รบั มอบอำนำจ
จำกตัวกำรให้ฟ้องแย้ง จำเลยก็ไม่มอี ำนำจฟ้องแย้งได้
- ผูร้ อ้ งสอดตำมมำตรำ ๕๗ (๓) มีสทิ ธิให้กำรและฟ้องแย้งได้ตำมมำตรำ ๑๗๗
วรรคท้ำย ส่วนผูร้ อ้ งสอดตำมมำตรำ ๕๗ (๑) และ (๒) นัน้ มีสองควำมเห็น แต่ทงั ้ นี้
ฎ.๑๖๓/๒๕๐๗ (ป.) วินิจฉัยว่ำสำมำรถกระทำได้
-ผูส้ บื สันดำนจะฟ้องแย้งบุพกำรีไม่ได้เพรำะเป็ นคดีอุทลุมต้องห้ำมตำมปพพ.
มำตรำ ๑๕๖๒ แต่หำกผูส้ บื สันดำนกระทำกำรแทนบุคคลอื่นหรือผูบ้ ุพกำรีกระทำกำร
แทนผูอ้ ่นื ไม่ตอ้ งห้ำม (ฎ.๑๗๐๗/๒๕๑๕ (ป.),ฎ.๒๕๐๕/๒๕๑๕)
.
- ฟ้องแย้งเป็ นเรือ่ งจำเลยขอให้บงั คับโจทก์ จะขอให้บงั คับจำเลยด้วยกันไม่ได้(ฎ.
๓๐๔๕/๒๕๓๐)
- จำเลยผูฟ้ ้ องแย้งต้องเสียค่ำธรรมเนียมศำล คือ ค่ำขึน้ ศำลตำมทุนทรัพย์ทฟ่ี ้ อง
แย้งเช่นเดียวกับกำรยืน่ ฟ้องธรรมดำ
- หำกฟ้องแย้งเกินอำนำจศำลทีร่ บั ฟ้องไว้ หรือศำลทีร่ บั ฟ้องโจทก์ไม่มอี ำนำจ
พิจำรณำพิพำกษำฟ้องแย้ง จำเลยก็ไม่สำมำรถฟ้องแย้งมำในคำให้กำรได้
(ฎ.๕๖๑/๒๔๙๑)
- เมือ่ รับฟ้องแย้งแล้วก็ตอ้ งส่งสำเนำฟ้องแย้ง และโจทก์ตอ้ งยืน่ คำให้กำรแก้ฟ้อง
แย้งตำมมำตรำ ๑๗๘ ด้วย