รศ.ดร.ทวีศักดิ์ จินดานุรักษ์ รศ.ดร.นวลจิตต์ เชาวกีรติพงศ์ ทาไมสั งคมต่ างๆ ในโลก จึงแตกต่ างกัน ? ทาไมสั งคมต่ างๆ ในโลก จึงแตกต่ างกัน ?  แตกต่ างกันโดยบังเอิญ  แตกต่ างเพราะคุณภาพ ของคนในสั งคมนั้นๆ.

Download Report

Transcript รศ.ดร.ทวีศักดิ์ จินดานุรักษ์ รศ.ดร.นวลจิตต์ เชาวกีรติพงศ์ ทาไมสั งคมต่ างๆ ในโลก จึงแตกต่ างกัน ? ทาไมสั งคมต่ างๆ ในโลก จึงแตกต่ างกัน ?  แตกต่ างกันโดยบังเอิญ  แตกต่ างเพราะคุณภาพ ของคนในสั งคมนั้นๆ.

รศ.ดร.ทวีศักดิ์ จินดานุรักษ์
รศ.ดร.นวลจิตต์ เชาวกีรติพงศ์
ทาไมสั งคมต่ างๆ ในโลก
จึงแตกต่ างกัน ?
ทาไมสั งคมต่ างๆ ในโลก
จึงแตกต่ างกัน ?
 แตกต่ างกันโดยบังเอิญ
 แตกต่ างเพราะคุณภาพ
ของคนในสั งคมนั้นๆ
ทาไมสั งคมต่ างๆ ในโลกจึงแตกต่ างกัน ?
ความแตกต่ างระหว่ าง
ประเทศ รวยทีส่ ุ ด : จนทีส่ ุ ด
ปี 1750 เท่ ากับ 5
:ปี12000 เท่ ากับ 400 : 1
เหตุ : การปฎิวตั อิ ุตสาหกรรม (Industrial Revolution)
แหล่ ง : Juan Enriquez (As The Future Catches You)
ค่ าแรงงาน : ชั่วโมง (หน่ วย US Dollar)
ปี
เม็กซิโก
ไต้ หวัน
1975 1.47
1990 1.58
1999 2.12
0.40
3.93
5.62
เกาหลีใต้ สิ งคโปร์
0.32
3.71
6.71
0.84
3.78
7.18
แหล่ ง : Juan Enriquez (As The Future Catches You)
บริโภคนิยม
1
2
ตามอย่ าง
สร้ างสรรค์
3
4
ผลผลิตนิยม
Billgate
ปัญหาการคิดในปัจจุบัน
1. คิดผิด (ทาตามทีค่ ดิ แล้ วไม่ ได้ สิ่งทีต่ ้ องการ)
2. คิดไม่ เป็ น (ชอบลอกเลียนแบบ)
3. ไม่ คดิ (ทางานทีไ่ ม่ จาเป็ นต้ องคิด)
4. คิดแล้ วไม่ ทา (ไม่ แก้ ปัญหาซ้าซากทีเ่ กิดแล้ วเกิดอีก)
สาเหตุทที่ าให้ คนคิดไม่ เป็ น
1. บรรยากาศการเรียนแบบท่ องจา
2. ครู ไม่ ชอบให้ นักเรียนโต้ แย้ ง
3. ไม่ มหี ลักสู ตรการสอนในเรื่องเกีย่ วกับการคิด
อย่ างเฉพาะเจาะจง
4. ไม่ มกี ารส่ งเสริมการอ่ านอย่ างกว้ างขวาง
มาตรฐานที่ 4 ผู้เรียนมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์
คิดสั งเคราะห์ มีวิจารณญาณ มีความคิดสร้ างสรรค์
คิดไตร่ ตรอง และมีวสิ ั ยทัศน์
ตัวบ่ งชี้
1. ผู้เรียนมีทกั ษะการคิดวิเคราะห์
2. ผู้เรียนมีทกั ษะการคิดสั งเคราะห์
3. ผู้เรียนมีทกั ษะการคิดอย่ างมีวจิ ารณญาณ และคิด
ไตร่ ตรอง
4. ผู้เรียนมีทกั ษะการคิดสร้ างสรรค์ และจินตนาการ
คาถาม
1. การคิดคืออะไร
2. สมรรถภาพความสามารถในการคิด
ของเด็กไทยเป็ นอย่ างไร
3. การสอนคิดทาได้ อย่ างไร
การคิดคืออะไร
1. กระบวนการทางสมองจัดกระทาสิ่ งเร้ าที่เข้ ามา
2. กระบวนการทางสติปัญญาของบุคคลทีใ่ ช้ สร้ างความหมาย
ความเข้ าใจ สภาพสิ่ งต่ างๆ ทีบ่ ุคคลได้ รับจากประสบการณ์
3. กระบวนการ/วิธีการ ไม่ ใช่ เนือ้ หา
4. งานเฉพาะตน ผู้เรียนต้ องดาเนินการเอง
5. ปัจจัยภายในทีส่ าคัญ มีอทิ ธิพลต่ อการกระทาและการ
แสดงออก (คิดอย่ างไรทาอย่ างนั้น)
6. กระบวนการทางธรรมชาติของมนุษย์ ทุกคนต้ องคิด
7. กระบวนการเรียนรู้
การรับข้ อมูล
ข้ อมูล
สั งเกต
สารวจ
รวบรวม
ข้ อมูล
สาระการเรียนรู้
การจัดกระทาในสมอง
จา, จัดลาดับ
เปรียบเทียบ
เชื่อมโยง
จัดหมวดหมู่
ผสมผสาน
กระบวนการเรียนรู้
การถ่ ายทอด
บรรยาย
อธิบาย
ขยายความ
สรุ ปย่ อ
แสดงออกด้ วยวิธีต่างๆ
ให้ เหตุผล
ผลของการเรียนรู้
How powerful are brain ?
“ไอสไตน์
สมองซีกซ้ าย
ภาษาการฟัง
ความจา ตัวเลข
การวิเคราะห์ และเหตุผล
การจัดลาดับ
รายละเอียด แยกแยะ
(a tree)
สมองซีกขวา
การจินตนาการ
ความคิดสร้ างสรรค์
อารมณ์ ความรู้ สึก
มิตสิ ั มพันธ์ (การเคลือ่ น
ภาพรวม (a forest))
HHHHHHHHHHHHHHHHHHHHHHHH
HHHHHHHHHHHHHHHHHHHHHHHH
HHHHH
HHHHH
HHHHHHHHHHHHHH
HHHHHHHHHHHHHH
HHHHH
HHHHH
HHHHHHHHHHHHHHHHHHHHHHHH
HHHHHHHHHHHHHHHHHHHHHHHH
เซลล์ สมอง
แรกเกิดเซลล์ สมองมีประมาณแสนล้านเซลล์
มีเส้ นใยเชื่อมโยงไม่ มากนัก
เมื่อเติบโตจานวนเซลล์ สมองไม่ เพิม่ แต่ มีการ
ขยายตัวของสายใยประสาท
การสร้ างสายใยประสาทของเด็กทาได้ เร็วกว่ าผู้ใหญ่
โดยเฉพาะเมื่อถูกกระตุ้น ใยประสาทจะแข็งแรงและเพิม่
จานวนมากขึน้
สมองจะเกิดการเรียนรู้ เมื่อเซลล์ สมอง 2 เซลล์
ส่ งผ่ านข้ อมูลติดต่ อซึ่งกันและกันโดยผ่ านทางสายใยส่ ง
ข้ อมูล (AXON) ไปยังสายใยรับข้ อมูล (DENDRITES)
ปริมาณของจุดเชื่อมต อมีการเปลีย่ นแปลง
เพิม่ ขึน้ และลดลงอยู เรื่อยๆ
แต จะอยู ที่ 18,000 จุด
เชื่อมต อต อเซลล สมอง 1 ตัว
จนกระทัง่ ลูกอายุประมาณ 10 - 11 ปี
การเสื่ อมสมรรถภาพของสมอง
แม้ ว่าจานวนเซลล์ สมองเท่ าเดิม แต่ อาจสู ญเสี ย
การติดต่ อสื่ อสารระหว่ างเซลล์ จากการไม่ ได้ ถูกกระตุ้น
หรือถูกใช้ โดยเฉพาะในวัยทีก่ าลังเจริญเติบโต
เราจะสู ญเสี ยความทรงจา ศักยภาพทางการคิด
การแก้ ปัญหา ความคิดสร้ างสรรค์ ไหวพริบของเด็กไทย
จะอ่ อนด้ อย เพราะระบบการเรียนการสอนทีไ่ ม่ เปิ ดโอกาส
ให้ เด็ก หัดคิดแก้ ปัญหา ได้ ใช้ จินตนาการตามความ
ต้ องการตามวัย
แบบวิเคราะห์ ความถนัดของสมอง
1. ชอบวิเคราะห์
2.มองการณ์ไกล
3.ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์
4.ชอบเป็ นต้นแบบไม่ซ้ าใคร
5. วิพากษ์วิจารณ์
6. คิดอย่างมีเหตุผล
7.มีทกั ษะทางศิลปะ
8.คิดสร้างสรรค์
9.คิดตามความเป็ นจริ ง
10.ช่างจินตนาการ
A+D
A
D
(ให้เลือกได้ 10 ข้อ)
11.มีความเทียงตรง
12ชอบดนตรี
13.อนุรักษ์นิยม
14.มีมนุษยสัมพันธ์
15.ละเอียดลออ
16.เทีอารมณ์
่ยงตรง รุนแรง
17.เชื่อถือได้
18.ชอบแสดงความคิดเห็น
19.เจ้าอารมณ์
20.ควบคุมตนเอง
B+C
B
C
A+D =
A
D
D+C=
A+B=
C
B
B+C=
สมองด้ านขวาทีก่ าหนดการรับรู้
สมองด้ านซ้ ายทีก่ าหนดการรับรู้
วิพากษ์ วจิ ารณ์
คิดเป็ นเหตุเป็ นผล
คิดตามความจริง
คานึงถึงเหตุผลไม่ ใช้ อารมณ์
ชอบวิเคราะห์
อนุรักษ์ นิยม
ควบคุมตนเอง
ละเอียดลออ
เชื่อถือได้
เทีย่ งตรง
สมองด้ านซ้ ายทีก่ าหนดอารมณ์
มีทกั ษะทางศิลปะ
ชอบเป็ นต้ นแบบ
มีความคิดสร้ างสรรค์
มองการณ์ ไกล
ช่ างจินตนาการ
มีมนุษยสั มพันธ์
แสดงความเห็น
เจ้ าอารมณ์
อารมณ์ รุนแรง
ชอบดนตรี
สมองด้ านขวาทีก่ าหนดอารมณ์
การเจริญเติบโตที่ดขี องสมอง
การมีปฏิกริ ิยาต่ อสั งคม การเลีย้ งดูทดี่ ี
การสั มผัสทีอ่ ่ อนโยน การใช้ สมองทางานต่ างๆ ที่
ท้ าทาย และการเล่ นต่ างๆ การทากิจกรรมกลุ่ม ล้ วน
มีผลต่ อการเจริญเติบโตของสมองและใยประสาท
ไม่ ว่าจะเป็ นที่บ้าน โรงเรียน ทีท่ างาน ซึ่งมีผล
อย่ างมากต่ อการเรียนรู้
ความเครียดและการลัดวงจรในสมอง
สารเคมีที่หลัง่ ออกมาเวลาเครียด จะ
หยุดยั้งการทางานของสารส่ งสัญญาณทาง
ประสาทในภาวะปกติ จะมีการส่ งสั ญญาณ
ลัดวงจรเกิดขึน้
สารเคมีในสมอง
1. กลุ่มกระตุ้นสมอง ได้ แก่
SEROTONIN ENDORPHINE
ACETYLCHOLINE DOPAMINE ฯลฯ
2. กลุ่มกดการทางานของสมอง ได้ แก่
ADRENALINE CORTISOL
ผลจากสารกระตุ้นสมอง
- ควบคุมความประพฤติ การแสดงออกอารมณ์
- ทาให้ สมองตืน่ ตัว มีความสุ ข
- รับข้ อมูลข่ าวสาร เร็ว และง่ าย
- รู้ สึกดี เกิดภูมิต้านทาน สุ ขภาพแข็งแรง
จะหลัง่ มากเมื่อ
ออกกาลังกาย ได้ รับคาชมเชย ได้ ร้องเพลง
ได้ เล่ นเป็ นกลุ่ม ได้ อยู่ในสิ่ งแวดล้ อมทีด่ ี ได้ รับสั มผัสที่
อบอุ่น มีความรู้ สึกทีด่ ตี ่ อตัวเอง ได้ เล่ นดนตรี และเรียนศิลปะ
มีความสั มพันธ์ ที่ดกี บั คนอืน่
ผลของสารกดการทางานของสมอง
- ยับยั้งการส่ งข้ อมูลของเซลล์ สมอง
- ยับยั้งการเจริญเติบโตของใยสมอง
- คิดไม่ ออก จาไม่ ได้
- ภูมติ ้ านทานโรคตา่ เป็ นภูมแิ พ้ มะเร็งง่ าย
- เซลล์ สมอง ใยสมองถูกทาลาย
- เด็กเป็ น HYPERACTIVE
ปัจจัยที่ส่งเสริมการทางานสมอง
1. นา้
2. อาหาร
3. ความผ่ อนคลาย
4. การบริหารสมอง
คลืน่ สมอง
1. BETA WAVES ( )
2. ALPHA WAVES ( )
3. THETA WAVES ( )
4. DELTA WAVES ( )
1. BETA WAVES ( ) >=12 Hz
เป็ นคลืน่ ทีม่ ีความเร็วสู งสุ ด แต่ ช่วงคลืน่ สั้ น คลืน่ นี้
จะเกิดขึน้ ถ้ าร่ างกายและจิตใจไม่ สงบ สั บสน ทาให้ เกิดการ
จาระยะสั้ น เรียนรู้ ยาก
2. ALPHA WAVES  ( ) 8-12 Hz
ถ้ าจิตใจ ร่ างกายสงบ มีการผ่ อนคลาย พักผ่ อน
จะทาให้ เกิดความจาระยะยาว (ลึก) เกิดการเรียนรู้ ทงี่ ่ าย
และรวดเร็ว
3. THETA WAVES ( ) 4-8 Hz
คลืน่ นีจ้ ะเกิดขึน้ เมื่อมีการพักผ่ อนมากๆ ทาให้ เกิด
ความคิดสร้ างสรรค์ เกิด INSIGHT มีความสามารถในการ
แก้ ปัญหา เพิม่ ความจาระยะยาวและการระลึก
4. DELTA WAVES ( ) <=2 Hz
คลืน่ นีจ้ ะเกิดขึน้ เมื่อมีการนอนหลับ สมองจะทางาน
น้ อยมาก
การสร้ างความแข็งแกร่ งของการคิด
1. พัฒนาหลักสู ตรการคิดสาหรับครู เพือ่ ฝึ กสอนครู
ก่ อนสอน
2. ให้ ทุนครู เรียน/พัฒนาหลักสู ตรการคิดเพือ่ นามา
พัฒนาการสอน
3. มีการสอนคิด แทรกเข้ าไปในทุกวิชา
การเรียนการสอน : อภิปราย บรรยาย
ห้ องเรียน : หันหน้ าเข้ าหากัน
(เมื่อต้ องทางานด้ วยกัน)
4. การสอบ : อัตนัย 70%