การจัดการเรียนรู้โดยใช้ก

Download Report

Transcript การจัดการเรียนรู้โดยใช้ก

การจัดการเรี ยนการสอนที่ผสู้ อนจัดให้ผเู้ รี ยน
แบ่งเป็ นกลุ่มเล็กๆ ประมาณ 4-6 คน เพื่อให้ผเู้ รี ยนได้เรี ยนรู้
โดยการทางานร่ วมกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และร่ วมกัน
รับผิดชอบงานในกลุ่มที่ได้รับมอบหมาย เพื่อให้เกิดเป็ น
ความสาเร็ จของกลุ่ม
1. เพือ่ ให้ผเู้ รียนเรียนรูแ้ ละฝึกทักษะในการทางานเป็ นกล่ม
2. เพือ่ ให้ผเู้ รียนพัฒนาทักษะการคิดค้นคว้า ทักษะการแสวงหา
ทักษะการคิดสร้างสรรค์ การแก้ปญั หา การตัดสินใจ การตัง้ คาถาม
ตอบคาถาม การพูด ฯลฯ
3. เพือ่ ให้ผเู้ รียนได้ฝึกทักษะทางสังคม การอยูร่ ว่ มกับผูอ้ ่นื การ
มีน้าใจช่วยเหลือผูอ้ ่นื การเสียสละ การเป็ นผูน้ า ผูต้ าม ฯลฯ
อาภรณ์ ใจเทีย่ ง (2550 : 121)
1. มีการทางานกลุ่มร่ วมกัน
2. สมาชิกในกลุ่มมีจานวนไม่ควรเกิน 6 คน
3. สมาชิกในกลุ่มมีความสามารถแตกต่างกันเพื่อช่วยเหลือกัน
4. สมาชิกในกลุ่มต่างมีบทบาทรับผิดชอบ เช่น
- เป็ นผูน้ ากลุ่ม (Leader)
- เป็ นผูอ้ ธิบาย (Explainer)
- เป็ นผูจ้ ดบันทึก (Recorder) - เป็ นผูต้ รวจสอบ (Checker)
- เป็ นผูส้ ังเกตการณ์ (Observer) - เป็ นผูใ้ ห้กาลังใจ (Encourager)
ฯลฯ
“ความสาเร็ จของแต่ละคน คือ ความสาเร็ จของกลุ่ม ความสาเร็ จ
ของกลุ่ม คือ ความสาเร็ จของทุกคน”
1.ความเกีย่ วข้ องสั มพันธ์ กนั ในทางบวก
(Positive Interdependence)
หมายถึง การที่สมาชิกในกลุ่มทางานอย่างมี
เป้ าหมายร่ วมกัน มีการทางานร่ วมกัน โดยที่สมาชิกทุกคนมี
บทบาท หน้าที่และประสบความสาเร็ จร่ วมกัน
2. การมีปฏิสัมพันธ์ ที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน
(Face To Face PronotiveInteraction)
เป็ นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน การอธิบายความรู้
ให้แก่เพื่อนในกลุ่มฟัง เป็ นลักษณะสาคัญของการมีปฏิสัมพันธ์โดยตรง
ของการเรี ยนแบบร่ วมมือ
3.ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ ละคน
(Individual Accountability)
ความรับผิดชอบในการเรี ยนรู ้ของสมาชิกแต่ละบุคคล
โดยมีการช่วยเหลือส่ งเสริ มซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิด
ความสาเร็ จตามเป้ าหมายกลุ่ม โดยที่สมาชิกทุกคนใน
กลุ่มมีความ
4. การใช้ ทกั ษะระหว่ างบุคคลและทักษะการทางานกลุ่มย่ อย
(Interdependence and Small Group Skills)
ทักษะระหว่างบุคคล และทักษะการทางานกลุ่มย่อย
เป็ นทักษะสาคัญที่จะช่วยให้การทางานกลุ่มประสบผลสาเร็ จ
ผูเ้ รี ยนควรได้รับการฝึ กทักษะในการสื่ อสาร การเป็ นผูน้ า การ
ตัดสิ นใจ การแก้ปัญหา เพื่อให้สามารถทางานได้อย่างมี
ประสิ ทธิภาพ
เทคนิคที่นามาใช้ในการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือ มีหลายวิธี ได้แนะนาไว้ดงั นี้
ปริศนาความคิด (Jigsaw)
เป็ นเทคนิคที่สมาชิกในกลุ่มแยกย้ายกันไปศึกษาหาความรู ้ ใน
หัวข้อเนื้อหาที่แตกต่างกัน แล้วกลับเข้ากลุ่มมาถ่ายทอดความรู ้ที่ได้มาให้
สมาชิกกลุ่มฟัง วิธีน้ ีคล้ายกับการต่อภาพจิกซอว์ จึงเรี ยกวิธีน้ ีวา่ Jigsaw
หรื อปริ ศนาการคิด
ลักษณะการจัดกิจกรรม
ผูเ้ รี ยนที่มีความสามารถต่างกันเข้ากลุ่มร่ วมกันเรี ยกว่า กลุ่ม
บ้าน (Home Group) สมาชิกในกลุ่มบ้านจะรับผิดชอบศึกษา
หัวข้อที่แตกต่างกัน แล้วแยกย้ายไปเข้ากลุ่มใหม่ในหัวข้อเดียวกัน
กลุ่มใหม่น้ ีเรี ยกว่า กลุ่มผูเ้ ชี่ยวชาญ (Expert Group) เมื่อกลุ่ม
ผูเ้ ชี่ยวชาญทางานร่ วมกันเสร็ จ ก็จะย้ายกลับไปกลุ่มเดิมคือ กลุ่ม
บ้านของตน นาความรู ้ที่ได้จากการอภิปรายจากกลุ่มผูเ้ ชี่ยวชาญมา
สรุ ปให้กลุ่มบ้านฟัง ผูส้ อนทดสอบและให้คะแนน
รู ปแบบการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือที่นิยมใช้ในปัจจุบนั มี 7
รู ปแบบ ดังนี้
1. รูปแบบ Jigsaw
2. รูปแบบ STAD (Student Teams – Achievement Division)
3. รูปแบบ LT (Learning Together)
4. รูปแบบ TAI (Team Assisted Individualization)
5. รูปแบบ TGT (Teams-Games-Tournaments)
6. รูปแบบ GI (Group Investigation)
7. โปรแกรม CIRC (Cooperative Integrated Reading and
Composition)
1.รูปแบบ Jigsaw เป็ นการสอนที่อาศัยแนวคิดการต่อ
ภาพ คือ ผูเ้ รี ยนจะทางานเป็ นกลุ่มที่ได้รับมอบหมายให้
ศึกษาหัวข้อย่อย และเตรี ยมพร้อมที่จะกลับไปอธิ บายหรื อ
สอนเพื่อนสมาชิกในกลุ่มพื้นฐานของตนเอง ผูเ้ สนอ
วิธีการนี้คนแรก คือ อารอนสันและคณะ
2. รูปแบบ STAD (Student Teams – Achievement Division)
(8. : 208-211)
สลาวิน (Slavin : 1980) ได้เสนอรู ปแบบการเรี ยนแบบเป็ น
ทีมเป็ นวิธีการหนึ่งในการวางเงื่อนไขให้นกั เรี ยนพึ่งพากันแม้แต่คน
ที่เรี ยนอ่อนก็สามารถมีส่วนช่วยทีมได้ ด้วยการพยายามทาคะแนน
ให้ดีกว่าครั้งก่อน ๆ นักเรี ยนทั้งเก่ง ปานกลาง และอ่อน ต่างได้รับ
การส่ งเสริ มให้ต้ งั ใจเรี ยนให้ดีที่สุด
วิธีการของ Jigsaw จะดีกว่า STAD ตรงที่วา่ เป็ นการ
ฝึ กให้นกั เรี ยนแต่ละคนมีความรับผิดชอบในการเรี ยนมากขึ้น
และนักเรี ยนยังรับผิดชอบกับการสอนสมาชิกคนอื่น ๆ ของ
กลุ่มอีกด้วย นักเรี ยนไม่วา่ จะมีความสามารถมากน้อยแค่ไหน
จะต้องรับผิดชอบเหมือน ๆ กัน ถึงแม้วา่ ความลึกความกว้าง
หรื อคุณภาพของรายงานจะแตกต่างกันก็ตาม
3. รูปแบบ LT (Learning Together)
รู ปแบบ LT (Learning Together) นี้ จอห์นสัน และ
จอห์นสัน (Johnson and Johnson) เป็ นผูเ้ สนอ เรี ยกรู ปแบบนี้
ว่า วงกลมการเรี ยนรู ้ (Circles of Learning) รู ปแบบนี้มีการ
กาหนดสถานการณ์และเงื่อนไขให้ผเู ้ รี ยนทาผลงานเป็ นกลุ่ม
ให้ผเู ้ รี ยนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแบ่งปันเอกสาร การแบ่ง
งานที่เหมาะสม และการให้รางวัลกลุ่ม
4. รูปแบบ TAI (Team Assisted Individualization)
TAI (Team Assisted Individualization) คือ วิธีการสอน
ที่ผสมผสานระหว่างการเรี ยนแบบร่ วมมือ (Cooperative
Learning) และการสอนรายบุคคล (Individualization
Instruction) เข้าด้วยกัน โดยให้ผเู ้ รี ยนได้ลงมือทากิจกรรมใน
การเรี ยนได้ดว้ ยตนเองตามความสามารถของตนและส่ งเสริ ม
ความร่ วมมือภายในกลุ่ม มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การ
เรี ยนรู ้และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
5. รูปแบบ TGT (Teams-Games-Tournaments)
การจัดการเรี ยนการสอนแบบร่ วมมือตามรู ปแบบ TGT
เป็ นการเรี ยนแบบร่ วมมือกันแข่งขันทากิจกรรม
6. รูปแบบ GI (Group Investigation)
GI (Group Investigation) พัฒนาโดย Sharan และ
คณะ คือ ต้องการการร่ วมมือกัน มีการกระจายภาระงาน
และสิ ทธิในการแสดงความคิดเห็นที่เท่าเทียมกันของ
สมาชิกในกลุ่ม
7. โปรแกรม CIRC (Cooperative Integrated Reading and
Composition)
คือ โปรแกรมสาหรับสอนการอ่าน การเขียนและทักษะทาง
ภาษา (Language arts) โดยเน้นที่หลักสูตรและวิธีการสอน ในการ
พยายามนาการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือมาใช้ โปรแกรม CIRC พัฒนาขึ้น
โดย Madden, Slavin และ Stevens นับว่าเป็ นโปรแกรมที่ใหม่ที่สุด
ของวิธีการเรี ยนรู ้เป็ นทีม ซึ่งเป็ นโปรแกรมการเรี ยนการสอนที่นาการ
เรี ยนแบบร่ วมมือมาใช้กบั การอ่านและการเขียนโครงการ
1. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสมาชิก
2. สมาชิกทุกคนมีโอกาสคิด พูดแสดงออก แสดงความคิดเห็น ลง
มือกระทา
3. เสริ มให้มีความช่วยเหลือกัน เช่น เด็กเก่งช่วยเด็กที่เรี ยนไม่เก่ง
ทาให้เด็กเก่งภาคภูมิใจ รู ้จกั สละเวลา ส่ วนเด็กที่ไม่เก่งเกิดความ
ซาบซึ้งในน้ าใจของเพื่อนสมาชิกด้วยกัน
4. ทาให้เกิดการระดมความคิด นาข้อมูลที่ได้มาพิจารณาร่ วมกัน
เพื่อประเมินคาตอบที่เหมาะสมที่สุด เป็ นการส่ งเสริ มให้
วิเคราะห์และตัดสิ นใจเลือก
5. ส่ งเสริ มทักษะทางสังคม เช่น การอยูร่ ่ วมกันด้วยมนุษย
สัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เข้าใจกันและกัน อีกทั้งเสริ มทักษะการ
สื่ อสาร ทักษะการทางานเป็ นกลุ่ม