โลหะผสม

Download Report

Transcript โลหะผสม

วัสดุและโลหะวิทยา
บทที่ 1
โลหะ
โลหะ
โลหะจำพวกเหล็ก (Ferrous Metal)
โลหะนอกจำพวกเหล็ก(Nonferrous Metal)
ควำมเค้นและควำมเครี ยด
วัสดุในงำนอุตสำหกรรมโดยทัว่ ไปนั้นมีอยูห่ ลำย
ชนิด แต่นิยมใช้กนั อย่ำงแพร่ หลำยคือโลหะ ทั้งนี้
เนื่องจำกโลหะนั้นหำได้งำย รำคำไม่แพง แข็งแรง
ทนทำน และแปรสภำพเพื่อนำกลับใช้ได้อีก โลหะ
ดังกล่ำวนี้สำมำรถแบ่งเป็ น 2 ชนิด คือ โลหะจำพวกเหล็ก
(Ferrous Metals) และโลหะนอกจำพวกเหล็ก
(Nonferrous Metals)
การจาแนกชนิดของโลหะ
โลหะจาพวกเหล็ก (FERROUS METALS)
สิ นแร่ เหล็ก (Iron
Ore)
สิ นแร่ น้ ีสำมำรถแบ่งออกเป็ น 4 ชนิด แต่ละชนิดจะอยู่
ในสภำพที่รวมตัวอยูก่ บั ออกซิเจนทั้งสิ้ น
สิ นแร่ เหล็ก (IRON ORE)
่ ระมำณร้อยละ 70
 ฮีมาไทต์ (Fe2O3) เป็ นแร่ เหล็กสี แดง ซึ่ งจะมีเนื้ อเหล็กอยูป
และมีสภำพเป็ นแม่เหล็ก (Magnetic Iron) แหล่งที่พบคือ ประเทศสวีเดน
สหรัฐอเมริ กำ และประเทศไทย
่ ระมำณร้อยละ 72.4
 แมกนีไทต์ (Fe3O4) เป็ นแร่ สีดำ ซึ่ งจะมีเนื้ อเหล็กผสมอยูป
และมีสภำพเป็ นแม่เหล็กเช่นเดียวกับสิ นแร่ ฮีมำไทต์ แหล่งที่พบคือ ประเทศ
สหรัฐอเมริ กำ สวีเดนและประเทศไทย
 ซิเดอไรท์ (FeCo3) เป็ นแร่ เหล็กสี น้ ำตำล ซึ่ งจะมีเนื้ อเหล็กผสมอยูไ่ ม่มำกนัก
คือ มีประมำณร้อยละ 48.3 แหล่งที่พบคือประเทศสหรัฐอเมริ กำ เยอรมนี และ
อังกฤษ
 ไลมอไนต์ (Fe2O3 •3H2O) เป็ นแร่ เหล็กสี น้ ำตำล ซึ่ งมีเนื้ อเหล็กผสมอยู่
ประมำณร้อยละ 60 – 65 แหล่งที่พบมำกคือ รัฐเท็กซัส มิสซูรี และโคโลรำโด
ในประเทศสหรัฐอเมริ กำ และฝรั่งเศส
เหล็กดิบ (PIG IRON)
เหล็กดิบเป็ นผลผลิตที่ได้มำจำกเตำสู งหรื อเรี ยกว่ำ
“เตำบลำสต์เฟอร์เนซ (Blast Furnance)”
สิ่ งสกปรกซึ่ งในกระบวนกำรหลอมละลำยสิ นแร่ ดว้ ยเตำสู ง
นั้น จะมีสิ่งสกปรกเกิดขึ้นซึ่งเรำเรี ยกว่ำ สแลก (Slag)
สำหรับวัตถุดิบที่ใช้ถลุงเหล็กดิบนั้นได้แก่ สิ นแร่ เหล็ก
หิ นปูน ถ่ำนโค้ก และเหล็กใช้ซ้ ำ ซึ่งจะถูกบรรจุลงในเตำสูง
ตำมลำดับ
รู ปที่ 1.2 ส่ วนประกอบของเตาสู ง
ขั้นตอนกำรทำงำน
 เตรี ยมวัตถุดิบ
 นำวัตถุดิบบรรจุเข้ำเตำทำงปำกปล่องเตำ
 เป่ ำลมร้อนเข้ำเตำเพื่อช่วยในกำรเผำไหม้
 ถ่ำนโค้กที่ลุกไหม้จะเกิดปฏิกิริยำดึงออกซิ เจนจำกสิ นแร่ เหล็กมำรวมตัวกับคำร์ บอนใน
ถ่ำนโค้กทำให้สินแร่ เหล็กกลำยเป็ นเหล็กดิบหลอมเหลวไหลรวมตัวลงสู่ ส่วนล่ำงของ
เตำ
่ ่ วนบน
 หิ นปูนที่ใส่ เข้ำไปจะหลอมรวมตัวกับสำรมลทิน กลำยเป็ นสแลก (Slag) ลอยอยูส
ของน้ ำเหล็กดิบ
 ในขณะหลอมละลำยสิ นแร่ เหล็กนั้นจะเกิดแก๊สเตำสู ง นำแก๊สนี้ ไปเข้ำเตำเผำลมร้อน
เพื่อนำลมร้อนกลับมำช่วยในกำรเผำไหม้ได้อีก
 นำเหล็กดิบที่หลอมละลำยออกจำกเตำเพื่อเทลงสู่ แบบที่เตรี ยมไว้ ผลผลิตที่ได้จะเป็ น
เหล็กดิบซึ่ งพร้อมที่จะนำไปใช้ผลิตเหล็กชนิ ดอื่นๆ ต่อไป
เหล็กหล่ อ (CAST IRON)
 ในอุตสำหกรรมเหล็กหล่อโดยทัว่ ไปแล้วจะมีคำร์ บอนอยู่
ร้อยละ 2.5 – 4
 คุณสมบัติทำงด้ำนควำมเหนี ยว (Ductility) คือเปรำะและแตกหักได้
ง่ำยจึงไม่สำมำรถขึ้นรู ปโดยกำรรี ดหรื อกำรดึงขึ้นรู ปที่อุณหููมิสูง
 เหล็กหล่อมีรำคำถูก มีจุดหลอมตัวต่ำสำมำรถหล่อขึ้นรู ปได้รูปร่ ำง
ง่ำยกว่ำเหล็กกล้ำ
 ชนิ ดของเหล็กหล่อสำมำรถจำแนกประเูทได้หลำยลักษณะแต่ที่
แพร่ หลำยเป็ นที่ยอมรับกันนั้น อำศัยลักษณะโครงสร้ำงพื้นฐำนและ
ลักษณะกำรรวมตัวของคำร์บอน
เหล็กหล่ อสี ขาว (WHITE CAST IRON)
่ ้ งั แต่ร้อยละ 1.7 – 2
 เหล็กหล่อที่มีคำร์ บอนผสมอยูต
 เหล็กมีควำมแข็งเปรำะแตกหักง่ำย เนื้ อเหล็กจะมีสีขำว เหล็กหล่อ
ขำวนี้จะมีควำมแข็งอยูร่ ะหว่ำง 380 – 550 HB
แผนภาพสมดุลเหล็กกันคาร์ บอน
เหล็กหล่ อสี เทาหรือเหล็กหล่ อดา (GRAY CAST IRON)
 เหล็กหล่อชนิดนี้จะมีโครงสร้างคล้ายกับเหล็กดิบ
 ตกแต่งขึ้นรูปได้ง่าย
 มีจด
ุ หลอมเหลวตา่
 อัตราการขยายตัวน้อย
 ทนต่อแรงอัดและรับแรงสัน
่ (Damping Capacity) ได้ดี
โครงสร้างเหล็กหล่อสีเทา
เหล็กหล่ อเหนียว (DUCTILE AND MALLEABLE CAST IRON)
 เหล็กหล่อชนิ ดนี้ จะมีควำมเค้นแรงดึงสู งทั้งยังมีควำมเหนี ยว
 ทนต่อแรงกระแทกได้ดี ในกำรทดสอบแรงดึงเหล็กหล่อเหนี ยวจะ
พบว่ำคล้ำยคลึงกับเหล็กกล้ำคือ จะมีควำมยืดหยุน่ (Elastic)
 สำมำรถปรับปรุ งคุณสมบัติทำงกลโดยวิธีทำงควำมร้อนได้ดีอีกด้วย
เหล็กหล่อผสมหรือเหล็กหล่อพิเศษ (ALLOY OR SPECIAL CAST IRON)
 เหล็กหล่อชนิดนี้มีธาตุผสม
เช่น โครเมียม นิกเกิลและโมลิบดินมั เป็ น
ต้น
โครงสร้างเหล็กหล่อผสมหรือเหล็กหล่อชนิดพิเศษ
เหล็กกล้ า (STEEL)
เหล็กกล้ำนั้นมีคุณสมบัติในกำรรับแรงต่ำงๆ ได้ดี
สำหรับกรรมวิธีทำงควำมร้อนที่ทำต่อเหล็กกล้ำนั้น จะทำให้
โครงสร้ำงจุลภำค(Microstructure) ของเหล็กกล้ำเปลี่ยนแปลงไป
่ ระมำณไม่เกินร้อยละ 2 และ
เหล็กกล้ำมีคำร์ บอนผสมอยูป
เหล็กกล้ำยังแบ่งได้ตำมปริ มำณของคำร์บอนที่ผสมอยู่ ซึ่ง
สำมำรถแบ่งได้ 2 ชนิด
เหล็กกล้ าคาร์ บอน (CARBON STEEL)
เหล็กกล้ำคำร์ บอนต่ำ (Low Carbon Steel)
เหล็กกล้ำคำร์ บอนปำนกลำง (Medium Carbon Steel)
เหล็กกล้ำคำร์ บอนสู ง (High Carbon Steel)
เหล็กกล้ำคำร์ บอนทั้ง 3 ประเภทนี้ อำจเรี ยกว่ำเหล็กละมุน
(Mild Steel)
่ ำกเรำจะเรี ยกว่ำ เหล็กกล้ำเครื่ องมือ
 ถ้ำมีคำร์ บอนผสมอยูม
คำร์บอน (Carbon Tool Steel)
เหล็กกล้ าผสม (ALLOYS STEEL)
เหล็กกล้ำผสมนี้ ประกอบด้วย
 เหล็กกล้ำผสมต่ำ (Low Alloys Steel)
เหล็กกล้ำผสมปำนกลำง (Medium Alloys Steel)
 เหล็กกล้ำผสมสู ง (High Alloys Steel)

ธาตุทผี่ สมในเหล็กกล้ า
มีอยูใ่ นเหล็กกล้ำที่มีปริ มำณคำร์บอนต่ำ
 เหล็กกล้ำผสมซิ ลิคอนที่สำคัญอำจแยกออกได้เป็ น 3 ประเูท คือ
 Silicon – Manganese Steel
 Silicon Steel
 Value Steel
 โมลิบดินัม ช่วยให้เกิดกำรจับตัวของคำร์ ไบด์อย่ำงแน่นหนำและเป็ น
ธำตุที่ช่วยไม่ให้เกิดกำรแตกร้ำวได้ง่ำยและยังป้ องกันไม่ให้เกิดกำร
ขยำยตัวของเกรนอีกด้วย
 วาเนเดียม เป็ นธำตุที่ช่วยให้เกิดกำรจับตัวของคำร์ -ไบด์อย่ำงแน่นหนำ
 ซิลค
ิ อน
ธาตุทผี่ สมในเหล็กกล้ า (ต่ อ)
ทังสเตน เป็ นธำตุที่ช่วยให้เกิดกำรจับตัวของคำร์ -ไบด์อย่ำง
แน่นหนำ
 คำร์ ไบด์เหล่ำนี้ จะไม่ละลำยเป็ นเนื้ อเดียวกับเหล็กทั้งหมด
ถึงแม้วำ่ จะมีอุณหููมิสูง ๆ
 เหล็กชนิ ดนี้ จึงใช้ทำเครื่ องมือพวกที่มีรอบหมุนด้วย
ควำมเร็ วสูง
 ทังสเตนยังจะช่วยให้เหล็กกล้ำผสมมีขนำดเกรนละเอียด
โลหะนอกจาพวกเหล็ก (NONFERROUS METALS)
โลหะหนัก (Heavy Metals)
โลหะเบำ (Light Metals)
โลหะผสม (Alloy Metals)
โลหะหนัก (HEAVY METALS)
ทองแดง
 สามารถนาไฟฟ้ าและความร้อนได้ดี
 ทนต่อการสึกหรอและทนต่อการกับ
 ทองแดงสามารถนาไปใช้ทาสายไฟฟ้ า เครือ่ งไฟฟ้ า หัวแร้ง
บัดกรี เครือ่ งประดับต่างๆหรืออุปกรณ์เครือ่ งเย็นและอุปกรณ์
เครือ่ งจักรกล
 สังกะสี
 จุดหลอมเหลวตา่
่ นทานต่อสภาพบรรยากาศ ไม่เกิดการกัดกร่อนแต่ไม่ทนต่อกรดและ
 โลหะทีท
เกลือ
 ดีบุก
 มีจดุ หลอมเหลวตา่
 เนื้อโลหะอ่อนและรีดเป็ นแผ่นได้ง่าย
 ทนต่อการกัดกร่อนในบรรยากาศปกติได้ดี ไม่เป็ นพิษจึงนาไปเคลือบแผ่นเหล็ก
ทากระป๋ องบรรจุอาหาร
 สามารถนาดีบุกไปใช้เป็ นโลหะบัดกรี แบริง่ ทัง้ ยังใช้เคลือบแผ่นเหล็กเพื่อ
ป้ องกันการกัดกร่อนและใช้ทาอุปกรณ์ไฟฟ้ า – อิเล็กทรอนิกส์
 ตะกัว
่
เป็ นโลหะที่มีควำมเหนียวและนิ่มขึ้นรู ปได้ง่ำย
 มีควำมหนำแน่นมำก
 มีจุดหลอมเหลวต่ำ
 ทนกำรกัดกร่ อนได้ดี โดยเฉพำะกรด
 ตะกัว่ ยังมีคุณสมบัติเป็ นตัวหล่อลื่นที่ดีอีกด้วย แต่ตะกัว่ มีควำมแข็งแรงต่ำ
 นิกเกิล
 นิ กเกิลมักจะร่ วมกับแร่ อื่น
 มีควำมเหนี ยวและขัดขึ้นมันได้ดี
 ทนต่อกำรกัดกร่ อนของกรดและด่ำง แต่ไม่ทนต่อกรดอย่ำงเข้มข้น
 สำมำรถนำไปใช้งำนชุบเคลือบผิวป้ องกันสนิม

 โครเมียม
 โครเมียมเป็ นโลหะทีม่ ีสคี ล้ายเหล็ก
 เมื่อหักดูจะมีรอยหักเป็ นสีขาวเป็ นมันวาวเหมือนกับเงิน
 แต่แข็งและเปราะ ทนต่อการกัดกร่อนและทนต่อการสึกหรอ
 สามารถนาไปใช้งานเคลือบผิวป้ องกันสนิม ทาวัสดุผสมกับเหล็กกล้าไร้สนิม
กระบอกสูบและเครือ่ งมือทีท่ นต่อการสึกหรอ
 สามารถนาไปใช้เป็ นสารเคมีฟอกหนัง
 ทังสเตน
 เป็ นโลหะทีม่ ีสขี าวเหมือนเงิน
 มีความเหนียว มีจดุ หลอมเหลวสูง ทนต่อการกัดกร่อน
 เป็ นตัวนาความร้อนได้ดี มีความแข็งแต่เปราะ
 โมลิบดินัม
มีสีขำวเหมือนเงิน
 มีควำมเหนี ยวสำมำรถดัดโค้งงอได้
 ทำเป็ นแผ่นบำงได้ มีคุณสมบัติอื่นๆทัว่ ไปคล้ำยกับทังสเตน
 สำมำรถนำไปใช้ผสมทำให้โลหะมีควำมแข็งแรง
เช่นใช้เป็ นวัสดุผสมกับเหล็กให้เหล็กเหนี ยวขึ้น ควำมเค้นแรงดึงเพิ่มขึ้น
สำรประกอบโมลิบดินมั ได้แก่โมลิบดินมั ซัลไฟด์(MoS2) ใช้ทำวัสดุหล่อลื่น
ได้ดี
 วาเนเดียม
 มีควำมแข็งมำกและทนทำนต่อกำรกัดกร่ อนของกรด
 ทนต่อควำมร้อนได้สูงมำก
 สำมำรถนำไปใช้ทำเป็ นโลหะผสมเหล็ก ทำให้ควำมเหนี ยวและควำมเค้นสู งมำก
ขึ้น

 โคบอลต์
 เป็ นโลหะสี เงินเทำมีคุณสมบัติคล้ำยนิ กเกิล
 มีควำมเหนี ยวมำกกว่ำและเป็ นส่ วนประกอบที่สำคัญของโลหะแข็ง
 โคบอลต์น้ น
ั สำมำรถนำไปใช้ผสมทำแม่เหล็กและใช้ทำเครื่ องมือใน
วงกำรแพทย์ได้
 แมงกานีส
 เป็ นโลหะที่มีสีขำว
 มีควำมแข็งแต่เปรำะ
 ถ้ำผสมลงในเหล็กมีผลทำให้แกรไฟต์แยกตัวได้นอ้ ยในเหล็กหล่อ
 แมงกำนี สสำมำรถนำไปใช้เป็ นโลหะผสม


แทนเทเลียม
 เป็ นโลหะแข็ง มีสีเทำเป็ นมัน
 ถ้ำยิง่ บริ สุทธิ์ เท่ำใดจะยิง่ อ่อน สำมำรถดึงเป็ นเส้นได้ง่ำยและมีค่ำควำมเค้นแรงดึง
สูงสุ ดประมำณ 350 – 1,100 N/mm2
 ทนต่อกรดต่ำงๆได้เกือบทุกชนิ ด ทนต่อควำมร้อน
 มีคุณสมบัตินำไฟฟ้ ำและควำมร้อน
ไทเทเนียม
 มีควำมเค้นแรงดึงเท่ำกับเหล็กหล้ำถึงแม้วำ่ จะมีอุณหภูมิประมำณ 400 องศำเซลเซี ยส
 ยังทนต่อกำรกัดกร่ อนได้เป็ นอย่ำงดี
 สำมำรถนำไปใช้เป็ นวัสดุผสมทำให้โลหะมีควำมแข็ง
เช่น เหล็กผสม อะลูมิเนี ยมผสม จะมีควำมแข็งแรงที่อุณหภูมิสูงจึ งใช้ทำกังหัน
ไอน้ ำและครี บเทอร์ ไบน์ของเครื่ องยนต์ไอพ่น เป็ นต้น
 พลวง
 มีขาวเหมือนเงิน
 มีความแข็ง เปราะ
 ความแข็งของพลวงจะดูได้จากการตะไบโลหะผสมเหล็กกับพลวง ซึง่ ในขณะ
ตะไบจะมีประกายไฟเกิดขึ้น
 แคดเมียม
่ นต่อการกัดกร่อน
 เป็ นโลหะทีท
 มีความแข็งและใช้เป็ นโลหะผสม
 แคดเมียมสามารถนาไปใช้ชุบผิวเหล็กและอะลูมิเนียม

บิสมัท
 เป็ นโลหะแข็งเหมือนพลวง
 มีสคี อ่ นข้างแดง มีความเปราะ
 เป็ นวัสดุผสมทีช่ ว่ ยลดจุดหลอมเหลวให้ตา่ ลง
 ปรอท
 เป็ นโลหะทีม่ ีสขี าว
 ปรอทเป็ นโลหะชนิดเดียวทีเ่ ป็ นของเหลวทีอ่ ุณหภูมิหอ้ ง
 ปรอทจะกลายเป็ นไอ ณ อุณหภูมิ 357
องศาเซลเซียส
 เงิน

มีคณ
ุ สมบัตเิ ป็นตัวนาไฟฟ้ าทีด่ ที สี่ ุด
 มีราคาแพง
 เงินสามารถนาไปใช้ทาหลอดกลักฟิ วส์และหน้าสัมผัสงานไฟฟ้ า เครือ่ งวัด
ด้วยแสงทีต่ อ้ งการความเทีย่ งตรงของ
 ทอง

ทองเป็ นโลหะอ่อน รีดง่าย
 สามารถนาไฟฟ้ าได้ดรี องจากเงินและทองแดง
 ทนต่อการกัดกร่อน ทนต่อไฟ
 ทองคาขาว

โลหะทีม่ ีราคาแพงและหนักทีส่ ุดในบรรดาโลหะทัง้ หลาย
 ทองคาขาวเป็ นโลหะมีลกั ษณะมันวาวสีขาว
 ไม่ข้ ึนสนิมและนาไฟฟ้ าได้ดี
 เผาให้รอ้ นก็ยงั เป็ นโลหะทีย่ อมรวมตัวกับออกซิเจนในอากาศทาให้ผิวไม่เกิด
สนิม
 สามารถดึงและรีดเป็ นเส้นเล็กได้
 ทนต่อการกัดกร่อน
โลหะเบา (LIGHT METALS)
โลหะเบำ หมำยถึง โลหะที่มีควำมหนำแน่นน้อย
กว่ำ 4 kg/dm3
 อะลูมิเนียม
 มีความหนาแน่นน้อย
 นา้ หนักเบาและมีความแข็งแรงต่อนา้ หนักสูง

มีความเหนียวมาก สามารถขึ้นรูปด้วยกรรมวิธี ต่างๆได้ง่าย และมีจดุ หลอม
ตัวตา่
 โลหะทีไ่ ม่เป็ นพิษต่อร่างกายและมีคา่ การนาความร้อนสูง จึงใช้ทาภาชะหุงต้ม
อาหารเป็ นโลหะทีไ่ ม่เป็ นแม่เหล็กไม่เกิด

แมกนีเซียม
่ ีนา้ หนักเบา
เป็ นโลหะทีม
มีคณ
ุ สมบัตใิ นการแปรรูปบนเครือ่ งจักรดีมาก
ความแข็งแรงซึง่ ความแข็งแรงนัน
้ จะขึ้นอยูก่ บั ความบริสุทธิ์
่ ูกนามาใช้จงึ อยูใ่ นรูปของแมกนีเซียมผสม
แมกนีเซียมเกือบทัง้ หมดทีถ
เป็ น 2 ประเภท
แมกนีเซียมเหนียวผสม
แมกนีเซียมหล่อผสม
 แมกนีเซียมผสมสามารถปาดผิวได้ง่าย และขึ้นรูปด้วยการ รีด ดึง ตี ได้
โดยง่าย
แมกนีเซียมผสมถ้าถูกนา้ จะเกิดการกัดกร่อน
 เบริลเลียม
 เป็ นโลหะทีม่ ีอตั ราการยืดตัวน้อยมาก
 ใช้เป็ นโลหะผสมจะทาให้โลหะผสมเหล่านัน้
มีความแข็ง
เพิ่มมากขึ้น
 เบริลเลียมสามารถนาไปใช้เป็ นโลหะผสมทองแดง นอกจากนัน้ ยังใช้กบั
งานทีต่ อ้ งการความแข็งแรงสูงและทนต่อการกัดกร่อน
ได้ดี
โลหะผสม (ALLOY METALS)
โลหะหนักผสม (Alloy Heavy Metals) เป็ นกำรนำเอำ
โลหะหนักหลำยๆ ชนิดมำผสมกัน
 ทองเหลือง
 เป็ นวัสดุผสมระหว่างทองแดงกับสังกะสี
 ทองเหลืองสามารถนาไปใช้ทาโลหะประณีตต่างๆ ชิ้นส่วนเครือ่ งมือกลที่
ต้องสวมอัดขณะร้อน ชิ้นส่วนนาฬิกาและตัวใบเครือ่ งกังหัน เป็ นต้น
 ทองเหลือหล่อ
 เป็ นวัสดุผสมระหว่าทองแดง สังกะสีและดีบุก
 มีความแข็งแรงมากกว่าทองเหลืองทัว่ ๆไป
 ดีบุกผสมจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กบั ทองเหลือหล่อ
 สังกะสีนนั้ จะระเหยไปทุกครัง้ ทีม่ ีการหลอมละลาย
 ทองเหลืองพิเศษหรือทองแดงบัดกรี
 เป็ นวัสดุผสมระหว่างทองแดง ตะกัว่ แมงกานีส อะลูมิเนียม ดีบุกและ
เหล็ก
 ทองเหลืองพิเศษนี้สามารถนาไปใช้ทาใบพัดเรือเดินทะเล อุปกรณ์ใน
งานเคมีและงานบัดกรีทตี่ อ้ งการความแข็งแรง
 เงินเยอรมัน
 เป็ นวัสดุผสมระหว่างทองแดง สังกะสีและนิกเกิล
 โลหะนี้สามารถดึงและขึ้นรูปเย็นได้ดี
 ทนต่อการกัดกร่อน
 ถ้าผสมตะกัว่ ลงไปอีกประมาณ
บรอนซ์
 เป็ นวัสดุผสมระหว่างทองแดงกับโลหะผสมอืน่ ๆ ซึง่ อาจมีมากว่า 1 ชนิด
 บรอนซ์ดบ
ี ุก

เป็ นวัสดุผสมระหว่างดีบุก ทองแดงและสังกะสี
 เป็ นบรอนซ์ทมี่ ีความแข็งแรงมากชนิดหนึ่ง
 อีกทัง้ ยังมีความยืดหยุน่ และทนต่อการผุกร่อนได้ดี
 บรอนซ์อะลูมิเนียม
 เป็ นวัสดุทม่ี ีสว่ นผสมระหว่างอะลูมิเนียม ทองแดงและสังกะสี
 บรอนซ์อะลูมิเนียมชนิดนี้มีความเค้นแรงดึงสูงและทนต่อการกัดกร่อน อีกทัง้
ยังสามารถทาการเชือ่ มได้อกี ด้วย
บรอนซ์ตะกัว่
 เป็ นวัสดุผสมระหว่างตะกัว่ ทองแดงและสังกะสี
 บรอนซ์ตะกัว่ มีผวิ ทีล่ ื่นตัวได้ดม
ี าก จึงสามารถรับแรงกดบนผิวตัว
มันเองได้ดี
บรอนซ์เบริลเลียม
 เป็ นวัสดุทเี่ กิดจากการผสมกันระหว่างเบริลเลียม ทองแดงและ
สังกะสี
 บรอนซ์เบริลเลียมชนิดนี้มีความยืดหยุน่ สูงอีกทัง้ ยังชุบแข็งได้ดี
 ทองแดงผสมนิกเกิล
 เป็ นวัสดุผสมระหว่ำงทองแดงกับนิ กเกิล
 สำมำรถนำไปใช้ทำลวดในเครื่ องมือวัดอุณหภูมิสูง ลวดต้ำนทำนไฟฟ้ ำ
และสตำร์ตเตอร์
 ตะกัว
่ ผสม
 ประกอบด้วยตะกัว่ พลวง ดีบุกและทองแดง
 โลหะตะกัว่ ผสมจะมีควำมแข็งสู ง ถ้ำผสมกับพลวงในอัตรำส่ วนร้อย
ละ 5 – 25
 ดีบุกผสม
 ประกอบด้วยดีบุก ตะกัว่ บิสมัทและแคดเมียม
 โลหะผสมดีบุกมีคุณสมบัติควำมลื่นตัว
 สั งกะสี ผสม
ประกอบด้วยสังกะสี อะลูมิเนียม แมงกำนีสและทองแดง
สังกะสี ผสมมีควำมแข็งแรงสู งถ้ำผ่ำนกรรมวิธีกำรหล่ออัดและผิวงำนที่
เรี ยบร้อย
 สังกะสี ผสมที่ผำ่ นกำรรี ดจะมีควำมแข็งแรงไม่มำกนัก
 สังกะสี ผสมสำมำรถนำไปใช้งำนแทนทองเหลืองได้เป็ นอย่ำงดี
 โลหะผสมนิกเกิล
 ประกอบด้วยนิ กเกิลและทองแดงหรื อนิ กเกิลผสมเหล็ก เป็ นโลหะผสมที่
สำคัญ
 ทำให้มีคุณสมบัติทนต่อกำรกัดกร่ อนของกรดและทนต่อระดับอุณหภูมิสูงๆ
ได้ดี
 มีควำมต้ำนทำนกำรกัดกร่ อนสู งมำก


โลหะเบาผสม (ALLOY LIGHT METAL)

อะลูมิเนียมผสม
 เป็ นวัสดุผสมที่ประกอบด้วยอะลูมิเนี ยม แมกนี เซี ยม ทองแดง
ซิลิกอน นิกเกิลและแมงกำนีส
 โลหะอะลูมิเนี ยมผสมชนิ ดนี้ แบ่งได้เป็ น 2 ประเภท คือ
 ชนิ ดหล่อและชนิ ดรี ด โดยปกติอะลูมิเนี ยมจะมีสีขำว
 ถ้ำผ่ำนกำรหล่อจะมีควำมแข็งแรงน้อยกว่ำกำรรี ดและจะนำ
ควำมร้อนและไฟฟ้ ำได้ไม่ดีเท่ำที่ควร
แมกนีเซียมผสม
 เป็ นวัสดุผสมที่ประกอบด้วยแมกนี เซี ยม อะลูมิเนี ยมและแมงกำนี ส
แมงกำนีสผสม
 มีน้ ำหนักเบำ แต่แข็งแรง
 ตกแต่งขึ้นรู ปได้ง่ำยกว่ำ
 โดยทัว่ ไปแมกนี เซี ยมผสมสำมำรถแบ่งได้ 2 ประเภทคือ
 ชนิ ดหล่อ
 ชนิ ดรี ด
 สิ่ งสำคัญควรระมัดระวังคือเศษแมกนี เซี ยมผสมจะเกิดลุกไหม้ได้ง่ำย
และถ้ำเกิดกำรลุกไหม้ไม่ควรใช้น้ ำดับโดยเด็ดขำด

 โลหะซิ นเตอร์




(Sinter Metals)
โลหะที่ผลิตจำกผงโลหะหลำยชนิดที่มีควำมละเอียดมำกนำมำอัดขึ้นรู ปและอบ
ด้วยควำมร้อนสูง โดยมีรำยละเอียดขั้นตอนกำรผลิตดังนี้
น้ ำโลหะผสมบดให้เป็ นผงละเอียด
นำผงโลหะที่บดจนละเอียดแล้วอัดขึ้นรู ปในแบบอัดตำมลักษณะงำนที่
ต้องกำร
ผงอัดที่อด
ั ขึ้นรู ปแล้ว ต้องนำไปอบที่อุณหภูมิประมำณ 800 – 1,000 องศำ
เซลเซียส ขณะอบต้องป้ องกันกำรรวมตัวของออกซิเจน โดยใช้แก๊สเฉื่ อย
ปกคลุม
จำกนั้นนำไปตัดขึ้นรู ปตำมต้องกำรและนำไปอบด้วยควำมร้อนที่อุณหภูมิ
1,400 – 1,700 องศำเซลเซียสจะทำให้ซินเตอร์มีควำมแข็งแรงยิง่ ขึ้น
มีคุณสมบัติทนควำมร้อนสูง
มีควำมแข็งแรงและทนต่อกำรกัดกร่ อน
มีควำมเปรำะแตกหักง่ำยเนื่องจำกมีรูพรุ น
ความเค้ นและความเครียด
 ความเค้ น (Stress)
 แรงภำยนอกที่กระทำต่อโลหะและกระจำยอย่ำงสม่ำเสมอบน
พื้นที่หน้ำตัดของโลหะนั้น ขณะเดียวกันภำยในเนื้อโลหะก็จะเกิด
แรงต่อต้ำนแรงเหล่ำนั้นอย่ำงสม่ำเสมอและขนำดของควำมเค้น
Stress = P/A
เมื่อ Stress = ควำมเค้น
P = แรงกระทำ
A = พื้นที่ภำคตัดที่รับแรง
 ความเครียด (Strain)
ควำมเครี ยดเกิดขึ้นจำกควำมเปลี่ยนแปลงของโลหะ
 ไม่วำ่ จะเป็ นกำรหดตัวเข้ำ (Contraction) หรื อกำรยืดตัวออก (Elongation)
เมื่อโลหะนั้นอยูภ่ ำยใต้แรงอัด (Compressive) และแรงดึง (Tensile)

Strain = L – Lo/Lo
เมื่อ Strain = ควำมเครี ยด
L = ควำมยำวหลังจำกที่โลหะถูกแรงกระทำ
Lo = ควำมยำวเดิม
รูปความสัมพันธ์ระหว่างความเค้นกับความเครียด
รูปความสั มพันธ์ ระหว่ างความเค้ นกับความเครียดของวัสดุแข็งเปราะ
THE END