ทฤษฎี ฮ อร์ นายเชิ ง ประยุ ก ต์ รองศาสตราจารย์ แสงสุรีย์ สาอางค์ กูล ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ด้ านโรคประสาท มีสาเหตุจากในครอบครัว คนเป็ นโรคประสาทเก็บกดปั ญหาไว้ ลกึ มากจนแก้ ไม่ได้

Download Report

Transcript ทฤษฎี ฮ อร์ นายเชิ ง ประยุ ก ต์ รองศาสตราจารย์ แสงสุรีย์ สาอางค์ กูล ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ด้ านโรคประสาท มีสาเหตุจากในครอบครัว คนเป็ นโรคประสาทเก็บกดปั ญหาไว้ ลกึ มากจนแก้ ไม่ได้

Slide 1

ทฤษฎี ฮ อร์ นายเชิ ง ประยุ ก ต์
รองศาสตราจารย์ แสงสุรีย์ สาอางค์ กูล
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

ด้ านโรคประสาท มีสาเหตุจากในครอบครัว คนเป็ นโรคประสาทเก็บกดปั ญหาไว้ ลกึ มากจนแก้
ไม่ได้ ทาให้ เกิดความวิตกกังวลขันพื
้ ้นฐาน (basic anxiety) โดยโรคประสาทเกิดจาก
ความสัมพันธ์ในครอบครัวโดยเฉพาะบิดา-มารดา
เนื่องจากการเลี ้ยงดูที่ผิดๆทาให้ คนเป็ นโรค
ประสาท และไม่มีความรู้สกึ รักและผูกพันกับคนในครอบครัวอย่างแท้ จริ งจึงมักมีความวิตกกังวล
อยู่ในใจลึกๆ โดยรวมเรี ยกว่าความวิตกกังวลพื ้นฐาน
วิธีลดความวิตกกังวลขัน้ พืน้ ฐานมี 3 วิธีคือ
1.หันเข้ าหาบุคคลอื่น เช่น คนไม่เห็นแก่ตวั เพื่อให้ เข้ ากับคนอื่นได้ แต่ในใจอาจมีความรู้สกึ เป็ นศัตรูอยู่
2.หลีกหนีจากบุคคลอื่น เช่น เป็ นคนอิสระไม่โต้ แย้ งหรื อประทุษร้ ายทาตัวเหมาะสม
3.ต่ อต้ านบุคคลอื่น เช่น การแก้ แค้ นไม่เป็ นมิตรกับใคร มีความฉลาดแกมโกง คนประเภทนี ้
จึงมักมีบคุ ลิกภาพก้ าวร้ าว
โดยคนปกติจะสามารถเลือกใช้ วิธีแก้ ไขได้ อย่างกลมกลืน
แต่คนเป็ นโรคประสาทมักเลือกใช้ วิธีเดียวเท่านัน้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

1.ด้ านโรคประสาทเชิงประยุกต์

1.
2.
3.
4.
5.
6.
7.

ต้ องการให้ “บุคคลอื่นรั กและเห็นพ้ องด้ วย”
ต้ องการให้ “คนอื่นชมเชยเป็ นการส่ วนตัว”
ต้ องการให้ “คนอื่นชมเชยเป็ นการส่ วนตัว”
ต้ องการ “จากัดชีวติ ตนให้ อยู่ในมุมแคบๆ ตลอดชีวติ ”
ต้ องการ “ความอิสระและทาให้ ตนได้ รับสิ่งต่ าง ๆ อย่ างเพียงพอ”
ต้ องการเป็ น “คนสมบูรณ์ แบบและไม่ ถกู รบกวน”
ต้ องการ “อานาจ”

ฮอร์ นาย ยั ง พบว่ า คนโรคประสาทมั ก มี ค วามต้ อ งการแบบประสาท คื อ
8. ต้ องการ ตักตวงผลประโยชน์ จากบุคคลอื่นหรื อทาลายบุคคลอื่น
9. ต้ องการ เกียรติยศชื่อเสียงและการยอมรั บจากสังคม
10. ต้ องการ พบความสาเร็จในเรื่ องส่ วนตัว

ความต้ องการทัง้ 10 ประการนี ้
ทาให้ คนโรคประสาทรู้สกึ ขัดแย้ งในใจ
เพราะเขามีความต้ องการมากเกินไป
ทาให้ เขาปรั บตัวเข้ ากับสังคมทั่วไปได้ ยาก และเกิดความวิตกกังวลได้ ง่าย
ในขณะที่ คนทัว่ ไปจะเลือกเดินทางสายกลาง
ฮอร์ นาย ยั ง พบว่ า คนโรคประสาทมั ก มี ค วามต้ อ งการแบบประสาท คื อ
สรุ ป คนโรคประสาทมักมีความวิตกกังวลพื ้นฐานมาตังแต่
้ เด็ก
และ ถูกเสริ มด้ วยวิธีเลี ้ยงดูที่กระทบกระเทือนจิตใจ

2.1 รากฐานทฤษฎีในการรั กษา

การรักษาความผิดปกติมีเป้าหมายคือ ช่วยแก้ ปัญหาความขัดแย้ งที่ถกู เก็บกดไว้ ใน
ส่วนลึกของจิตใจ โดยทาให้ คนโรคประสาทได้ มงุ่ ปล่อยพลังในทางสร้ างสรรค์ตาม
ศักยภาพของเขาให้ แสดงออกอย่างอิสระและได้ พฒ
ั นาผลงานนัน้ ๆ เรี ยนรู้ การ
แก้ ปัญหาที่เป็ นเหตุให้ เขาเพิ่มความคับข้ องใจและการดูถกู ตนเองตลอดจนซ่อนพลัง
ความสามารถที่แท้ จริงไว้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

2.2 กระบวนการรักษา
ฮอร์ นาย มีกระบวนการรักษาคือการใช้ เทคนิคความสัมพันธ์อิสระหรื อการฟั งอย่างตัง้ ใจ(free
association) และการตีความ(interpretation) ซึง่ คล้ ายกับฟรอยด์
และยังมี
กระบวนการที่แตกต่างคือการสนับสนุนให้ ผ้ ปู ่ วยวิเคราะห์ตนเอง (self analysis) และเตือน
ว่าการเน้ นประสบการณ์วยั เด็กมากเกินไปซึง่ เป็ นการเปิ ดเผยภาวะจิตไร้ สานึกนันท
้ าให้ ผ้ ปู ่ วยไม่
สบายใจมากแต่ก็ไม่มีประโยชน์ในการรักษา การรักษาตามแบบของฮอร์ นายเน้ นว่า จะต้ องไม่
ละเลยการทาความเข้ าใจค่านิยมทางจริ ยธรรมของผู้ป่วยด้ วย เพราะความมัน่ คงทางใจของบุคคล
จะเกิดขึ ้นได้ จากการสร้ างหลักศีลธรรมประจาใจ
2.3 การตีความความฝั น
ความฝั นเป็ นการชดเชยภาพตนให้ เกินความจริ งการทราบความฝั นของคนไข้ ทาให้ ผ้ รู ักษามองเห็น
ว่าคนไข้ ปรารถนาจะรักษาความวางเฉยเอาไว้ และต้ องการตาหนิตนที่ต้องพบกับความลาบาก
ต่างๆในการติดต่อเกี่ยวข้ องกับบุคคลอื่น โดยชอบใช้ วิธีโทษสิ่งแวดล้ อม

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

2.4 ลาดับขัน้ การรักษา
มีการรักษาอยู่2ขันใหญ่

ๆคือ
ขันแรก

คือ กระตุ้นให้ คนไข้ สามารถตีความเกี่ยวกับแนวโน้ มที่ขดั กันต่างๆที่เขาเก็บกดไว้
ขันที
้ ่สอง เป็ นขันที
้ ่ยินยอมให้ คนไข้ พิจารณาภาวะความขัดแย้ งในใจและรับทราบเกี่ยวกับความ
ปรารถนาที่แท้ จริ งของตนเอง

2.5 การต้ านทานและถ่ ายเทความรู้สึก
เรื่ องนี ้ฮอร์ นายมีความเห็นคล้ ายฟรอยด์ คือ เห็นว่าภาวะต้ านทานและการถ่ายเทความรู้สกึ ทาให้
เกิดปั ญหารุนแรงในการรักษาแต่ในที่สดุ แล้ วผู้รักษาต้ องชักจูงคนไข้ แก้ ปัญหาด้ วยตนเองได้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

ฮอร์ นาย อธิบายว่าการแสดงบทบาทของหญิงซึง่ แตกต่างจากชายนันเป็
้ นเพราะ
อิทธิพลของการฝึ กอบรมจากสังคมมากกว่าอิทธิพลทางชีววิทยาของเพศ

4.กลวิธีแก้ ปัญหาอาการของโรคเบาหวาน
ในการสารวจดูกระบวนการปรับตัวของผู้ป่วยคณะแพทย์ผ้ วู ิจยั พบว่าผู้ป่วยมีการ
ปรับตัว 3 แบบที่มีลกั ษณะคล้ ายคลึงกับลีลารูปแบบของการแก้ ปัญหาความสัมพันธ์
ระหว่างบุคคลตามแนวคิดฮอร์ นายได้ แก่การเข้ าหาบุคคลอื่นเพื่อทาตัวเป็ นผู้ที่ต้อง
พึง่ พิงความต้ องการต่อต้ านคนอื่นด้ วยการไม่สนใจความช่วยเหลือของเขาและการ
หลีกหนีจากคนอื่นโดยการแยกตัวไปเข้ าโครงการบาบัดรักษา

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

3. จิตวิทยาเกี่ยวกับสตรีเพศ

ตัวตนจริ ง เป็ นอะไรก็ได้ ที่บคุ คลนัน้ เชื่อว่า เป็ นความจริ งและเอกลักษณ์ของตนเอง
ส่วนตัวในอุดมคติคือ การรับรู้ของปั จเจกบุคคลที่เขาอยากให้ ตนเองเป็ นอย่างไร
ตามแนวคิดฮอร์ นายในด้ านการปรับตัวของบุคลิกภาพของมนุษย์นนอธิ
ั ้ บายได้ โดย
มองที่ระดับของความเหลื่อมล ้ามากก็จะมีความสาเร็ จในด้ านการปรับตัวมาก ในด้ าน
บุคลิกภาพการปรับตัวที่ไม่สาเร็ จหมายถึงการเน้ นให้ ชีวิตของตนปฏิบตั ิในสิง่ ที่เหมาะที่
ควรตามที่สงั คมได้ กาหนดมากเกินไปบุคคลประเภทนี ้จะแสดงพฤติกรรมไปตามตัวตน
ในอุดมคติมากเกินไปจนละเลยการประพฤติปฏิบตั ิตนไปตามตัวตนที่แท้ จริ ง

6. การประยุกต์ ใช้ กับพฤติกรรมของผู้ซอื ้
โดยใช้ ทฤษฎีฮอร์ นาย เกี่ยวกับหลัก 3 ประการ
ของรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
มาช่วยอธิบายพฤติกรรมของผู้ซื ้อ

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

5. ธรรมชาติของการปรับบุคลิกภาพ

ทุกคนมีความต้ องการหลายชนิดเหมือนๆ กัน
หากแต่
คนที่มีความสุขทังทางกายและใจ

มีความต้ องการในปริมาณที่พอดี พอเพียง พอเหมาะ เท่านันเอง

หรื อ อาจเทียบได้ กบั หลักพุทธศาสนา ที่วา่
“มัชฌิมาปฏิปทา”
ดังนัน้ จึงเป็ นแนวคิดที่เป็ นสัจจธรรม
ทังในแนวคิ

ดพุทธ นักปราชญ์ตะวันตก และแนวคิด/ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
รองศาสตราจารย์แสงสุรีย์ สาอางค์กลู

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

สรุ ป


Slide 2

ทฤษฎี ฮ อร์ นายเชิ ง ประยุ ก ต์
รองศาสตราจารย์ แสงสุรีย์ สาอางค์ กูล
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

ด้ านโรคประสาท มีสาเหตุจากในครอบครัว คนเป็ นโรคประสาทเก็บกดปั ญหาไว้ ลกึ มากจนแก้
ไม่ได้ ทาให้ เกิดความวิตกกังวลขันพื
้ ้นฐาน (basic anxiety) โดยโรคประสาทเกิดจาก
ความสัมพันธ์ในครอบครัวโดยเฉพาะบิดา-มารดา
เนื่องจากการเลี ้ยงดูที่ผิดๆทาให้ คนเป็ นโรค
ประสาท และไม่มีความรู้สกึ รักและผูกพันกับคนในครอบครัวอย่างแท้ จริ งจึงมักมีความวิตกกังวล
อยู่ในใจลึกๆ โดยรวมเรี ยกว่าความวิตกกังวลพื ้นฐาน
วิธีลดความวิตกกังวลขัน้ พืน้ ฐานมี 3 วิธีคือ
1.หันเข้ าหาบุคคลอื่น เช่น คนไม่เห็นแก่ตวั เพื่อให้ เข้ ากับคนอื่นได้ แต่ในใจอาจมีความรู้สกึ เป็ นศัตรูอยู่
2.หลีกหนีจากบุคคลอื่น เช่น เป็ นคนอิสระไม่โต้ แย้ งหรื อประทุษร้ ายทาตัวเหมาะสม
3.ต่ อต้ านบุคคลอื่น เช่น การแก้ แค้ นไม่เป็ นมิตรกับใคร มีความฉลาดแกมโกง คนประเภทนี ้
จึงมักมีบคุ ลิกภาพก้ าวร้ าว
โดยคนปกติจะสามารถเลือกใช้ วิธีแก้ ไขได้ อย่างกลมกลืน
แต่คนเป็ นโรคประสาทมักเลือกใช้ วิธีเดียวเท่านัน้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

1.ด้ านโรคประสาทเชิงประยุกต์

1.
2.
3.
4.
5.
6.
7.

ต้ องการให้ “บุคคลอื่นรั กและเห็นพ้ องด้ วย”
ต้ องการให้ “คนอื่นชมเชยเป็ นการส่ วนตัว”
ต้ องการให้ “คนอื่นชมเชยเป็ นการส่ วนตัว”
ต้ องการ “จากัดชีวติ ตนให้ อยู่ในมุมแคบๆ ตลอดชีวติ ”
ต้ องการ “ความอิสระและทาให้ ตนได้ รับสิ่งต่ าง ๆ อย่ างเพียงพอ”
ต้ องการเป็ น “คนสมบูรณ์ แบบและไม่ ถกู รบกวน”
ต้ องการ “อานาจ”

ฮอร์ นาย ยั ง พบว่ า คนโรคประสาทมั ก มี ค วามต้ อ งการแบบประสาท คื อ
8. ต้ องการ ตักตวงผลประโยชน์ จากบุคคลอื่นหรื อทาลายบุคคลอื่น
9. ต้ องการ เกียรติยศชื่อเสียงและการยอมรั บจากสังคม
10. ต้ องการ พบความสาเร็จในเรื่ องส่ วนตัว

ความต้ องการทัง้ 10 ประการนี ้
ทาให้ คนโรคประสาทรู้สกึ ขัดแย้ งในใจ
เพราะเขามีความต้ องการมากเกินไป
ทาให้ เขาปรั บตัวเข้ ากับสังคมทั่วไปได้ ยาก และเกิดความวิตกกังวลได้ ง่าย
ในขณะที่ คนทัว่ ไปจะเลือกเดินทางสายกลาง
ฮอร์ นาย ยั ง พบว่ า คนโรคประสาทมั ก มี ค วามต้ อ งการแบบประสาท คื อ
สรุ ป คนโรคประสาทมักมีความวิตกกังวลพื ้นฐานมาตังแต่
้ เด็ก
และ ถูกเสริ มด้ วยวิธีเลี ้ยงดูที่กระทบกระเทือนจิตใจ

2.1 รากฐานทฤษฎีในการรั กษา

การรักษาความผิดปกติมีเป้าหมายคือ ช่วยแก้ ปัญหาความขัดแย้ งที่ถกู เก็บกดไว้ ใน
ส่วนลึกของจิตใจ โดยทาให้ คนโรคประสาทได้ มงุ่ ปล่อยพลังในทางสร้ างสรรค์ตาม
ศักยภาพของเขาให้ แสดงออกอย่างอิสระและได้ พฒ
ั นาผลงานนัน้ ๆ เรี ยนรู้ การ
แก้ ปัญหาที่เป็ นเหตุให้ เขาเพิ่มความคับข้ องใจและการดูถกู ตนเองตลอดจนซ่อนพลัง
ความสามารถที่แท้ จริงไว้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

2.2 กระบวนการรักษา
ฮอร์ นาย มีกระบวนการรักษาคือการใช้ เทคนิคความสัมพันธ์อิสระหรื อการฟั งอย่างตัง้ ใจ(free
association) และการตีความ(interpretation) ซึง่ คล้ ายกับฟรอยด์
และยังมี
กระบวนการที่แตกต่างคือการสนับสนุนให้ ผ้ ปู ่ วยวิเคราะห์ตนเอง (self analysis) และเตือน
ว่าการเน้ นประสบการณ์วยั เด็กมากเกินไปซึง่ เป็ นการเปิ ดเผยภาวะจิตไร้ สานึกนันท
้ าให้ ผ้ ปู ่ วยไม่
สบายใจมากแต่ก็ไม่มีประโยชน์ในการรักษา การรักษาตามแบบของฮอร์ นายเน้ นว่า จะต้ องไม่
ละเลยการทาความเข้ าใจค่านิยมทางจริ ยธรรมของผู้ป่วยด้ วย เพราะความมัน่ คงทางใจของบุคคล
จะเกิดขึ ้นได้ จากการสร้ างหลักศีลธรรมประจาใจ
2.3 การตีความความฝั น
ความฝั นเป็ นการชดเชยภาพตนให้ เกินความจริ งการทราบความฝั นของคนไข้ ทาให้ ผ้ รู ักษามองเห็น
ว่าคนไข้ ปรารถนาจะรักษาความวางเฉยเอาไว้ และต้ องการตาหนิตนที่ต้องพบกับความลาบาก
ต่างๆในการติดต่อเกี่ยวข้ องกับบุคคลอื่น โดยชอบใช้ วิธีโทษสิ่งแวดล้ อม

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

2.4 ลาดับขัน้ การรักษา
มีการรักษาอยู่2ขันใหญ่

ๆคือ
ขันแรก

คือ กระตุ้นให้ คนไข้ สามารถตีความเกี่ยวกับแนวโน้ มที่ขดั กันต่างๆที่เขาเก็บกดไว้
ขันที
้ ่สอง เป็ นขันที
้ ่ยินยอมให้ คนไข้ พิจารณาภาวะความขัดแย้ งในใจและรับทราบเกี่ยวกับความ
ปรารถนาที่แท้ จริ งของตนเอง

2.5 การต้ านทานและถ่ ายเทความรู้สึก
เรื่ องนี ้ฮอร์ นายมีความเห็นคล้ ายฟรอยด์ คือ เห็นว่าภาวะต้ านทานและการถ่ายเทความรู้สกึ ทาให้
เกิดปั ญหารุนแรงในการรักษาแต่ในที่สดุ แล้ วผู้รักษาต้ องชักจูงคนไข้ แก้ ปัญหาด้ วยตนเองได้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

ฮอร์ นาย อธิบายว่าการแสดงบทบาทของหญิงซึง่ แตกต่างจากชายนันเป็
้ นเพราะ
อิทธิพลของการฝึ กอบรมจากสังคมมากกว่าอิทธิพลทางชีววิทยาของเพศ

4.กลวิธีแก้ ปัญหาอาการของโรคเบาหวาน
ในการสารวจดูกระบวนการปรับตัวของผู้ป่วยคณะแพทย์ผ้ วู ิจยั พบว่าผู้ป่วยมีการ
ปรับตัว 3 แบบที่มีลกั ษณะคล้ ายคลึงกับลีลารูปแบบของการแก้ ปัญหาความสัมพันธ์
ระหว่างบุคคลตามแนวคิดฮอร์ นายได้ แก่การเข้ าหาบุคคลอื่นเพื่อทาตัวเป็ นผู้ที่ต้อง
พึง่ พิงความต้ องการต่อต้ านคนอื่นด้ วยการไม่สนใจความช่วยเหลือของเขาและการ
หลีกหนีจากคนอื่นโดยการแยกตัวไปเข้ าโครงการบาบัดรักษา

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

3. จิตวิทยาเกี่ยวกับสตรีเพศ

ตัวตนจริ ง เป็ นอะไรก็ได้ ที่บคุ คลนัน้ เชื่อว่า เป็ นความจริ งและเอกลักษณ์ของตนเอง
ส่วนตัวในอุดมคติคือ การรับรู้ของปั จเจกบุคคลที่เขาอยากให้ ตนเองเป็ นอย่างไร
ตามแนวคิดฮอร์ นายในด้ านการปรับตัวของบุคลิกภาพของมนุษย์นนอธิ
ั ้ บายได้ โดย
มองที่ระดับของความเหลื่อมล ้ามากก็จะมีความสาเร็ จในด้ านการปรับตัวมาก ในด้ าน
บุคลิกภาพการปรับตัวที่ไม่สาเร็ จหมายถึงการเน้ นให้ ชีวิตของตนปฏิบตั ิในสิง่ ที่เหมาะที่
ควรตามที่สงั คมได้ กาหนดมากเกินไปบุคคลประเภทนี ้จะแสดงพฤติกรรมไปตามตัวตน
ในอุดมคติมากเกินไปจนละเลยการประพฤติปฏิบตั ิตนไปตามตัวตนที่แท้ จริ ง

6. การประยุกต์ ใช้ กับพฤติกรรมของผู้ซอื ้
โดยใช้ ทฤษฎีฮอร์ นาย เกี่ยวกับหลัก 3 ประการ
ของรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
มาช่วยอธิบายพฤติกรรมของผู้ซื ้อ

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

5. ธรรมชาติของการปรับบุคลิกภาพ

ทุกคนมีความต้ องการหลายชนิดเหมือนๆ กัน
หากแต่
คนที่มีความสุขทังทางกายและใจ

มีความต้ องการในปริมาณที่พอดี พอเพียง พอเหมาะ เท่านันเอง

หรื อ อาจเทียบได้ กบั หลักพุทธศาสนา ที่วา่
“มัชฌิมาปฏิปทา”
ดังนัน้ จึงเป็ นแนวคิดที่เป็ นสัจจธรรม
ทังในแนวคิ

ดพุทธ นักปราชญ์ตะวันตก และแนวคิด/ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
รองศาสตราจารย์แสงสุรีย์ สาอางค์กลู

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

สรุ ป


Slide 3

ทฤษฎี ฮ อร์ นายเชิ ง ประยุ ก ต์
รองศาสตราจารย์ แสงสุรีย์ สาอางค์ กูล
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

ด้ านโรคประสาท มีสาเหตุจากในครอบครัว คนเป็ นโรคประสาทเก็บกดปั ญหาไว้ ลกึ มากจนแก้
ไม่ได้ ทาให้ เกิดความวิตกกังวลขันพื
้ ้นฐาน (basic anxiety) โดยโรคประสาทเกิดจาก
ความสัมพันธ์ในครอบครัวโดยเฉพาะบิดา-มารดา
เนื่องจากการเลี ้ยงดูที่ผิดๆทาให้ คนเป็ นโรค
ประสาท และไม่มีความรู้สกึ รักและผูกพันกับคนในครอบครัวอย่างแท้ จริ งจึงมักมีความวิตกกังวล
อยู่ในใจลึกๆ โดยรวมเรี ยกว่าความวิตกกังวลพื ้นฐาน
วิธีลดความวิตกกังวลขัน้ พืน้ ฐานมี 3 วิธีคือ
1.หันเข้ าหาบุคคลอื่น เช่น คนไม่เห็นแก่ตวั เพื่อให้ เข้ ากับคนอื่นได้ แต่ในใจอาจมีความรู้สกึ เป็ นศัตรูอยู่
2.หลีกหนีจากบุคคลอื่น เช่น เป็ นคนอิสระไม่โต้ แย้ งหรื อประทุษร้ ายทาตัวเหมาะสม
3.ต่ อต้ านบุคคลอื่น เช่น การแก้ แค้ นไม่เป็ นมิตรกับใคร มีความฉลาดแกมโกง คนประเภทนี ้
จึงมักมีบคุ ลิกภาพก้ าวร้ าว
โดยคนปกติจะสามารถเลือกใช้ วิธีแก้ ไขได้ อย่างกลมกลืน
แต่คนเป็ นโรคประสาทมักเลือกใช้ วิธีเดียวเท่านัน้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

1.ด้ านโรคประสาทเชิงประยุกต์

1.
2.
3.
4.
5.
6.
7.

ต้ องการให้ “บุคคลอื่นรั กและเห็นพ้ องด้ วย”
ต้ องการให้ “คนอื่นชมเชยเป็ นการส่ วนตัว”
ต้ องการให้ “คนอื่นชมเชยเป็ นการส่ วนตัว”
ต้ องการ “จากัดชีวติ ตนให้ อยู่ในมุมแคบๆ ตลอดชีวติ ”
ต้ องการ “ความอิสระและทาให้ ตนได้ รับสิ่งต่ าง ๆ อย่ างเพียงพอ”
ต้ องการเป็ น “คนสมบูรณ์ แบบและไม่ ถกู รบกวน”
ต้ องการ “อานาจ”

ฮอร์ นาย ยั ง พบว่ า คนโรคประสาทมั ก มี ค วามต้ อ งการแบบประสาท คื อ
8. ต้ องการ ตักตวงผลประโยชน์ จากบุคคลอื่นหรื อทาลายบุคคลอื่น
9. ต้ องการ เกียรติยศชื่อเสียงและการยอมรั บจากสังคม
10. ต้ องการ พบความสาเร็จในเรื่ องส่ วนตัว

ความต้ องการทัง้ 10 ประการนี ้
ทาให้ คนโรคประสาทรู้สกึ ขัดแย้ งในใจ
เพราะเขามีความต้ องการมากเกินไป
ทาให้ เขาปรั บตัวเข้ ากับสังคมทั่วไปได้ ยาก และเกิดความวิตกกังวลได้ ง่าย
ในขณะที่ คนทัว่ ไปจะเลือกเดินทางสายกลาง
ฮอร์ นาย ยั ง พบว่ า คนโรคประสาทมั ก มี ค วามต้ อ งการแบบประสาท คื อ
สรุ ป คนโรคประสาทมักมีความวิตกกังวลพื ้นฐานมาตังแต่
้ เด็ก
และ ถูกเสริ มด้ วยวิธีเลี ้ยงดูที่กระทบกระเทือนจิตใจ

2.1 รากฐานทฤษฎีในการรั กษา

การรักษาความผิดปกติมีเป้าหมายคือ ช่วยแก้ ปัญหาความขัดแย้ งที่ถกู เก็บกดไว้ ใน
ส่วนลึกของจิตใจ โดยทาให้ คนโรคประสาทได้ มงุ่ ปล่อยพลังในทางสร้ างสรรค์ตาม
ศักยภาพของเขาให้ แสดงออกอย่างอิสระและได้ พฒ
ั นาผลงานนัน้ ๆ เรี ยนรู้ การ
แก้ ปัญหาที่เป็ นเหตุให้ เขาเพิ่มความคับข้ องใจและการดูถกู ตนเองตลอดจนซ่อนพลัง
ความสามารถที่แท้ จริงไว้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

2.2 กระบวนการรักษา
ฮอร์ นาย มีกระบวนการรักษาคือการใช้ เทคนิคความสัมพันธ์อิสระหรื อการฟั งอย่างตัง้ ใจ(free
association) และการตีความ(interpretation) ซึง่ คล้ ายกับฟรอยด์
และยังมี
กระบวนการที่แตกต่างคือการสนับสนุนให้ ผ้ ปู ่ วยวิเคราะห์ตนเอง (self analysis) และเตือน
ว่าการเน้ นประสบการณ์วยั เด็กมากเกินไปซึง่ เป็ นการเปิ ดเผยภาวะจิตไร้ สานึกนันท
้ าให้ ผ้ ปู ่ วยไม่
สบายใจมากแต่ก็ไม่มีประโยชน์ในการรักษา การรักษาตามแบบของฮอร์ นายเน้ นว่า จะต้ องไม่
ละเลยการทาความเข้ าใจค่านิยมทางจริ ยธรรมของผู้ป่วยด้ วย เพราะความมัน่ คงทางใจของบุคคล
จะเกิดขึ ้นได้ จากการสร้ างหลักศีลธรรมประจาใจ
2.3 การตีความความฝั น
ความฝั นเป็ นการชดเชยภาพตนให้ เกินความจริ งการทราบความฝั นของคนไข้ ทาให้ ผ้ รู ักษามองเห็น
ว่าคนไข้ ปรารถนาจะรักษาความวางเฉยเอาไว้ และต้ องการตาหนิตนที่ต้องพบกับความลาบาก
ต่างๆในการติดต่อเกี่ยวข้ องกับบุคคลอื่น โดยชอบใช้ วิธีโทษสิ่งแวดล้ อม

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

2.4 ลาดับขัน้ การรักษา
มีการรักษาอยู่2ขันใหญ่

ๆคือ
ขันแรก

คือ กระตุ้นให้ คนไข้ สามารถตีความเกี่ยวกับแนวโน้ มที่ขดั กันต่างๆที่เขาเก็บกดไว้
ขันที
้ ่สอง เป็ นขันที
้ ่ยินยอมให้ คนไข้ พิจารณาภาวะความขัดแย้ งในใจและรับทราบเกี่ยวกับความ
ปรารถนาที่แท้ จริ งของตนเอง

2.5 การต้ านทานและถ่ ายเทความรู้สึก
เรื่ องนี ้ฮอร์ นายมีความเห็นคล้ ายฟรอยด์ คือ เห็นว่าภาวะต้ านทานและการถ่ายเทความรู้สกึ ทาให้
เกิดปั ญหารุนแรงในการรักษาแต่ในที่สดุ แล้ วผู้รักษาต้ องชักจูงคนไข้ แก้ ปัญหาด้ วยตนเองได้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

ฮอร์ นาย อธิบายว่าการแสดงบทบาทของหญิงซึง่ แตกต่างจากชายนันเป็
้ นเพราะ
อิทธิพลของการฝึ กอบรมจากสังคมมากกว่าอิทธิพลทางชีววิทยาของเพศ

4.กลวิธีแก้ ปัญหาอาการของโรคเบาหวาน
ในการสารวจดูกระบวนการปรับตัวของผู้ป่วยคณะแพทย์ผ้ วู ิจยั พบว่าผู้ป่วยมีการ
ปรับตัว 3 แบบที่มีลกั ษณะคล้ ายคลึงกับลีลารูปแบบของการแก้ ปัญหาความสัมพันธ์
ระหว่างบุคคลตามแนวคิดฮอร์ นายได้ แก่การเข้ าหาบุคคลอื่นเพื่อทาตัวเป็ นผู้ที่ต้อง
พึง่ พิงความต้ องการต่อต้ านคนอื่นด้ วยการไม่สนใจความช่วยเหลือของเขาและการ
หลีกหนีจากคนอื่นโดยการแยกตัวไปเข้ าโครงการบาบัดรักษา

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

3. จิตวิทยาเกี่ยวกับสตรีเพศ

ตัวตนจริ ง เป็ นอะไรก็ได้ ที่บคุ คลนัน้ เชื่อว่า เป็ นความจริ งและเอกลักษณ์ของตนเอง
ส่วนตัวในอุดมคติคือ การรับรู้ของปั จเจกบุคคลที่เขาอยากให้ ตนเองเป็ นอย่างไร
ตามแนวคิดฮอร์ นายในด้ านการปรับตัวของบุคลิกภาพของมนุษย์นนอธิ
ั ้ บายได้ โดย
มองที่ระดับของความเหลื่อมล ้ามากก็จะมีความสาเร็ จในด้ านการปรับตัวมาก ในด้ าน
บุคลิกภาพการปรับตัวที่ไม่สาเร็ จหมายถึงการเน้ นให้ ชีวิตของตนปฏิบตั ิในสิง่ ที่เหมาะที่
ควรตามที่สงั คมได้ กาหนดมากเกินไปบุคคลประเภทนี ้จะแสดงพฤติกรรมไปตามตัวตน
ในอุดมคติมากเกินไปจนละเลยการประพฤติปฏิบตั ิตนไปตามตัวตนที่แท้ จริ ง

6. การประยุกต์ ใช้ กับพฤติกรรมของผู้ซอื ้
โดยใช้ ทฤษฎีฮอร์ นาย เกี่ยวกับหลัก 3 ประการ
ของรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
มาช่วยอธิบายพฤติกรรมของผู้ซื ้อ

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

5. ธรรมชาติของการปรับบุคลิกภาพ

ทุกคนมีความต้ องการหลายชนิดเหมือนๆ กัน
หากแต่
คนที่มีความสุขทังทางกายและใจ

มีความต้ องการในปริมาณที่พอดี พอเพียง พอเหมาะ เท่านันเอง

หรื อ อาจเทียบได้ กบั หลักพุทธศาสนา ที่วา่
“มัชฌิมาปฏิปทา”
ดังนัน้ จึงเป็ นแนวคิดที่เป็ นสัจจธรรม
ทังในแนวคิ

ดพุทธ นักปราชญ์ตะวันตก และแนวคิด/ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
รองศาสตราจารย์แสงสุรีย์ สาอางค์กลู

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

สรุ ป


Slide 4

ทฤษฎี ฮ อร์ นายเชิ ง ประยุ ก ต์
รองศาสตราจารย์ แสงสุรีย์ สาอางค์ กูล
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

ด้ านโรคประสาท มีสาเหตุจากในครอบครัว คนเป็ นโรคประสาทเก็บกดปั ญหาไว้ ลกึ มากจนแก้
ไม่ได้ ทาให้ เกิดความวิตกกังวลขันพื
้ ้นฐาน (basic anxiety) โดยโรคประสาทเกิดจาก
ความสัมพันธ์ในครอบครัวโดยเฉพาะบิดา-มารดา
เนื่องจากการเลี ้ยงดูที่ผิดๆทาให้ คนเป็ นโรค
ประสาท และไม่มีความรู้สกึ รักและผูกพันกับคนในครอบครัวอย่างแท้ จริ งจึงมักมีความวิตกกังวล
อยู่ในใจลึกๆ โดยรวมเรี ยกว่าความวิตกกังวลพื ้นฐาน
วิธีลดความวิตกกังวลขัน้ พืน้ ฐานมี 3 วิธีคือ
1.หันเข้ าหาบุคคลอื่น เช่น คนไม่เห็นแก่ตวั เพื่อให้ เข้ ากับคนอื่นได้ แต่ในใจอาจมีความรู้สกึ เป็ นศัตรูอยู่
2.หลีกหนีจากบุคคลอื่น เช่น เป็ นคนอิสระไม่โต้ แย้ งหรื อประทุษร้ ายทาตัวเหมาะสม
3.ต่ อต้ านบุคคลอื่น เช่น การแก้ แค้ นไม่เป็ นมิตรกับใคร มีความฉลาดแกมโกง คนประเภทนี ้
จึงมักมีบคุ ลิกภาพก้ าวร้ าว
โดยคนปกติจะสามารถเลือกใช้ วิธีแก้ ไขได้ อย่างกลมกลืน
แต่คนเป็ นโรคประสาทมักเลือกใช้ วิธีเดียวเท่านัน้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

1.ด้ านโรคประสาทเชิงประยุกต์

1.
2.
3.
4.
5.
6.
7.

ต้ องการให้ “บุคคลอื่นรั กและเห็นพ้ องด้ วย”
ต้ องการให้ “คนอื่นชมเชยเป็ นการส่ วนตัว”
ต้ องการให้ “คนอื่นชมเชยเป็ นการส่ วนตัว”
ต้ องการ “จากัดชีวติ ตนให้ อยู่ในมุมแคบๆ ตลอดชีวติ ”
ต้ องการ “ความอิสระและทาให้ ตนได้ รับสิ่งต่ าง ๆ อย่ างเพียงพอ”
ต้ องการเป็ น “คนสมบูรณ์ แบบและไม่ ถกู รบกวน”
ต้ องการ “อานาจ”

ฮอร์ นาย ยั ง พบว่ า คนโรคประสาทมั ก มี ค วามต้ อ งการแบบประสาท คื อ
8. ต้ องการ ตักตวงผลประโยชน์ จากบุคคลอื่นหรื อทาลายบุคคลอื่น
9. ต้ องการ เกียรติยศชื่อเสียงและการยอมรั บจากสังคม
10. ต้ องการ พบความสาเร็จในเรื่ องส่ วนตัว

ความต้ องการทัง้ 10 ประการนี ้
ทาให้ คนโรคประสาทรู้สกึ ขัดแย้ งในใจ
เพราะเขามีความต้ องการมากเกินไป
ทาให้ เขาปรั บตัวเข้ ากับสังคมทั่วไปได้ ยาก และเกิดความวิตกกังวลได้ ง่าย
ในขณะที่ คนทัว่ ไปจะเลือกเดินทางสายกลาง
ฮอร์ นาย ยั ง พบว่ า คนโรคประสาทมั ก มี ค วามต้ อ งการแบบประสาท คื อ
สรุ ป คนโรคประสาทมักมีความวิตกกังวลพื ้นฐานมาตังแต่
้ เด็ก
และ ถูกเสริ มด้ วยวิธีเลี ้ยงดูที่กระทบกระเทือนจิตใจ

2.1 รากฐานทฤษฎีในการรั กษา

การรักษาความผิดปกติมีเป้าหมายคือ ช่วยแก้ ปัญหาความขัดแย้ งที่ถกู เก็บกดไว้ ใน
ส่วนลึกของจิตใจ โดยทาให้ คนโรคประสาทได้ มงุ่ ปล่อยพลังในทางสร้ างสรรค์ตาม
ศักยภาพของเขาให้ แสดงออกอย่างอิสระและได้ พฒ
ั นาผลงานนัน้ ๆ เรี ยนรู้ การ
แก้ ปัญหาที่เป็ นเหตุให้ เขาเพิ่มความคับข้ องใจและการดูถกู ตนเองตลอดจนซ่อนพลัง
ความสามารถที่แท้ จริงไว้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

2.2 กระบวนการรักษา
ฮอร์ นาย มีกระบวนการรักษาคือการใช้ เทคนิคความสัมพันธ์อิสระหรื อการฟั งอย่างตัง้ ใจ(free
association) และการตีความ(interpretation) ซึง่ คล้ ายกับฟรอยด์
และยังมี
กระบวนการที่แตกต่างคือการสนับสนุนให้ ผ้ ปู ่ วยวิเคราะห์ตนเอง (self analysis) และเตือน
ว่าการเน้ นประสบการณ์วยั เด็กมากเกินไปซึง่ เป็ นการเปิ ดเผยภาวะจิตไร้ สานึกนันท
้ าให้ ผ้ ปู ่ วยไม่
สบายใจมากแต่ก็ไม่มีประโยชน์ในการรักษา การรักษาตามแบบของฮอร์ นายเน้ นว่า จะต้ องไม่
ละเลยการทาความเข้ าใจค่านิยมทางจริ ยธรรมของผู้ป่วยด้ วย เพราะความมัน่ คงทางใจของบุคคล
จะเกิดขึ ้นได้ จากการสร้ างหลักศีลธรรมประจาใจ
2.3 การตีความความฝั น
ความฝั นเป็ นการชดเชยภาพตนให้ เกินความจริ งการทราบความฝั นของคนไข้ ทาให้ ผ้ รู ักษามองเห็น
ว่าคนไข้ ปรารถนาจะรักษาความวางเฉยเอาไว้ และต้ องการตาหนิตนที่ต้องพบกับความลาบาก
ต่างๆในการติดต่อเกี่ยวข้ องกับบุคคลอื่น โดยชอบใช้ วิธีโทษสิ่งแวดล้ อม

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

2.4 ลาดับขัน้ การรักษา
มีการรักษาอยู่2ขันใหญ่

ๆคือ
ขันแรก

คือ กระตุ้นให้ คนไข้ สามารถตีความเกี่ยวกับแนวโน้ มที่ขดั กันต่างๆที่เขาเก็บกดไว้
ขันที
้ ่สอง เป็ นขันที
้ ่ยินยอมให้ คนไข้ พิจารณาภาวะความขัดแย้ งในใจและรับทราบเกี่ยวกับความ
ปรารถนาที่แท้ จริ งของตนเอง

2.5 การต้ านทานและถ่ ายเทความรู้สึก
เรื่ องนี ้ฮอร์ นายมีความเห็นคล้ ายฟรอยด์ คือ เห็นว่าภาวะต้ านทานและการถ่ายเทความรู้สกึ ทาให้
เกิดปั ญหารุนแรงในการรักษาแต่ในที่สดุ แล้ วผู้รักษาต้ องชักจูงคนไข้ แก้ ปัญหาด้ วยตนเองได้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

ฮอร์ นาย อธิบายว่าการแสดงบทบาทของหญิงซึง่ แตกต่างจากชายนันเป็
้ นเพราะ
อิทธิพลของการฝึ กอบรมจากสังคมมากกว่าอิทธิพลทางชีววิทยาของเพศ

4.กลวิธีแก้ ปัญหาอาการของโรคเบาหวาน
ในการสารวจดูกระบวนการปรับตัวของผู้ป่วยคณะแพทย์ผ้ วู ิจยั พบว่าผู้ป่วยมีการ
ปรับตัว 3 แบบที่มีลกั ษณะคล้ ายคลึงกับลีลารูปแบบของการแก้ ปัญหาความสัมพันธ์
ระหว่างบุคคลตามแนวคิดฮอร์ นายได้ แก่การเข้ าหาบุคคลอื่นเพื่อทาตัวเป็ นผู้ที่ต้อง
พึง่ พิงความต้ องการต่อต้ านคนอื่นด้ วยการไม่สนใจความช่วยเหลือของเขาและการ
หลีกหนีจากคนอื่นโดยการแยกตัวไปเข้ าโครงการบาบัดรักษา

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

3. จิตวิทยาเกี่ยวกับสตรีเพศ

ตัวตนจริ ง เป็ นอะไรก็ได้ ที่บคุ คลนัน้ เชื่อว่า เป็ นความจริ งและเอกลักษณ์ของตนเอง
ส่วนตัวในอุดมคติคือ การรับรู้ของปั จเจกบุคคลที่เขาอยากให้ ตนเองเป็ นอย่างไร
ตามแนวคิดฮอร์ นายในด้ านการปรับตัวของบุคลิกภาพของมนุษย์นนอธิ
ั ้ บายได้ โดย
มองที่ระดับของความเหลื่อมล ้ามากก็จะมีความสาเร็ จในด้ านการปรับตัวมาก ในด้ าน
บุคลิกภาพการปรับตัวที่ไม่สาเร็ จหมายถึงการเน้ นให้ ชีวิตของตนปฏิบตั ิในสิง่ ที่เหมาะที่
ควรตามที่สงั คมได้ กาหนดมากเกินไปบุคคลประเภทนี ้จะแสดงพฤติกรรมไปตามตัวตน
ในอุดมคติมากเกินไปจนละเลยการประพฤติปฏิบตั ิตนไปตามตัวตนที่แท้ จริ ง

6. การประยุกต์ ใช้ กับพฤติกรรมของผู้ซอื ้
โดยใช้ ทฤษฎีฮอร์ นาย เกี่ยวกับหลัก 3 ประการ
ของรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
มาช่วยอธิบายพฤติกรรมของผู้ซื ้อ

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

5. ธรรมชาติของการปรับบุคลิกภาพ

ทุกคนมีความต้ องการหลายชนิดเหมือนๆ กัน
หากแต่
คนที่มีความสุขทังทางกายและใจ

มีความต้ องการในปริมาณที่พอดี พอเพียง พอเหมาะ เท่านันเอง

หรื อ อาจเทียบได้ กบั หลักพุทธศาสนา ที่วา่
“มัชฌิมาปฏิปทา”
ดังนัน้ จึงเป็ นแนวคิดที่เป็ นสัจจธรรม
ทังในแนวคิ

ดพุทธ นักปราชญ์ตะวันตก และแนวคิด/ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
รองศาสตราจารย์แสงสุรีย์ สาอางค์กลู

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

สรุ ป


Slide 5

ทฤษฎี ฮ อร์ นายเชิ ง ประยุ ก ต์
รองศาสตราจารย์ แสงสุรีย์ สาอางค์ กูล
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

ด้ านโรคประสาท มีสาเหตุจากในครอบครัว คนเป็ นโรคประสาทเก็บกดปั ญหาไว้ ลกึ มากจนแก้
ไม่ได้ ทาให้ เกิดความวิตกกังวลขันพื
้ ้นฐาน (basic anxiety) โดยโรคประสาทเกิดจาก
ความสัมพันธ์ในครอบครัวโดยเฉพาะบิดา-มารดา
เนื่องจากการเลี ้ยงดูที่ผิดๆทาให้ คนเป็ นโรค
ประสาท และไม่มีความรู้สกึ รักและผูกพันกับคนในครอบครัวอย่างแท้ จริ งจึงมักมีความวิตกกังวล
อยู่ในใจลึกๆ โดยรวมเรี ยกว่าความวิตกกังวลพื ้นฐาน
วิธีลดความวิตกกังวลขัน้ พืน้ ฐานมี 3 วิธีคือ
1.หันเข้ าหาบุคคลอื่น เช่น คนไม่เห็นแก่ตวั เพื่อให้ เข้ ากับคนอื่นได้ แต่ในใจอาจมีความรู้สกึ เป็ นศัตรูอยู่
2.หลีกหนีจากบุคคลอื่น เช่น เป็ นคนอิสระไม่โต้ แย้ งหรื อประทุษร้ ายทาตัวเหมาะสม
3.ต่ อต้ านบุคคลอื่น เช่น การแก้ แค้ นไม่เป็ นมิตรกับใคร มีความฉลาดแกมโกง คนประเภทนี ้
จึงมักมีบคุ ลิกภาพก้ าวร้ าว
โดยคนปกติจะสามารถเลือกใช้ วิธีแก้ ไขได้ อย่างกลมกลืน
แต่คนเป็ นโรคประสาทมักเลือกใช้ วิธีเดียวเท่านัน้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

1.ด้ านโรคประสาทเชิงประยุกต์

1.
2.
3.
4.
5.
6.
7.

ต้ องการให้ “บุคคลอื่นรั กและเห็นพ้ องด้ วย”
ต้ องการให้ “คนอื่นชมเชยเป็ นการส่ วนตัว”
ต้ องการให้ “คนอื่นชมเชยเป็ นการส่ วนตัว”
ต้ องการ “จากัดชีวติ ตนให้ อยู่ในมุมแคบๆ ตลอดชีวติ ”
ต้ องการ “ความอิสระและทาให้ ตนได้ รับสิ่งต่ าง ๆ อย่ างเพียงพอ”
ต้ องการเป็ น “คนสมบูรณ์ แบบและไม่ ถกู รบกวน”
ต้ องการ “อานาจ”

ฮอร์ นาย ยั ง พบว่ า คนโรคประสาทมั ก มี ค วามต้ อ งการแบบประสาท คื อ
8. ต้ องการ ตักตวงผลประโยชน์ จากบุคคลอื่นหรื อทาลายบุคคลอื่น
9. ต้ องการ เกียรติยศชื่อเสียงและการยอมรั บจากสังคม
10. ต้ องการ พบความสาเร็จในเรื่ องส่ วนตัว

ความต้ องการทัง้ 10 ประการนี ้
ทาให้ คนโรคประสาทรู้สกึ ขัดแย้ งในใจ
เพราะเขามีความต้ องการมากเกินไป
ทาให้ เขาปรั บตัวเข้ ากับสังคมทั่วไปได้ ยาก และเกิดความวิตกกังวลได้ ง่าย
ในขณะที่ คนทัว่ ไปจะเลือกเดินทางสายกลาง
ฮอร์ นาย ยั ง พบว่ า คนโรคประสาทมั ก มี ค วามต้ อ งการแบบประสาท คื อ
สรุ ป คนโรคประสาทมักมีความวิตกกังวลพื ้นฐานมาตังแต่
้ เด็ก
และ ถูกเสริ มด้ วยวิธีเลี ้ยงดูที่กระทบกระเทือนจิตใจ

2.1 รากฐานทฤษฎีในการรั กษา

การรักษาความผิดปกติมีเป้าหมายคือ ช่วยแก้ ปัญหาความขัดแย้ งที่ถกู เก็บกดไว้ ใน
ส่วนลึกของจิตใจ โดยทาให้ คนโรคประสาทได้ มงุ่ ปล่อยพลังในทางสร้ างสรรค์ตาม
ศักยภาพของเขาให้ แสดงออกอย่างอิสระและได้ พฒ
ั นาผลงานนัน้ ๆ เรี ยนรู้ การ
แก้ ปัญหาที่เป็ นเหตุให้ เขาเพิ่มความคับข้ องใจและการดูถกู ตนเองตลอดจนซ่อนพลัง
ความสามารถที่แท้ จริงไว้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

2.2 กระบวนการรักษา
ฮอร์ นาย มีกระบวนการรักษาคือการใช้ เทคนิคความสัมพันธ์อิสระหรื อการฟั งอย่างตัง้ ใจ(free
association) และการตีความ(interpretation) ซึง่ คล้ ายกับฟรอยด์
และยังมี
กระบวนการที่แตกต่างคือการสนับสนุนให้ ผ้ ปู ่ วยวิเคราะห์ตนเอง (self analysis) และเตือน
ว่าการเน้ นประสบการณ์วยั เด็กมากเกินไปซึง่ เป็ นการเปิ ดเผยภาวะจิตไร้ สานึกนันท
้ าให้ ผ้ ปู ่ วยไม่
สบายใจมากแต่ก็ไม่มีประโยชน์ในการรักษา การรักษาตามแบบของฮอร์ นายเน้ นว่า จะต้ องไม่
ละเลยการทาความเข้ าใจค่านิยมทางจริ ยธรรมของผู้ป่วยด้ วย เพราะความมัน่ คงทางใจของบุคคล
จะเกิดขึ ้นได้ จากการสร้ างหลักศีลธรรมประจาใจ
2.3 การตีความความฝั น
ความฝั นเป็ นการชดเชยภาพตนให้ เกินความจริ งการทราบความฝั นของคนไข้ ทาให้ ผ้ รู ักษามองเห็น
ว่าคนไข้ ปรารถนาจะรักษาความวางเฉยเอาไว้ และต้ องการตาหนิตนที่ต้องพบกับความลาบาก
ต่างๆในการติดต่อเกี่ยวข้ องกับบุคคลอื่น โดยชอบใช้ วิธีโทษสิ่งแวดล้ อม

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

2.4 ลาดับขัน้ การรักษา
มีการรักษาอยู่2ขันใหญ่

ๆคือ
ขันแรก

คือ กระตุ้นให้ คนไข้ สามารถตีความเกี่ยวกับแนวโน้ มที่ขดั กันต่างๆที่เขาเก็บกดไว้
ขันที
้ ่สอง เป็ นขันที
้ ่ยินยอมให้ คนไข้ พิจารณาภาวะความขัดแย้ งในใจและรับทราบเกี่ยวกับความ
ปรารถนาที่แท้ จริ งของตนเอง

2.5 การต้ านทานและถ่ ายเทความรู้สึก
เรื่ องนี ้ฮอร์ นายมีความเห็นคล้ ายฟรอยด์ คือ เห็นว่าภาวะต้ านทานและการถ่ายเทความรู้สกึ ทาให้
เกิดปั ญหารุนแรงในการรักษาแต่ในที่สดุ แล้ วผู้รักษาต้ องชักจูงคนไข้ แก้ ปัญหาด้ วยตนเองได้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

ฮอร์ นาย อธิบายว่าการแสดงบทบาทของหญิงซึง่ แตกต่างจากชายนันเป็
้ นเพราะ
อิทธิพลของการฝึ กอบรมจากสังคมมากกว่าอิทธิพลทางชีววิทยาของเพศ

4.กลวิธีแก้ ปัญหาอาการของโรคเบาหวาน
ในการสารวจดูกระบวนการปรับตัวของผู้ป่วยคณะแพทย์ผ้ วู ิจยั พบว่าผู้ป่วยมีการ
ปรับตัว 3 แบบที่มีลกั ษณะคล้ ายคลึงกับลีลารูปแบบของการแก้ ปัญหาความสัมพันธ์
ระหว่างบุคคลตามแนวคิดฮอร์ นายได้ แก่การเข้ าหาบุคคลอื่นเพื่อทาตัวเป็ นผู้ที่ต้อง
พึง่ พิงความต้ องการต่อต้ านคนอื่นด้ วยการไม่สนใจความช่วยเหลือของเขาและการ
หลีกหนีจากคนอื่นโดยการแยกตัวไปเข้ าโครงการบาบัดรักษา

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

3. จิตวิทยาเกี่ยวกับสตรีเพศ

ตัวตนจริ ง เป็ นอะไรก็ได้ ที่บคุ คลนัน้ เชื่อว่า เป็ นความจริ งและเอกลักษณ์ของตนเอง
ส่วนตัวในอุดมคติคือ การรับรู้ของปั จเจกบุคคลที่เขาอยากให้ ตนเองเป็ นอย่างไร
ตามแนวคิดฮอร์ นายในด้ านการปรับตัวของบุคลิกภาพของมนุษย์นนอธิ
ั ้ บายได้ โดย
มองที่ระดับของความเหลื่อมล ้ามากก็จะมีความสาเร็ จในด้ านการปรับตัวมาก ในด้ าน
บุคลิกภาพการปรับตัวที่ไม่สาเร็ จหมายถึงการเน้ นให้ ชีวิตของตนปฏิบตั ิในสิง่ ที่เหมาะที่
ควรตามที่สงั คมได้ กาหนดมากเกินไปบุคคลประเภทนี ้จะแสดงพฤติกรรมไปตามตัวตน
ในอุดมคติมากเกินไปจนละเลยการประพฤติปฏิบตั ิตนไปตามตัวตนที่แท้ จริ ง

6. การประยุกต์ ใช้ กับพฤติกรรมของผู้ซอื ้
โดยใช้ ทฤษฎีฮอร์ นาย เกี่ยวกับหลัก 3 ประการ
ของรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
มาช่วยอธิบายพฤติกรรมของผู้ซื ้อ

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

5. ธรรมชาติของการปรับบุคลิกภาพ

ทุกคนมีความต้ องการหลายชนิดเหมือนๆ กัน
หากแต่
คนที่มีความสุขทังทางกายและใจ

มีความต้ องการในปริมาณที่พอดี พอเพียง พอเหมาะ เท่านันเอง

หรื อ อาจเทียบได้ กบั หลักพุทธศาสนา ที่วา่
“มัชฌิมาปฏิปทา”
ดังนัน้ จึงเป็ นแนวคิดที่เป็ นสัจจธรรม
ทังในแนวคิ

ดพุทธ นักปราชญ์ตะวันตก และแนวคิด/ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
รองศาสตราจารย์แสงสุรีย์ สาอางค์กลู

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

สรุ ป


Slide 6

ทฤษฎี ฮ อร์ นายเชิ ง ประยุ ก ต์
รองศาสตราจารย์ แสงสุรีย์ สาอางค์ กูล
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

ด้ านโรคประสาท มีสาเหตุจากในครอบครัว คนเป็ นโรคประสาทเก็บกดปั ญหาไว้ ลกึ มากจนแก้
ไม่ได้ ทาให้ เกิดความวิตกกังวลขันพื
้ ้นฐาน (basic anxiety) โดยโรคประสาทเกิดจาก
ความสัมพันธ์ในครอบครัวโดยเฉพาะบิดา-มารดา
เนื่องจากการเลี ้ยงดูที่ผิดๆทาให้ คนเป็ นโรค
ประสาท และไม่มีความรู้สกึ รักและผูกพันกับคนในครอบครัวอย่างแท้ จริ งจึงมักมีความวิตกกังวล
อยู่ในใจลึกๆ โดยรวมเรี ยกว่าความวิตกกังวลพื ้นฐาน
วิธีลดความวิตกกังวลขัน้ พืน้ ฐานมี 3 วิธีคือ
1.หันเข้ าหาบุคคลอื่น เช่น คนไม่เห็นแก่ตวั เพื่อให้ เข้ ากับคนอื่นได้ แต่ในใจอาจมีความรู้สกึ เป็ นศัตรูอยู่
2.หลีกหนีจากบุคคลอื่น เช่น เป็ นคนอิสระไม่โต้ แย้ งหรื อประทุษร้ ายทาตัวเหมาะสม
3.ต่ อต้ านบุคคลอื่น เช่น การแก้ แค้ นไม่เป็ นมิตรกับใคร มีความฉลาดแกมโกง คนประเภทนี ้
จึงมักมีบคุ ลิกภาพก้ าวร้ าว
โดยคนปกติจะสามารถเลือกใช้ วิธีแก้ ไขได้ อย่างกลมกลืน
แต่คนเป็ นโรคประสาทมักเลือกใช้ วิธีเดียวเท่านัน้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

1.ด้ านโรคประสาทเชิงประยุกต์

1.
2.
3.
4.
5.
6.
7.

ต้ องการให้ “บุคคลอื่นรั กและเห็นพ้ องด้ วย”
ต้ องการให้ “คนอื่นชมเชยเป็ นการส่ วนตัว”
ต้ องการให้ “คนอื่นชมเชยเป็ นการส่ วนตัว”
ต้ องการ “จากัดชีวติ ตนให้ อยู่ในมุมแคบๆ ตลอดชีวติ ”
ต้ องการ “ความอิสระและทาให้ ตนได้ รับสิ่งต่ าง ๆ อย่ างเพียงพอ”
ต้ องการเป็ น “คนสมบูรณ์ แบบและไม่ ถกู รบกวน”
ต้ องการ “อานาจ”

ฮอร์ นาย ยั ง พบว่ า คนโรคประสาทมั ก มี ค วามต้ อ งการแบบประสาท คื อ
8. ต้ องการ ตักตวงผลประโยชน์ จากบุคคลอื่นหรื อทาลายบุคคลอื่น
9. ต้ องการ เกียรติยศชื่อเสียงและการยอมรั บจากสังคม
10. ต้ องการ พบความสาเร็จในเรื่ องส่ วนตัว

ความต้ องการทัง้ 10 ประการนี ้
ทาให้ คนโรคประสาทรู้สกึ ขัดแย้ งในใจ
เพราะเขามีความต้ องการมากเกินไป
ทาให้ เขาปรั บตัวเข้ ากับสังคมทั่วไปได้ ยาก และเกิดความวิตกกังวลได้ ง่าย
ในขณะที่ คนทัว่ ไปจะเลือกเดินทางสายกลาง
ฮอร์ นาย ยั ง พบว่ า คนโรคประสาทมั ก มี ค วามต้ อ งการแบบประสาท คื อ
สรุ ป คนโรคประสาทมักมีความวิตกกังวลพื ้นฐานมาตังแต่
้ เด็ก
และ ถูกเสริ มด้ วยวิธีเลี ้ยงดูที่กระทบกระเทือนจิตใจ

2.1 รากฐานทฤษฎีในการรั กษา

การรักษาความผิดปกติมีเป้าหมายคือ ช่วยแก้ ปัญหาความขัดแย้ งที่ถกู เก็บกดไว้ ใน
ส่วนลึกของจิตใจ โดยทาให้ คนโรคประสาทได้ มงุ่ ปล่อยพลังในทางสร้ างสรรค์ตาม
ศักยภาพของเขาให้ แสดงออกอย่างอิสระและได้ พฒ
ั นาผลงานนัน้ ๆ เรี ยนรู้ การ
แก้ ปัญหาที่เป็ นเหตุให้ เขาเพิ่มความคับข้ องใจและการดูถกู ตนเองตลอดจนซ่อนพลัง
ความสามารถที่แท้ จริงไว้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

2.2 กระบวนการรักษา
ฮอร์ นาย มีกระบวนการรักษาคือการใช้ เทคนิคความสัมพันธ์อิสระหรื อการฟั งอย่างตัง้ ใจ(free
association) และการตีความ(interpretation) ซึง่ คล้ ายกับฟรอยด์
และยังมี
กระบวนการที่แตกต่างคือการสนับสนุนให้ ผ้ ปู ่ วยวิเคราะห์ตนเอง (self analysis) และเตือน
ว่าการเน้ นประสบการณ์วยั เด็กมากเกินไปซึง่ เป็ นการเปิ ดเผยภาวะจิตไร้ สานึกนันท
้ าให้ ผ้ ปู ่ วยไม่
สบายใจมากแต่ก็ไม่มีประโยชน์ในการรักษา การรักษาตามแบบของฮอร์ นายเน้ นว่า จะต้ องไม่
ละเลยการทาความเข้ าใจค่านิยมทางจริ ยธรรมของผู้ป่วยด้ วย เพราะความมัน่ คงทางใจของบุคคล
จะเกิดขึ ้นได้ จากการสร้ างหลักศีลธรรมประจาใจ
2.3 การตีความความฝั น
ความฝั นเป็ นการชดเชยภาพตนให้ เกินความจริ งการทราบความฝั นของคนไข้ ทาให้ ผ้ รู ักษามองเห็น
ว่าคนไข้ ปรารถนาจะรักษาความวางเฉยเอาไว้ และต้ องการตาหนิตนที่ต้องพบกับความลาบาก
ต่างๆในการติดต่อเกี่ยวข้ องกับบุคคลอื่น โดยชอบใช้ วิธีโทษสิ่งแวดล้ อม

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

2.4 ลาดับขัน้ การรักษา
มีการรักษาอยู่2ขันใหญ่

ๆคือ
ขันแรก

คือ กระตุ้นให้ คนไข้ สามารถตีความเกี่ยวกับแนวโน้ มที่ขดั กันต่างๆที่เขาเก็บกดไว้
ขันที
้ ่สอง เป็ นขันที
้ ่ยินยอมให้ คนไข้ พิจารณาภาวะความขัดแย้ งในใจและรับทราบเกี่ยวกับความ
ปรารถนาที่แท้ จริ งของตนเอง

2.5 การต้ านทานและถ่ ายเทความรู้สึก
เรื่ องนี ้ฮอร์ นายมีความเห็นคล้ ายฟรอยด์ คือ เห็นว่าภาวะต้ านทานและการถ่ายเทความรู้สกึ ทาให้
เกิดปั ญหารุนแรงในการรักษาแต่ในที่สดุ แล้ วผู้รักษาต้ องชักจูงคนไข้ แก้ ปัญหาด้ วยตนเองได้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

ฮอร์ นาย อธิบายว่าการแสดงบทบาทของหญิงซึง่ แตกต่างจากชายนันเป็
้ นเพราะ
อิทธิพลของการฝึ กอบรมจากสังคมมากกว่าอิทธิพลทางชีววิทยาของเพศ

4.กลวิธีแก้ ปัญหาอาการของโรคเบาหวาน
ในการสารวจดูกระบวนการปรับตัวของผู้ป่วยคณะแพทย์ผ้ วู ิจยั พบว่าผู้ป่วยมีการ
ปรับตัว 3 แบบที่มีลกั ษณะคล้ ายคลึงกับลีลารูปแบบของการแก้ ปัญหาความสัมพันธ์
ระหว่างบุคคลตามแนวคิดฮอร์ นายได้ แก่การเข้ าหาบุคคลอื่นเพื่อทาตัวเป็ นผู้ที่ต้อง
พึง่ พิงความต้ องการต่อต้ านคนอื่นด้ วยการไม่สนใจความช่วยเหลือของเขาและการ
หลีกหนีจากคนอื่นโดยการแยกตัวไปเข้ าโครงการบาบัดรักษา

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

3. จิตวิทยาเกี่ยวกับสตรีเพศ

ตัวตนจริ ง เป็ นอะไรก็ได้ ที่บคุ คลนัน้ เชื่อว่า เป็ นความจริ งและเอกลักษณ์ของตนเอง
ส่วนตัวในอุดมคติคือ การรับรู้ของปั จเจกบุคคลที่เขาอยากให้ ตนเองเป็ นอย่างไร
ตามแนวคิดฮอร์ นายในด้ านการปรับตัวของบุคลิกภาพของมนุษย์นนอธิ
ั ้ บายได้ โดย
มองที่ระดับของความเหลื่อมล ้ามากก็จะมีความสาเร็ จในด้ านการปรับตัวมาก ในด้ าน
บุคลิกภาพการปรับตัวที่ไม่สาเร็ จหมายถึงการเน้ นให้ ชีวิตของตนปฏิบตั ิในสิง่ ที่เหมาะที่
ควรตามที่สงั คมได้ กาหนดมากเกินไปบุคคลประเภทนี ้จะแสดงพฤติกรรมไปตามตัวตน
ในอุดมคติมากเกินไปจนละเลยการประพฤติปฏิบตั ิตนไปตามตัวตนที่แท้ จริ ง

6. การประยุกต์ ใช้ กับพฤติกรรมของผู้ซอื ้
โดยใช้ ทฤษฎีฮอร์ นาย เกี่ยวกับหลัก 3 ประการ
ของรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
มาช่วยอธิบายพฤติกรรมของผู้ซื ้อ

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

5. ธรรมชาติของการปรับบุคลิกภาพ

ทุกคนมีความต้ องการหลายชนิดเหมือนๆ กัน
หากแต่
คนที่มีความสุขทังทางกายและใจ

มีความต้ องการในปริมาณที่พอดี พอเพียง พอเหมาะ เท่านันเอง

หรื อ อาจเทียบได้ กบั หลักพุทธศาสนา ที่วา่
“มัชฌิมาปฏิปทา”
ดังนัน้ จึงเป็ นแนวคิดที่เป็ นสัจจธรรม
ทังในแนวคิ

ดพุทธ นักปราชญ์ตะวันตก และแนวคิด/ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
รองศาสตราจารย์แสงสุรีย์ สาอางค์กลู

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

สรุ ป


Slide 7

ทฤษฎี ฮ อร์ นายเชิ ง ประยุ ก ต์
รองศาสตราจารย์ แสงสุรีย์ สาอางค์ กูล
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

ด้ านโรคประสาท มีสาเหตุจากในครอบครัว คนเป็ นโรคประสาทเก็บกดปั ญหาไว้ ลกึ มากจนแก้
ไม่ได้ ทาให้ เกิดความวิตกกังวลขันพื
้ ้นฐาน (basic anxiety) โดยโรคประสาทเกิดจาก
ความสัมพันธ์ในครอบครัวโดยเฉพาะบิดา-มารดา
เนื่องจากการเลี ้ยงดูที่ผิดๆทาให้ คนเป็ นโรค
ประสาท และไม่มีความรู้สกึ รักและผูกพันกับคนในครอบครัวอย่างแท้ จริ งจึงมักมีความวิตกกังวล
อยู่ในใจลึกๆ โดยรวมเรี ยกว่าความวิตกกังวลพื ้นฐาน
วิธีลดความวิตกกังวลขัน้ พืน้ ฐานมี 3 วิธีคือ
1.หันเข้ าหาบุคคลอื่น เช่น คนไม่เห็นแก่ตวั เพื่อให้ เข้ ากับคนอื่นได้ แต่ในใจอาจมีความรู้สกึ เป็ นศัตรูอยู่
2.หลีกหนีจากบุคคลอื่น เช่น เป็ นคนอิสระไม่โต้ แย้ งหรื อประทุษร้ ายทาตัวเหมาะสม
3.ต่ อต้ านบุคคลอื่น เช่น การแก้ แค้ นไม่เป็ นมิตรกับใคร มีความฉลาดแกมโกง คนประเภทนี ้
จึงมักมีบคุ ลิกภาพก้ าวร้ าว
โดยคนปกติจะสามารถเลือกใช้ วิธีแก้ ไขได้ อย่างกลมกลืน
แต่คนเป็ นโรคประสาทมักเลือกใช้ วิธีเดียวเท่านัน้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

1.ด้ านโรคประสาทเชิงประยุกต์

1.
2.
3.
4.
5.
6.
7.

ต้ องการให้ “บุคคลอื่นรั กและเห็นพ้ องด้ วย”
ต้ องการให้ “คนอื่นชมเชยเป็ นการส่ วนตัว”
ต้ องการให้ “คนอื่นชมเชยเป็ นการส่ วนตัว”
ต้ องการ “จากัดชีวติ ตนให้ อยู่ในมุมแคบๆ ตลอดชีวติ ”
ต้ องการ “ความอิสระและทาให้ ตนได้ รับสิ่งต่ าง ๆ อย่ างเพียงพอ”
ต้ องการเป็ น “คนสมบูรณ์ แบบและไม่ ถกู รบกวน”
ต้ องการ “อานาจ”

ฮอร์ นาย ยั ง พบว่ า คนโรคประสาทมั ก มี ค วามต้ อ งการแบบประสาท คื อ
8. ต้ องการ ตักตวงผลประโยชน์ จากบุคคลอื่นหรื อทาลายบุคคลอื่น
9. ต้ องการ เกียรติยศชื่อเสียงและการยอมรั บจากสังคม
10. ต้ องการ พบความสาเร็จในเรื่ องส่ วนตัว

ความต้ องการทัง้ 10 ประการนี ้
ทาให้ คนโรคประสาทรู้สกึ ขัดแย้ งในใจ
เพราะเขามีความต้ องการมากเกินไป
ทาให้ เขาปรั บตัวเข้ ากับสังคมทั่วไปได้ ยาก และเกิดความวิตกกังวลได้ ง่าย
ในขณะที่ คนทัว่ ไปจะเลือกเดินทางสายกลาง
ฮอร์ นาย ยั ง พบว่ า คนโรคประสาทมั ก มี ค วามต้ อ งการแบบประสาท คื อ
สรุ ป คนโรคประสาทมักมีความวิตกกังวลพื ้นฐานมาตังแต่
้ เด็ก
และ ถูกเสริ มด้ วยวิธีเลี ้ยงดูที่กระทบกระเทือนจิตใจ

2.1 รากฐานทฤษฎีในการรั กษา

การรักษาความผิดปกติมีเป้าหมายคือ ช่วยแก้ ปัญหาความขัดแย้ งที่ถกู เก็บกดไว้ ใน
ส่วนลึกของจิตใจ โดยทาให้ คนโรคประสาทได้ มงุ่ ปล่อยพลังในทางสร้ างสรรค์ตาม
ศักยภาพของเขาให้ แสดงออกอย่างอิสระและได้ พฒ
ั นาผลงานนัน้ ๆ เรี ยนรู้ การ
แก้ ปัญหาที่เป็ นเหตุให้ เขาเพิ่มความคับข้ องใจและการดูถกู ตนเองตลอดจนซ่อนพลัง
ความสามารถที่แท้ จริงไว้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

2.2 กระบวนการรักษา
ฮอร์ นาย มีกระบวนการรักษาคือการใช้ เทคนิคความสัมพันธ์อิสระหรื อการฟั งอย่างตัง้ ใจ(free
association) และการตีความ(interpretation) ซึง่ คล้ ายกับฟรอยด์
และยังมี
กระบวนการที่แตกต่างคือการสนับสนุนให้ ผ้ ปู ่ วยวิเคราะห์ตนเอง (self analysis) และเตือน
ว่าการเน้ นประสบการณ์วยั เด็กมากเกินไปซึง่ เป็ นการเปิ ดเผยภาวะจิตไร้ สานึกนันท
้ าให้ ผ้ ปู ่ วยไม่
สบายใจมากแต่ก็ไม่มีประโยชน์ในการรักษา การรักษาตามแบบของฮอร์ นายเน้ นว่า จะต้ องไม่
ละเลยการทาความเข้ าใจค่านิยมทางจริ ยธรรมของผู้ป่วยด้ วย เพราะความมัน่ คงทางใจของบุคคล
จะเกิดขึ ้นได้ จากการสร้ างหลักศีลธรรมประจาใจ
2.3 การตีความความฝั น
ความฝั นเป็ นการชดเชยภาพตนให้ เกินความจริ งการทราบความฝั นของคนไข้ ทาให้ ผ้ รู ักษามองเห็น
ว่าคนไข้ ปรารถนาจะรักษาความวางเฉยเอาไว้ และต้ องการตาหนิตนที่ต้องพบกับความลาบาก
ต่างๆในการติดต่อเกี่ยวข้ องกับบุคคลอื่น โดยชอบใช้ วิธีโทษสิ่งแวดล้ อม

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

2.4 ลาดับขัน้ การรักษา
มีการรักษาอยู่2ขันใหญ่

ๆคือ
ขันแรก

คือ กระตุ้นให้ คนไข้ สามารถตีความเกี่ยวกับแนวโน้ มที่ขดั กันต่างๆที่เขาเก็บกดไว้
ขันที
้ ่สอง เป็ นขันที
้ ่ยินยอมให้ คนไข้ พิจารณาภาวะความขัดแย้ งในใจและรับทราบเกี่ยวกับความ
ปรารถนาที่แท้ จริ งของตนเอง

2.5 การต้ านทานและถ่ ายเทความรู้สึก
เรื่ องนี ้ฮอร์ นายมีความเห็นคล้ ายฟรอยด์ คือ เห็นว่าภาวะต้ านทานและการถ่ายเทความรู้สกึ ทาให้
เกิดปั ญหารุนแรงในการรักษาแต่ในที่สดุ แล้ วผู้รักษาต้ องชักจูงคนไข้ แก้ ปัญหาด้ วยตนเองได้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

ฮอร์ นาย อธิบายว่าการแสดงบทบาทของหญิงซึง่ แตกต่างจากชายนันเป็
้ นเพราะ
อิทธิพลของการฝึ กอบรมจากสังคมมากกว่าอิทธิพลทางชีววิทยาของเพศ

4.กลวิธีแก้ ปัญหาอาการของโรคเบาหวาน
ในการสารวจดูกระบวนการปรับตัวของผู้ป่วยคณะแพทย์ผ้ วู ิจยั พบว่าผู้ป่วยมีการ
ปรับตัว 3 แบบที่มีลกั ษณะคล้ ายคลึงกับลีลารูปแบบของการแก้ ปัญหาความสัมพันธ์
ระหว่างบุคคลตามแนวคิดฮอร์ นายได้ แก่การเข้ าหาบุคคลอื่นเพื่อทาตัวเป็ นผู้ที่ต้อง
พึง่ พิงความต้ องการต่อต้ านคนอื่นด้ วยการไม่สนใจความช่วยเหลือของเขาและการ
หลีกหนีจากคนอื่นโดยการแยกตัวไปเข้ าโครงการบาบัดรักษา

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

3. จิตวิทยาเกี่ยวกับสตรีเพศ

ตัวตนจริ ง เป็ นอะไรก็ได้ ที่บคุ คลนัน้ เชื่อว่า เป็ นความจริ งและเอกลักษณ์ของตนเอง
ส่วนตัวในอุดมคติคือ การรับรู้ของปั จเจกบุคคลที่เขาอยากให้ ตนเองเป็ นอย่างไร
ตามแนวคิดฮอร์ นายในด้ านการปรับตัวของบุคลิกภาพของมนุษย์นนอธิ
ั ้ บายได้ โดย
มองที่ระดับของความเหลื่อมล ้ามากก็จะมีความสาเร็ จในด้ านการปรับตัวมาก ในด้ าน
บุคลิกภาพการปรับตัวที่ไม่สาเร็ จหมายถึงการเน้ นให้ ชีวิตของตนปฏิบตั ิในสิง่ ที่เหมาะที่
ควรตามที่สงั คมได้ กาหนดมากเกินไปบุคคลประเภทนี ้จะแสดงพฤติกรรมไปตามตัวตน
ในอุดมคติมากเกินไปจนละเลยการประพฤติปฏิบตั ิตนไปตามตัวตนที่แท้ จริ ง

6. การประยุกต์ ใช้ กับพฤติกรรมของผู้ซอื ้
โดยใช้ ทฤษฎีฮอร์ นาย เกี่ยวกับหลัก 3 ประการ
ของรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
มาช่วยอธิบายพฤติกรรมของผู้ซื ้อ

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

5. ธรรมชาติของการปรับบุคลิกภาพ

ทุกคนมีความต้ องการหลายชนิดเหมือนๆ กัน
หากแต่
คนที่มีความสุขทังทางกายและใจ

มีความต้ องการในปริมาณที่พอดี พอเพียง พอเหมาะ เท่านันเอง

หรื อ อาจเทียบได้ กบั หลักพุทธศาสนา ที่วา่
“มัชฌิมาปฏิปทา”
ดังนัน้ จึงเป็ นแนวคิดที่เป็ นสัจจธรรม
ทังในแนวคิ

ดพุทธ นักปราชญ์ตะวันตก และแนวคิด/ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
รองศาสตราจารย์แสงสุรีย์ สาอางค์กลู

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

สรุ ป


Slide 8

ทฤษฎี ฮ อร์ นายเชิ ง ประยุ ก ต์
รองศาสตราจารย์ แสงสุรีย์ สาอางค์ กูล
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

ด้ านโรคประสาท มีสาเหตุจากในครอบครัว คนเป็ นโรคประสาทเก็บกดปั ญหาไว้ ลกึ มากจนแก้
ไม่ได้ ทาให้ เกิดความวิตกกังวลขันพื
้ ้นฐาน (basic anxiety) โดยโรคประสาทเกิดจาก
ความสัมพันธ์ในครอบครัวโดยเฉพาะบิดา-มารดา
เนื่องจากการเลี ้ยงดูที่ผิดๆทาให้ คนเป็ นโรค
ประสาท และไม่มีความรู้สกึ รักและผูกพันกับคนในครอบครัวอย่างแท้ จริ งจึงมักมีความวิตกกังวล
อยู่ในใจลึกๆ โดยรวมเรี ยกว่าความวิตกกังวลพื ้นฐาน
วิธีลดความวิตกกังวลขัน้ พืน้ ฐานมี 3 วิธีคือ
1.หันเข้ าหาบุคคลอื่น เช่น คนไม่เห็นแก่ตวั เพื่อให้ เข้ ากับคนอื่นได้ แต่ในใจอาจมีความรู้สกึ เป็ นศัตรูอยู่
2.หลีกหนีจากบุคคลอื่น เช่น เป็ นคนอิสระไม่โต้ แย้ งหรื อประทุษร้ ายทาตัวเหมาะสม
3.ต่ อต้ านบุคคลอื่น เช่น การแก้ แค้ นไม่เป็ นมิตรกับใคร มีความฉลาดแกมโกง คนประเภทนี ้
จึงมักมีบคุ ลิกภาพก้ าวร้ าว
โดยคนปกติจะสามารถเลือกใช้ วิธีแก้ ไขได้ อย่างกลมกลืน
แต่คนเป็ นโรคประสาทมักเลือกใช้ วิธีเดียวเท่านัน้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

1.ด้ านโรคประสาทเชิงประยุกต์

1.
2.
3.
4.
5.
6.
7.

ต้ องการให้ “บุคคลอื่นรั กและเห็นพ้ องด้ วย”
ต้ องการให้ “คนอื่นชมเชยเป็ นการส่ วนตัว”
ต้ องการให้ “คนอื่นชมเชยเป็ นการส่ วนตัว”
ต้ องการ “จากัดชีวติ ตนให้ อยู่ในมุมแคบๆ ตลอดชีวติ ”
ต้ องการ “ความอิสระและทาให้ ตนได้ รับสิ่งต่ าง ๆ อย่ างเพียงพอ”
ต้ องการเป็ น “คนสมบูรณ์ แบบและไม่ ถกู รบกวน”
ต้ องการ “อานาจ”

ฮอร์ นาย ยั ง พบว่ า คนโรคประสาทมั ก มี ค วามต้ อ งการแบบประสาท คื อ
8. ต้ องการ ตักตวงผลประโยชน์ จากบุคคลอื่นหรื อทาลายบุคคลอื่น
9. ต้ องการ เกียรติยศชื่อเสียงและการยอมรั บจากสังคม
10. ต้ องการ พบความสาเร็จในเรื่ องส่ วนตัว

ความต้ องการทัง้ 10 ประการนี ้
ทาให้ คนโรคประสาทรู้สกึ ขัดแย้ งในใจ
เพราะเขามีความต้ องการมากเกินไป
ทาให้ เขาปรั บตัวเข้ ากับสังคมทั่วไปได้ ยาก และเกิดความวิตกกังวลได้ ง่าย
ในขณะที่ คนทัว่ ไปจะเลือกเดินทางสายกลาง
ฮอร์ นาย ยั ง พบว่ า คนโรคประสาทมั ก มี ค วามต้ อ งการแบบประสาท คื อ
สรุ ป คนโรคประสาทมักมีความวิตกกังวลพื ้นฐานมาตังแต่
้ เด็ก
และ ถูกเสริ มด้ วยวิธีเลี ้ยงดูที่กระทบกระเทือนจิตใจ

2.1 รากฐานทฤษฎีในการรั กษา

การรักษาความผิดปกติมีเป้าหมายคือ ช่วยแก้ ปัญหาความขัดแย้ งที่ถกู เก็บกดไว้ ใน
ส่วนลึกของจิตใจ โดยทาให้ คนโรคประสาทได้ มงุ่ ปล่อยพลังในทางสร้ างสรรค์ตาม
ศักยภาพของเขาให้ แสดงออกอย่างอิสระและได้ พฒ
ั นาผลงานนัน้ ๆ เรี ยนรู้ การ
แก้ ปัญหาที่เป็ นเหตุให้ เขาเพิ่มความคับข้ องใจและการดูถกู ตนเองตลอดจนซ่อนพลัง
ความสามารถที่แท้ จริงไว้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

2.2 กระบวนการรักษา
ฮอร์ นาย มีกระบวนการรักษาคือการใช้ เทคนิคความสัมพันธ์อิสระหรื อการฟั งอย่างตัง้ ใจ(free
association) และการตีความ(interpretation) ซึง่ คล้ ายกับฟรอยด์
และยังมี
กระบวนการที่แตกต่างคือการสนับสนุนให้ ผ้ ปู ่ วยวิเคราะห์ตนเอง (self analysis) และเตือน
ว่าการเน้ นประสบการณ์วยั เด็กมากเกินไปซึง่ เป็ นการเปิ ดเผยภาวะจิตไร้ สานึกนันท
้ าให้ ผ้ ปู ่ วยไม่
สบายใจมากแต่ก็ไม่มีประโยชน์ในการรักษา การรักษาตามแบบของฮอร์ นายเน้ นว่า จะต้ องไม่
ละเลยการทาความเข้ าใจค่านิยมทางจริ ยธรรมของผู้ป่วยด้ วย เพราะความมัน่ คงทางใจของบุคคล
จะเกิดขึ ้นได้ จากการสร้ างหลักศีลธรรมประจาใจ
2.3 การตีความความฝั น
ความฝั นเป็ นการชดเชยภาพตนให้ เกินความจริ งการทราบความฝั นของคนไข้ ทาให้ ผ้ รู ักษามองเห็น
ว่าคนไข้ ปรารถนาจะรักษาความวางเฉยเอาไว้ และต้ องการตาหนิตนที่ต้องพบกับความลาบาก
ต่างๆในการติดต่อเกี่ยวข้ องกับบุคคลอื่น โดยชอบใช้ วิธีโทษสิ่งแวดล้ อม

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

2.4 ลาดับขัน้ การรักษา
มีการรักษาอยู่2ขันใหญ่

ๆคือ
ขันแรก

คือ กระตุ้นให้ คนไข้ สามารถตีความเกี่ยวกับแนวโน้ มที่ขดั กันต่างๆที่เขาเก็บกดไว้
ขันที
้ ่สอง เป็ นขันที
้ ่ยินยอมให้ คนไข้ พิจารณาภาวะความขัดแย้ งในใจและรับทราบเกี่ยวกับความ
ปรารถนาที่แท้ จริ งของตนเอง

2.5 การต้ านทานและถ่ ายเทความรู้สึก
เรื่ องนี ้ฮอร์ นายมีความเห็นคล้ ายฟรอยด์ คือ เห็นว่าภาวะต้ านทานและการถ่ายเทความรู้สกึ ทาให้
เกิดปั ญหารุนแรงในการรักษาแต่ในที่สดุ แล้ วผู้รักษาต้ องชักจูงคนไข้ แก้ ปัญหาด้ วยตนเองได้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

ฮอร์ นาย อธิบายว่าการแสดงบทบาทของหญิงซึง่ แตกต่างจากชายนันเป็
้ นเพราะ
อิทธิพลของการฝึ กอบรมจากสังคมมากกว่าอิทธิพลทางชีววิทยาของเพศ

4.กลวิธีแก้ ปัญหาอาการของโรคเบาหวาน
ในการสารวจดูกระบวนการปรับตัวของผู้ป่วยคณะแพทย์ผ้ วู ิจยั พบว่าผู้ป่วยมีการ
ปรับตัว 3 แบบที่มีลกั ษณะคล้ ายคลึงกับลีลารูปแบบของการแก้ ปัญหาความสัมพันธ์
ระหว่างบุคคลตามแนวคิดฮอร์ นายได้ แก่การเข้ าหาบุคคลอื่นเพื่อทาตัวเป็ นผู้ที่ต้อง
พึง่ พิงความต้ องการต่อต้ านคนอื่นด้ วยการไม่สนใจความช่วยเหลือของเขาและการ
หลีกหนีจากคนอื่นโดยการแยกตัวไปเข้ าโครงการบาบัดรักษา

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

3. จิตวิทยาเกี่ยวกับสตรีเพศ

ตัวตนจริ ง เป็ นอะไรก็ได้ ที่บคุ คลนัน้ เชื่อว่า เป็ นความจริ งและเอกลักษณ์ของตนเอง
ส่วนตัวในอุดมคติคือ การรับรู้ของปั จเจกบุคคลที่เขาอยากให้ ตนเองเป็ นอย่างไร
ตามแนวคิดฮอร์ นายในด้ านการปรับตัวของบุคลิกภาพของมนุษย์นนอธิ
ั ้ บายได้ โดย
มองที่ระดับของความเหลื่อมล ้ามากก็จะมีความสาเร็ จในด้ านการปรับตัวมาก ในด้ าน
บุคลิกภาพการปรับตัวที่ไม่สาเร็ จหมายถึงการเน้ นให้ ชีวิตของตนปฏิบตั ิในสิง่ ที่เหมาะที่
ควรตามที่สงั คมได้ กาหนดมากเกินไปบุคคลประเภทนี ้จะแสดงพฤติกรรมไปตามตัวตน
ในอุดมคติมากเกินไปจนละเลยการประพฤติปฏิบตั ิตนไปตามตัวตนที่แท้ จริ ง

6. การประยุกต์ ใช้ กับพฤติกรรมของผู้ซอื ้
โดยใช้ ทฤษฎีฮอร์ นาย เกี่ยวกับหลัก 3 ประการ
ของรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
มาช่วยอธิบายพฤติกรรมของผู้ซื ้อ

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

5. ธรรมชาติของการปรับบุคลิกภาพ

ทุกคนมีความต้ องการหลายชนิดเหมือนๆ กัน
หากแต่
คนที่มีความสุขทังทางกายและใจ

มีความต้ องการในปริมาณที่พอดี พอเพียง พอเหมาะ เท่านันเอง

หรื อ อาจเทียบได้ กบั หลักพุทธศาสนา ที่วา่
“มัชฌิมาปฏิปทา”
ดังนัน้ จึงเป็ นแนวคิดที่เป็ นสัจจธรรม
ทังในแนวคิ

ดพุทธ นักปราชญ์ตะวันตก และแนวคิด/ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
รองศาสตราจารย์แสงสุรีย์ สาอางค์กลู

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

สรุ ป


Slide 9

ทฤษฎี ฮ อร์ นายเชิ ง ประยุ ก ต์
รองศาสตราจารย์ แสงสุรีย์ สาอางค์ กูล
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

ด้ านโรคประสาท มีสาเหตุจากในครอบครัว คนเป็ นโรคประสาทเก็บกดปั ญหาไว้ ลกึ มากจนแก้
ไม่ได้ ทาให้ เกิดความวิตกกังวลขันพื
้ ้นฐาน (basic anxiety) โดยโรคประสาทเกิดจาก
ความสัมพันธ์ในครอบครัวโดยเฉพาะบิดา-มารดา
เนื่องจากการเลี ้ยงดูที่ผิดๆทาให้ คนเป็ นโรค
ประสาท และไม่มีความรู้สกึ รักและผูกพันกับคนในครอบครัวอย่างแท้ จริ งจึงมักมีความวิตกกังวล
อยู่ในใจลึกๆ โดยรวมเรี ยกว่าความวิตกกังวลพื ้นฐาน
วิธีลดความวิตกกังวลขัน้ พืน้ ฐานมี 3 วิธีคือ
1.หันเข้ าหาบุคคลอื่น เช่น คนไม่เห็นแก่ตวั เพื่อให้ เข้ ากับคนอื่นได้ แต่ในใจอาจมีความรู้สกึ เป็ นศัตรูอยู่
2.หลีกหนีจากบุคคลอื่น เช่น เป็ นคนอิสระไม่โต้ แย้ งหรื อประทุษร้ ายทาตัวเหมาะสม
3.ต่ อต้ านบุคคลอื่น เช่น การแก้ แค้ นไม่เป็ นมิตรกับใคร มีความฉลาดแกมโกง คนประเภทนี ้
จึงมักมีบคุ ลิกภาพก้ าวร้ าว
โดยคนปกติจะสามารถเลือกใช้ วิธีแก้ ไขได้ อย่างกลมกลืน
แต่คนเป็ นโรคประสาทมักเลือกใช้ วิธีเดียวเท่านัน้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

1.ด้ านโรคประสาทเชิงประยุกต์

1.
2.
3.
4.
5.
6.
7.

ต้ องการให้ “บุคคลอื่นรั กและเห็นพ้ องด้ วย”
ต้ องการให้ “คนอื่นชมเชยเป็ นการส่ วนตัว”
ต้ องการให้ “คนอื่นชมเชยเป็ นการส่ วนตัว”
ต้ องการ “จากัดชีวติ ตนให้ อยู่ในมุมแคบๆ ตลอดชีวติ ”
ต้ องการ “ความอิสระและทาให้ ตนได้ รับสิ่งต่ าง ๆ อย่ างเพียงพอ”
ต้ องการเป็ น “คนสมบูรณ์ แบบและไม่ ถกู รบกวน”
ต้ องการ “อานาจ”

ฮอร์ นาย ยั ง พบว่ า คนโรคประสาทมั ก มี ค วามต้ อ งการแบบประสาท คื อ
8. ต้ องการ ตักตวงผลประโยชน์ จากบุคคลอื่นหรื อทาลายบุคคลอื่น
9. ต้ องการ เกียรติยศชื่อเสียงและการยอมรั บจากสังคม
10. ต้ องการ พบความสาเร็จในเรื่ องส่ วนตัว

ความต้ องการทัง้ 10 ประการนี ้
ทาให้ คนโรคประสาทรู้สกึ ขัดแย้ งในใจ
เพราะเขามีความต้ องการมากเกินไป
ทาให้ เขาปรั บตัวเข้ ากับสังคมทั่วไปได้ ยาก และเกิดความวิตกกังวลได้ ง่าย
ในขณะที่ คนทัว่ ไปจะเลือกเดินทางสายกลาง
ฮอร์ นาย ยั ง พบว่ า คนโรคประสาทมั ก มี ค วามต้ อ งการแบบประสาท คื อ
สรุ ป คนโรคประสาทมักมีความวิตกกังวลพื ้นฐานมาตังแต่
้ เด็ก
และ ถูกเสริ มด้ วยวิธีเลี ้ยงดูที่กระทบกระเทือนจิตใจ

2.1 รากฐานทฤษฎีในการรั กษา

การรักษาความผิดปกติมีเป้าหมายคือ ช่วยแก้ ปัญหาความขัดแย้ งที่ถกู เก็บกดไว้ ใน
ส่วนลึกของจิตใจ โดยทาให้ คนโรคประสาทได้ มงุ่ ปล่อยพลังในทางสร้ างสรรค์ตาม
ศักยภาพของเขาให้ แสดงออกอย่างอิสระและได้ พฒ
ั นาผลงานนัน้ ๆ เรี ยนรู้ การ
แก้ ปัญหาที่เป็ นเหตุให้ เขาเพิ่มความคับข้ องใจและการดูถกู ตนเองตลอดจนซ่อนพลัง
ความสามารถที่แท้ จริงไว้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

2.2 กระบวนการรักษา
ฮอร์ นาย มีกระบวนการรักษาคือการใช้ เทคนิคความสัมพันธ์อิสระหรื อการฟั งอย่างตัง้ ใจ(free
association) และการตีความ(interpretation) ซึง่ คล้ ายกับฟรอยด์
และยังมี
กระบวนการที่แตกต่างคือการสนับสนุนให้ ผ้ ปู ่ วยวิเคราะห์ตนเอง (self analysis) และเตือน
ว่าการเน้ นประสบการณ์วยั เด็กมากเกินไปซึง่ เป็ นการเปิ ดเผยภาวะจิตไร้ สานึกนันท
้ าให้ ผ้ ปู ่ วยไม่
สบายใจมากแต่ก็ไม่มีประโยชน์ในการรักษา การรักษาตามแบบของฮอร์ นายเน้ นว่า จะต้ องไม่
ละเลยการทาความเข้ าใจค่านิยมทางจริ ยธรรมของผู้ป่วยด้ วย เพราะความมัน่ คงทางใจของบุคคล
จะเกิดขึ ้นได้ จากการสร้ างหลักศีลธรรมประจาใจ
2.3 การตีความความฝั น
ความฝั นเป็ นการชดเชยภาพตนให้ เกินความจริ งการทราบความฝั นของคนไข้ ทาให้ ผ้ รู ักษามองเห็น
ว่าคนไข้ ปรารถนาจะรักษาความวางเฉยเอาไว้ และต้ องการตาหนิตนที่ต้องพบกับความลาบาก
ต่างๆในการติดต่อเกี่ยวข้ องกับบุคคลอื่น โดยชอบใช้ วิธีโทษสิ่งแวดล้ อม

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

2.4 ลาดับขัน้ การรักษา
มีการรักษาอยู่2ขันใหญ่

ๆคือ
ขันแรก

คือ กระตุ้นให้ คนไข้ สามารถตีความเกี่ยวกับแนวโน้ มที่ขดั กันต่างๆที่เขาเก็บกดไว้
ขันที
้ ่สอง เป็ นขันที
้ ่ยินยอมให้ คนไข้ พิจารณาภาวะความขัดแย้ งในใจและรับทราบเกี่ยวกับความ
ปรารถนาที่แท้ จริ งของตนเอง

2.5 การต้ านทานและถ่ ายเทความรู้สึก
เรื่ องนี ้ฮอร์ นายมีความเห็นคล้ ายฟรอยด์ คือ เห็นว่าภาวะต้ านทานและการถ่ายเทความรู้สกึ ทาให้
เกิดปั ญหารุนแรงในการรักษาแต่ในที่สดุ แล้ วผู้รักษาต้ องชักจูงคนไข้ แก้ ปัญหาด้ วยตนเองได้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

ฮอร์ นาย อธิบายว่าการแสดงบทบาทของหญิงซึง่ แตกต่างจากชายนันเป็
้ นเพราะ
อิทธิพลของการฝึ กอบรมจากสังคมมากกว่าอิทธิพลทางชีววิทยาของเพศ

4.กลวิธีแก้ ปัญหาอาการของโรคเบาหวาน
ในการสารวจดูกระบวนการปรับตัวของผู้ป่วยคณะแพทย์ผ้ วู ิจยั พบว่าผู้ป่วยมีการ
ปรับตัว 3 แบบที่มีลกั ษณะคล้ ายคลึงกับลีลารูปแบบของการแก้ ปัญหาความสัมพันธ์
ระหว่างบุคคลตามแนวคิดฮอร์ นายได้ แก่การเข้ าหาบุคคลอื่นเพื่อทาตัวเป็ นผู้ที่ต้อง
พึง่ พิงความต้ องการต่อต้ านคนอื่นด้ วยการไม่สนใจความช่วยเหลือของเขาและการ
หลีกหนีจากคนอื่นโดยการแยกตัวไปเข้ าโครงการบาบัดรักษา

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

3. จิตวิทยาเกี่ยวกับสตรีเพศ

ตัวตนจริ ง เป็ นอะไรก็ได้ ที่บคุ คลนัน้ เชื่อว่า เป็ นความจริ งและเอกลักษณ์ของตนเอง
ส่วนตัวในอุดมคติคือ การรับรู้ของปั จเจกบุคคลที่เขาอยากให้ ตนเองเป็ นอย่างไร
ตามแนวคิดฮอร์ นายในด้ านการปรับตัวของบุคลิกภาพของมนุษย์นนอธิ
ั ้ บายได้ โดย
มองที่ระดับของความเหลื่อมล ้ามากก็จะมีความสาเร็ จในด้ านการปรับตัวมาก ในด้ าน
บุคลิกภาพการปรับตัวที่ไม่สาเร็ จหมายถึงการเน้ นให้ ชีวิตของตนปฏิบตั ิในสิง่ ที่เหมาะที่
ควรตามที่สงั คมได้ กาหนดมากเกินไปบุคคลประเภทนี ้จะแสดงพฤติกรรมไปตามตัวตน
ในอุดมคติมากเกินไปจนละเลยการประพฤติปฏิบตั ิตนไปตามตัวตนที่แท้ จริ ง

6. การประยุกต์ ใช้ กับพฤติกรรมของผู้ซอื ้
โดยใช้ ทฤษฎีฮอร์ นาย เกี่ยวกับหลัก 3 ประการ
ของรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
มาช่วยอธิบายพฤติกรรมของผู้ซื ้อ

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

5. ธรรมชาติของการปรับบุคลิกภาพ

ทุกคนมีความต้ องการหลายชนิดเหมือนๆ กัน
หากแต่
คนที่มีความสุขทังทางกายและใจ

มีความต้ องการในปริมาณที่พอดี พอเพียง พอเหมาะ เท่านันเอง

หรื อ อาจเทียบได้ กบั หลักพุทธศาสนา ที่วา่
“มัชฌิมาปฏิปทา”
ดังนัน้ จึงเป็ นแนวคิดที่เป็ นสัจจธรรม
ทังในแนวคิ

ดพุทธ นักปราชญ์ตะวันตก และแนวคิด/ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
รองศาสตราจารย์แสงสุรีย์ สาอางค์กลู

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

สรุ ป


Slide 10

ทฤษฎี ฮ อร์ นายเชิ ง ประยุ ก ต์
รองศาสตราจารย์ แสงสุรีย์ สาอางค์ กูล
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

ด้ านโรคประสาท มีสาเหตุจากในครอบครัว คนเป็ นโรคประสาทเก็บกดปั ญหาไว้ ลกึ มากจนแก้
ไม่ได้ ทาให้ เกิดความวิตกกังวลขันพื
้ ้นฐาน (basic anxiety) โดยโรคประสาทเกิดจาก
ความสัมพันธ์ในครอบครัวโดยเฉพาะบิดา-มารดา
เนื่องจากการเลี ้ยงดูที่ผิดๆทาให้ คนเป็ นโรค
ประสาท และไม่มีความรู้สกึ รักและผูกพันกับคนในครอบครัวอย่างแท้ จริ งจึงมักมีความวิตกกังวล
อยู่ในใจลึกๆ โดยรวมเรี ยกว่าความวิตกกังวลพื ้นฐาน
วิธีลดความวิตกกังวลขัน้ พืน้ ฐานมี 3 วิธีคือ
1.หันเข้ าหาบุคคลอื่น เช่น คนไม่เห็นแก่ตวั เพื่อให้ เข้ ากับคนอื่นได้ แต่ในใจอาจมีความรู้สกึ เป็ นศัตรูอยู่
2.หลีกหนีจากบุคคลอื่น เช่น เป็ นคนอิสระไม่โต้ แย้ งหรื อประทุษร้ ายทาตัวเหมาะสม
3.ต่ อต้ านบุคคลอื่น เช่น การแก้ แค้ นไม่เป็ นมิตรกับใคร มีความฉลาดแกมโกง คนประเภทนี ้
จึงมักมีบคุ ลิกภาพก้ าวร้ าว
โดยคนปกติจะสามารถเลือกใช้ วิธีแก้ ไขได้ อย่างกลมกลืน
แต่คนเป็ นโรคประสาทมักเลือกใช้ วิธีเดียวเท่านัน้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

1.ด้ านโรคประสาทเชิงประยุกต์

1.
2.
3.
4.
5.
6.
7.

ต้ องการให้ “บุคคลอื่นรั กและเห็นพ้ องด้ วย”
ต้ องการให้ “คนอื่นชมเชยเป็ นการส่ วนตัว”
ต้ องการให้ “คนอื่นชมเชยเป็ นการส่ วนตัว”
ต้ องการ “จากัดชีวติ ตนให้ อยู่ในมุมแคบๆ ตลอดชีวติ ”
ต้ องการ “ความอิสระและทาให้ ตนได้ รับสิ่งต่ าง ๆ อย่ างเพียงพอ”
ต้ องการเป็ น “คนสมบูรณ์ แบบและไม่ ถกู รบกวน”
ต้ องการ “อานาจ”

ฮอร์ นาย ยั ง พบว่ า คนโรคประสาทมั ก มี ค วามต้ อ งการแบบประสาท คื อ
8. ต้ องการ ตักตวงผลประโยชน์ จากบุคคลอื่นหรื อทาลายบุคคลอื่น
9. ต้ องการ เกียรติยศชื่อเสียงและการยอมรั บจากสังคม
10. ต้ องการ พบความสาเร็จในเรื่ องส่ วนตัว

ความต้ องการทัง้ 10 ประการนี ้
ทาให้ คนโรคประสาทรู้สกึ ขัดแย้ งในใจ
เพราะเขามีความต้ องการมากเกินไป
ทาให้ เขาปรั บตัวเข้ ากับสังคมทั่วไปได้ ยาก และเกิดความวิตกกังวลได้ ง่าย
ในขณะที่ คนทัว่ ไปจะเลือกเดินทางสายกลาง
ฮอร์ นาย ยั ง พบว่ า คนโรคประสาทมั ก มี ค วามต้ อ งการแบบประสาท คื อ
สรุ ป คนโรคประสาทมักมีความวิตกกังวลพื ้นฐานมาตังแต่
้ เด็ก
และ ถูกเสริ มด้ วยวิธีเลี ้ยงดูที่กระทบกระเทือนจิตใจ

2.1 รากฐานทฤษฎีในการรั กษา

การรักษาความผิดปกติมีเป้าหมายคือ ช่วยแก้ ปัญหาความขัดแย้ งที่ถกู เก็บกดไว้ ใน
ส่วนลึกของจิตใจ โดยทาให้ คนโรคประสาทได้ มงุ่ ปล่อยพลังในทางสร้ างสรรค์ตาม
ศักยภาพของเขาให้ แสดงออกอย่างอิสระและได้ พฒ
ั นาผลงานนัน้ ๆ เรี ยนรู้ การ
แก้ ปัญหาที่เป็ นเหตุให้ เขาเพิ่มความคับข้ องใจและการดูถกู ตนเองตลอดจนซ่อนพลัง
ความสามารถที่แท้ จริงไว้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

2.2 กระบวนการรักษา
ฮอร์ นาย มีกระบวนการรักษาคือการใช้ เทคนิคความสัมพันธ์อิสระหรื อการฟั งอย่างตัง้ ใจ(free
association) และการตีความ(interpretation) ซึง่ คล้ ายกับฟรอยด์
และยังมี
กระบวนการที่แตกต่างคือการสนับสนุนให้ ผ้ ปู ่ วยวิเคราะห์ตนเอง (self analysis) และเตือน
ว่าการเน้ นประสบการณ์วยั เด็กมากเกินไปซึง่ เป็ นการเปิ ดเผยภาวะจิตไร้ สานึกนันท
้ าให้ ผ้ ปู ่ วยไม่
สบายใจมากแต่ก็ไม่มีประโยชน์ในการรักษา การรักษาตามแบบของฮอร์ นายเน้ นว่า จะต้ องไม่
ละเลยการทาความเข้ าใจค่านิยมทางจริ ยธรรมของผู้ป่วยด้ วย เพราะความมัน่ คงทางใจของบุคคล
จะเกิดขึ ้นได้ จากการสร้ างหลักศีลธรรมประจาใจ
2.3 การตีความความฝั น
ความฝั นเป็ นการชดเชยภาพตนให้ เกินความจริ งการทราบความฝั นของคนไข้ ทาให้ ผ้ รู ักษามองเห็น
ว่าคนไข้ ปรารถนาจะรักษาความวางเฉยเอาไว้ และต้ องการตาหนิตนที่ต้องพบกับความลาบาก
ต่างๆในการติดต่อเกี่ยวข้ องกับบุคคลอื่น โดยชอบใช้ วิธีโทษสิ่งแวดล้ อม

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

2.4 ลาดับขัน้ การรักษา
มีการรักษาอยู่2ขันใหญ่

ๆคือ
ขันแรก

คือ กระตุ้นให้ คนไข้ สามารถตีความเกี่ยวกับแนวโน้ มที่ขดั กันต่างๆที่เขาเก็บกดไว้
ขันที
้ ่สอง เป็ นขันที
้ ่ยินยอมให้ คนไข้ พิจารณาภาวะความขัดแย้ งในใจและรับทราบเกี่ยวกับความ
ปรารถนาที่แท้ จริ งของตนเอง

2.5 การต้ านทานและถ่ ายเทความรู้สึก
เรื่ องนี ้ฮอร์ นายมีความเห็นคล้ ายฟรอยด์ คือ เห็นว่าภาวะต้ านทานและการถ่ายเทความรู้สกึ ทาให้
เกิดปั ญหารุนแรงในการรักษาแต่ในที่สดุ แล้ วผู้รักษาต้ องชักจูงคนไข้ แก้ ปัญหาด้ วยตนเองได้

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

2 .ด้ านจิตบาบัด

ฮอร์ นาย อธิบายว่าการแสดงบทบาทของหญิงซึง่ แตกต่างจากชายนันเป็
้ นเพราะ
อิทธิพลของการฝึ กอบรมจากสังคมมากกว่าอิทธิพลทางชีววิทยาของเพศ

4.กลวิธีแก้ ปัญหาอาการของโรคเบาหวาน
ในการสารวจดูกระบวนการปรับตัวของผู้ป่วยคณะแพทย์ผ้ วู ิจยั พบว่าผู้ป่วยมีการ
ปรับตัว 3 แบบที่มีลกั ษณะคล้ ายคลึงกับลีลารูปแบบของการแก้ ปัญหาความสัมพันธ์
ระหว่างบุคคลตามแนวคิดฮอร์ นายได้ แก่การเข้ าหาบุคคลอื่นเพื่อทาตัวเป็ นผู้ที่ต้อง
พึง่ พิงความต้ องการต่อต้ านคนอื่นด้ วยการไม่สนใจความช่วยเหลือของเขาและการ
หลีกหนีจากคนอื่นโดยการแยกตัวไปเข้ าโครงการบาบัดรักษา

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

3. จิตวิทยาเกี่ยวกับสตรีเพศ

ตัวตนจริ ง เป็ นอะไรก็ได้ ที่บคุ คลนัน้ เชื่อว่า เป็ นความจริ งและเอกลักษณ์ของตนเอง
ส่วนตัวในอุดมคติคือ การรับรู้ของปั จเจกบุคคลที่เขาอยากให้ ตนเองเป็ นอย่างไร
ตามแนวคิดฮอร์ นายในด้ านการปรับตัวของบุคลิกภาพของมนุษย์นนอธิ
ั ้ บายได้ โดย
มองที่ระดับของความเหลื่อมล ้ามากก็จะมีความสาเร็ จในด้ านการปรับตัวมาก ในด้ าน
บุคลิกภาพการปรับตัวที่ไม่สาเร็ จหมายถึงการเน้ นให้ ชีวิตของตนปฏิบตั ิในสิง่ ที่เหมาะที่
ควรตามที่สงั คมได้ กาหนดมากเกินไปบุคคลประเภทนี ้จะแสดงพฤติกรรมไปตามตัวตน
ในอุดมคติมากเกินไปจนละเลยการประพฤติปฏิบตั ิตนไปตามตัวตนที่แท้ จริ ง

6. การประยุกต์ ใช้ กับพฤติกรรมของผู้ซอื ้
โดยใช้ ทฤษฎีฮอร์ นาย เกี่ยวกับหลัก 3 ประการ
ของรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
มาช่วยอธิบายพฤติกรรมของผู้ซื ้อ

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

5. ธรรมชาติของการปรับบุคลิกภาพ

ทุกคนมีความต้ องการหลายชนิดเหมือนๆ กัน
หากแต่
คนที่มีความสุขทังทางกายและใจ

มีความต้ องการในปริมาณที่พอดี พอเพียง พอเหมาะ เท่านันเอง

หรื อ อาจเทียบได้ กบั หลักพุทธศาสนา ที่วา่
“มัชฌิมาปฏิปทา”
ดังนัน้ จึงเป็ นแนวคิดที่เป็ นสัจจธรรม
ทังในแนวคิ

ดพุทธ นักปราชญ์ตะวันตก และแนวคิด/ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
รองศาสตราจารย์แสงสุรีย์ สาอางค์กลู

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

สรุ ป