Ãкºà¤Ã×Í¢èÒÂàº×éͧµé¹.pptx
Download
Report
Transcript Ãкºà¤Ã×Í¢èÒÂàº×éͧµé¹.pptx
อาจารย ์ พิศษ
ิ ฐ ์ นาคใจ
มหาวิทยาลัยราชภัฎอุตรดิตถ ์
เครือข่ายคอมพิวเตอร ์ เกิดจากการนาคอมพิวเตอร ์ มา
่
่ าสัญญาณข ้อมูล และอุปกรณ์
เชือมต่
อเข ้าด ้วยกัน โดยใช ้สือน
่
เครือข่ายทีจ่ าเป็ น เพือใช
้ประโยชน์จากทร ัพยากรในเครือข่าย
่
ร่วมกัน เช่น ใช ้เครืองพิ
มพ ์ร่วมกัน การใช ้โปรแกรมประยุกต ์
ร่วมกัน หรือ การใช ้ข ้อมูลร่วมกัน
่
่ อได ้หลาย
การเชือมต่
อทางกายภาพ สามารถทาการเชือต่
่
รูปแบบ เช่น การเชือมต่
อคอมพิวเตอร ์ กับเครือข่ายโทรศัพท ์
่
่ จนกระทังถึ
่ ง
การเชือมต่
อคอมพิวเตอร ์ กับเครือข่ายท ้องถิน
่ อ เข ้ากับ เครือข่ายทางไกล
การเชือต่
่
่ ดคือ
การเชือมต่
อเครือข่ายทางกายภาพ ในรูปแบบทีง่่ ายทีสุ
่
่
่ ตามบ้าน เข้ากับ
การเชือมต่
อเครืองคอมพิ
วเตอร ์ทีใช้
เครือข่ายของผู ใ้ ห้บริการเครือข่ายผ่านระบบโทรศพ
ั ท์
(Internet Service Provider: ISP)
เนื่ องจากคอมพิวเตอร ์ เป็ นระบบแบบ ดิจต
ิ อล (Digital) แต่
การสนทนาทางโทรศัพท ์ ทาการส่งข ้อมูลแบบ อนาลอก
่ นการส่งข ้อมูลคนละประเภทกัน
(Analog) ซึงเป็
่
ดังนั้นจึงจาเป็ นทีจะต
้องใช ้อุปกรณ์สาหร ับ แปลงสัญญาณ
่
Digital เป็ น Analog เพือใช้
ในการส่งข้อมู ล และ แปลง
่
สัญญาณ Analog เป็ น Digital เพือใช้
ในการร ับ
ข้อมู ล
้ อ โมเด็ม (Modem)
อุปกรณ์ทท
ี่ าการแปลงสัญญาณนี คื
โมเด็ม (Modem) มี 2 ชนิ ดได ้แก่
้
◦ 1. สาหร ับติดตังภายใน
(Internal Modem) จะมี
้
่
ลักษณะเป็ นแผงวงจรสาหร ับติดตังภายในเครื
อง
คอมพิวเตอร ์
้
◦ 2. สาหร ับติดตังภายนอก
(External Modem) จะมี
่ าเร็จรูป สาหร ับเชือมต่
่
่
ลักษณะเป็ นเครืองส
อกับช่องสือสาร
แบบ อนุ กรม หรือ USB
ความเร็วสูงสุดของโมเด็มในปัจจุบน
ั = 56 Kbps
่
ความเร็วในการเชือมต่
อของโมเด็ม = ความเร็วสูงสุดของ
่ ประสิทธิภาพต่ากว่า
โมเด็มทีมี
่
ง อาจไม่เท่ากับความเร็วในการ
ความเร็วในการสือสารจริ
่
เชือมต่
อ
Internal Modem
External Modem
ข ้อดี
้
ไม่ต ้องใช ้ไฟเลียง
ราคาถูกกว่า
้ ในการวาง
่
ไม่เปลืองพืนที
ข ้อเสีย
้
ติดตังยาก
(ต ้องถอด
case)
เสีย Slot และ IRQ
่
เพิมความร
้อนภายใน
Internal Modem
ข ้อดี
่
เคลือนย
้ายได ้สะดวก
้ าย
ติดตังง่
ไม่เปลือง Slot
ข ้อเสีย
เสีย Port ไปหนึ่ ง Port
้
ต ้องใช ้ไฟเลียง
้ ในการวาง
่
เปลืองพืนที
External Modem
ย่อมาจาก Local Aria Network หมายถึง “ระบบ
่ หรือ “ระบบเครือข่ายขนาดเล็ก” โดย
เครือข่ายท ้องถิน”
้
่ นไป
้
จะต ้องมีคอมพิวเตอร ์ตังแต่
2 เครืองขึ
่
่ อยู่ โดย
วัตถุประสงค ์เพือการแบ่
งกันใช ้ทร ัพยากรทีมี
ทร ัพยากรเหล่านั้นอาจเป็ นหน่ วยประมวลผลกลาง CPU
่
ฮาร ์ดดิสก ์ เครืองพิ
มพ ์ การส่งผ่านข ้อมูล
่
่ ดสรรการใช ้งาน
วิธก
ี ารเชือมต่
อเครือข่ายคอมพิวเตอร ์ เพือจั
ทร ัพยากรในระบบเครือข่ายสามารถจาแนกได ้เป็ น 2 รูปแบบ
คือ
่
่
◦ เครือข่ายแบบพึงเครื
องบริ
การ (Server - based
networking)
◦ เครือข่ายแบบเท่าเทียม (Peer - to Peer
่
่
เป็ นการเชือมต่
อโดยมีเครืองบริ
การ(Server) อยู่ศน
ู ย ์กลาง
่
่ องผู
่ ใ้ ช ้หรือสถานี งาน
ทาหน้าทีในการให
้บริการต่าง ๆ ทีเครื
้ นผูจ้ ด
(Workstation/Client) ร ้องขอ รวมทังเป็
ั การดูแล
้
การจราจรในระบบเครือข่ายทังหมด
นั่นคือการติดต่อกัน
่ าง ๆ จะต ้องผ่านเครืองเซิ
่
่ ใ้ ช ้
ระหว่างเครืองต่
ร ์ฟเวอร ์ เครืองผู
่
จะทาการประมวลผลในงานของตนเท่านั้น ไม่มห
ี น้าทีในการ
่ น
่ ๆ ในระบบ
ให ้บริการกับเครืองอื
่
่ องทุ
่ กเครืองในระบบเครื
่
เป็ นการเชือมต่
อทีเครื
อข่ายมีสถานะ
่ กเครืองสามารถเป็
่
เท่าเทียมกันหมด โดยเครืองทุ
นได ้ทัง้
่ ใ้ ช ้และเครืองบริ
่
เครืองผู
การในขณะใดขณะหนึ่ ง ในระบบ
้
่
เครือข่ายประเภทนี การติ
ดต่อระหว่างแต่ละเครืองจะสามารถ
ติดต่อกันได ้โดยตรง มีข ้อเสียคือประสิทธิภาพในการร ับส่ง
ข ้อมูลด ้อยกว่าServer base network ทาให ้ไม่เหมาะกับ
่ การใช ้งานการร ับส่งข ้อมูลผ่านเครือข่ายมาก ๆ
ระบบทีมี
ข้อดี
- มีความเสถียรภาพสูง
- การดูแลระบบสามารถทาได ้
ง่ายกว่า
ข้อเสีย
่
- เสียค่าใช ้จ่ายสูงสาหร ับเครือง
server
- ถ ้า Server เสียระบบจะหยุด
หมด
Server base
ข้อดี
- สามารถใช ้งานทร ัพยากรซึง่
่
่
เชือมอยู
่กบั เครืองใด
ๆ ใน
เครือข่าย
- ประหยัดค่าใช ้จ่ายในส่วนของ
Server
ข้อเสีย
- การดูแลระบบทาได ้ยาก เนื่ อง
จากทร ัพยากระกระจัดกระจาย
่ าง ๆ
กันไปในเครืองต่
่ ่ากว่าแบบ
- มีประสิทธิภาพทีต
Server
- based มาก
Peer
to peer
คอมพิวเตอร์
ทรัพยากรอืน
่ ๆ ในระบบเครือข่าย
สายเคเบิล
เกตเวย์ หรือ เราเตอร์
ั หรือ สวิทซ ์
ฮพ
รีพต
ี เตอร์
สาหรับคอมพิวเตอร์เป็ นองค์ประกอบหลักของระบบ
ื่ มต่อกัน ไม่
เครือข่าย คอมพิวเตอร์ทต
ี่ ้องการมาเชอ
จาเป็ นต ้องเป็ น ประเภทเดียวกัน
ดังนัน
้ สามารถจะนาคอมพิวเตอร์ทม
ี่ ค
ี วามสามารถในการ
ื่ มต่อกับระบบเครือข่าย มาเชอ
ื่ มต่อกันได ้
เชอ
ั ท์มอ
ไมโครคอมพิวเตอร์ โทรศพ
ื ถือ เป็ นต ้น
่ ทีสามารถเชื
่
่
หมายถึง อุปกรณ์ คอมพิวเตอร ์อืนๆ
อมเข
้ากับ
ระบบเครือข่ายได ้ เช่น
่
๊
◦ เครืองปริ
นเตอร
์
่
◦ เครืองแสกนเนอร
์
่ าเนาเอกสาร
◦ เครืองส
่
◦ เครืองแฟกซ
์
่ ามาใช ้เชือมต่
่
่
คือสายสัญญาณทีน
อเครืองคอมพิ
วเตอร ์กับ
้ ใช
่ ้ มีหลายแบบ แต่ละ
อุปกรณ์ตา่ งๆ เข ้าด ้วยกัน สายเคเบิลที
แบบมีความเร็วในการร ับส่งข ้อมูลแตกต่างกันไป
สาย Coaxial
สาย UTP
สาย STP
สาย Fiber Optic
เป็ นสายเส ้นเดียวมีลวดทองแดงเป็ นแกนกลางหุ ้มด ้วยฉนวน
สายยาง โดยจะมีลวดถักหุ ้มฉนวนสายยางอีกชน้ั (shield)
ป้ องกันสัญญาณรบกวน และมีฉนวนด ้ายนอกเป็ นยาง สีดาหุ ้ม
อีกชน้ั จะมีอยู่ 2 แบบด ้วยกันคือ อย่างหนา (thick) อย่างบาง
่
(thin) ส่วนมากจะใช ้งานบนระบบ Ethernet โดยทีปลายสาย
ทัง้ 2 ด ้ายจะต ้องมีตวั terminator ปิ ดด ้วย มีความเร็วในการ
่ าสายแบบ UTP สาย Coaxial อย่างบาง (thin)
ส่งข ้อมูลตากว่
มีข ้อเสียคือ ไม่สามารถใช ้ร ับ-ส่งสัญญาณได ้เกิน 185 เมตร
อาจต ้องใช ้ตัวทวนสัญญาณ (Repeater) ช่วยขยายสัญญาณ
ให ้
(Unshielded Twisted Pair) หรือสาย CAT (Category)
เป็ นสายเส ้นเล็กจานวน 8 เส้นตีเกลียวคู ่ มีอยู่ 4 คู่ ไม่มเี ส้น
ลวดถัก (shield) เพราะการตีเกลียวคูเ่ ป็ นการลดสัญญาณ
รบกวนอยู่แล ้ว การใช ้งานจะต ้องมีการเข ้าหัว RJ-45 เข ้ากับ
สาย UTP แล ้วนาไปเสียบเข ้ากับ Hub มีความเร็วในการรบั ส่งข ้อมูล 10/100Mbps ปัจจุบน
ั นิ ยมใช ้กันมาก เพราะ
้
สนับสนุ นการร ับ-ส่งข ้อมูลความเร็วตังแต่
10-100 Mbps
(Shielded Twisted Pair) เป็ นสายเส ้นคูต
่ เี กลียวมีอยู่ 2 คู่ มี
เส ้นลวดถัก (shield) ป้ องกันสัญญาณรบกวน ใช ้งานในการ
่
่
เชือมต่
อระยะทางไกลๆ ซึงสาย
UTP ทาไม่ได ้ การเข ้าหัวของ
STP ใช ้หัว RJ 45 เช่นเดียวกับ UTP
เส ้นใยแก ้วนาแสงหรือไฟเบอร ์ออปติก เป็ นตัวกลางของ
่ ามาจากแก ้วซึงมี
่ ความบริสท
สัญญาณแสงชนิ ดหนึ่ ง ทีท
ุ ธิสู์ ง
มาก เส ้นใยแก ้วนาแสงมีลก
ั ษณะเป็ นเส ้นยาวขนาดเล็ก มี
่
ขนาดประมาณเส ้นผมของมนุ ษย ์เรา เส ้นใยแก ้วนาแสงทีดี
ต ้องสามารถนาสัญญาณแสงจากจุดหนึ่ งไปยังอีกจุดหนึ่ งได ้
โดยมีการสูญเสียของสัญญาณแสงน้อยมาก
เส ้นใยแก ้วนาแสงสามารถแบ่งตามความสามารถในการนา
แสงออกได ้เป็ น 2 ชนิ ด คือ
่ (Singlemode Optical Fibers, SM)
◦ ชนิ ดโหมดเดียว
◦ ชนิ ดหลายโหมด (Multimode Optical Fibers, MM)
่ าหน้าทีในการ
่
Router: อุปกรณ์เครือข่ายคอมพิวเตอร ์ทีท
่
เชือมโยงเครื
อข่ายคอมพิวเตอร ์ประเภท LANs – WANs หรือ
่
WANs – WANs หน้าทีการท
างานของอุปกรณ์ Router คือ
การพิจารณาคัดเลือกเส ้นทางในการส่งผ่านข ้อมูลไปยัง
่ ๆ (Internetworking Device)
เครือข่ายคอมพิวเตอร ์อืน
่
Gateway เป็ นอุปกรณ์ทมี
ี่ ความสามารถสูงในการเชือมต่
อ
่
เครือข่ายต่างๆ เข ้าด ้วยกัน โดยสามารถเชือมต่
อ LAN หลายๆ
่ ้โปรโตคอลต่างกัน ตัวอย่างเช่น เชือมต่
่
เครือข่ายทีใช
อ
่ ้สายส่งแบบ UTP เข ้ากับ Token Ring
Ethernet LAN ทีใช
่ ้สาย Coaxial ได ้
LAN ทีใช
่
HUBs: อุปกรณ์ทท
ี่ าหน้าทีในการรวมสั
ญญาณ และกระจาย
่
่ อมต่
่
สัญญาณไปยังเครืองคอมพิ
วเตอร ์ต่าง ๆ ทีเชื
อเข ้าไว ้
ด ้วยกัน
แบ่งออกเป็ น 2 ประเภทคือ ประเภทที่ 1 "Passive HUBs”
่ ับและส่งผ่านข ้อมูล ประเภทที่ 2
คืออุปกรณ์ทมี
ี่ หน้าทีในร
่
“Active HUBs” คืออุปกรณ์ทมี
ี่ หน้าทีในการทวนสั
ญญาณ
้ อเกิ
่ ดการลดทอนของสัญญาณบนสายส่งผ่านข ้อมูล
ซาเมื
่ นเดียวกับ HUBs คือรวมสัญญาณ
Switches: ทาหน้าทีเช่
่
ข ้อมูล และกระจายสัญญาณข ้อมูลไปยังเครืองคอมพิ
วเตอร ์
่ ่ระบบเครือข่าย
หรืออุปกรณ์คอมพิวเตอร ์ทีอยู
่
ความสามารถทีนอกเหนื
อ Hubs คือ การสลับช่องสัญญาณ
่ สภาพความคับคังของสั
่
่
ของข ้อมูลทีมี
ญญาณไปยังช่องทางอืน
่ มาณความคับคังน้
่ อยกว่า
ๆ ทีปริ
่ ้ายกัน เมือมี
่
HUB กับ SWITCH นั้นจะทาหน้าทีคล
่
่ งต ้องการส่งข ้อมูลผ่าน HUB จะทาการ
คอมพิวเตอร ์เครืองหนึ
่
กระจายข ้อมูลนั้นแบบ broadcast คือการกระจายไปทุกเครือง
่ ้อมูลนั้นจะมีการระบุชอเครื
่ ท
่ าการร ับไว ้
ซึงข
ื่
องที
่
แต่ถ ้าเป็ น switch จะทาการดูวา่ ข ้อมูลก่อนว่าเครืองปลายทาง
่ ้นๆ
อยู่ทช่
ี่ องทางไหนจากนั้นจะทาการส่งไปยังเครืองนั
่
speed HUB speed / N เครือง
่ ทุกเครืองได
่
เช่น LAN 100 Mbps 10 เครือง
้แค่ 10 Mpbs
่
speed switch นั้น Lan 100 mpbs ทุกเครืองได
้ 100
mbps
Bus
Ring
Star
Star-Bus
BUS
STAR
RING
30
่ ้าสูบ
สัญญาณข ้อมูลจากโหนดผู ้ส่งเมือเข
่ สั ข ้อมูลจะไหลผ่าน
่ อมต่
่
ไปยังปลายทัง้ 2 ด ้านของบัส แต่ละโหนดทีเชื
อเข ้ากับบัส
่
จะคอยตรวจดูวา่ ตาแหน่ งปลายทางทีมากั
บแพ็กเกจข ้อมูลนั้น
ตรงกับตาแหน่ งของตนหรือไม่ ถ ้าตรง ก็จะร ับข ้อมูลนั้นเข ้ามาสู่
โหนด ตน แต่ถ ้าไม่ใช่ ก็จะปล่อยให ้สัญญาณข ้อมูลนั้นผ่านไป
จะเห็นว่าทุก ๆ โหนดภายในเครือข่ายแบบ BUS นั้นสามารถ
ร ับรู ้สัญญาณข ้อมูลได ้ แต่จะมีเพียงโหนดปลายทางเพียงโหนด
่ ับข ้อมูลนั้นไปได ้
เดียวเท่านั้นทีจะร
่ กเชือมต่
่
่ งระหว่าง
ทุกเครืองถู
อกันเป็ นวงกลม ข ้อมูลข่าวสารทีส่
กัน จะไหลวนอยู่ในเครือข่ายไปใน ทิศทางเดียวกัน โดยไม่มจี ด
ุ
ปลายหรือเทอร ์มิเนเตอร ์เช่นเดียวกับเครือข่ายแบบ BUS ใน
่ งมาถึง ว่าเป็ นข ้อมูล
แต่ละโหนดหรือแต่ละตรวจสอบข ้อมูลทีส่
่
ของตนหรือไม่ แต่ถ ้าไม่ใช่ก็จะปล่อยข ้อมูลนั้นไปยังเครือง
ถัดไป
่
่
่
เป็ นการเชือมเครื
องคอมพิ
วเตอร ์ทุกเครืองเข
้าด ้วยกันใน
่
่ ยกว่า
เครือข่าย จะต ้องเชือมต่
อกับอุปกรณ์ตวั กลางตัวหนึ่ งทีเรี
่ ๆ หนึ่ ง ซึงท
่ าหน้าทีเป็
่ น
ฮับ (HUB) หรือ Switch หรือเครือง
่
่
่ าง ๆ
ศูนย ์กลางของการเชือมต่
อสายสัญญาญทีมาจากเครื
องต่
่
้
่
ในเครือข่าย และควบคุมเส ้นทางการสือสาร
ทังหมด
เมือมี
่ ต
่ ้องการส่งข ้อมูลไปยังเครืองอื
่ น
่ ๆ ทีต
่ ้องการใน
เครืองที
่ ้นก็จะต ้องส่งข ้อมูลมายัง HUB /Switch
เครือข่าย เครืองนั
่ นย ์กลางก่อน แล ้ว HUB/Switch ก็จะทาหน้าที่
หรือเครืองศู
กระจายข ้อมูลนั้นไปในเครือข่ายต่อไป
่ ดจากการผสมผสานกันของโทโปโลยีแบบ
เป็ นรูปแบบใหม่ ทีเกิ
่ นการลดข ้อเสียของ
STAR , BUS , RING เข ้าด ้วยกัน เพือเป็
่ าวมา และเพิมข
่ ้อดี ขึนมา
้
รูปแบบทีกล่
มักจะนามาใช ้กับระบบ
่
่
WAN (Wide Area Network) มาก ซึงการเชื
อมต่
อกันของ
่
่
แต่ละรูปแบบนั้น ต ้องใช ้ตัวเชือมสั
ญญาณเข ้ามาเป็ นตัวเชือม
่
ตัวนั้นก็คอื Router เป็ นตัวเชือมการติ
ดต่อกัน
Internet Protocol Address เป็ นหมายเลขอ ้างอิง
่ อมต่
่
่ ซากั
้ น และไม่ผูก
อุปกรณ์ตา่ งๆ ทีเชื
อในโครงข่าย ทีไม่
ติดกับ Hardware
้
IP Address แบ่งเป็ น 4 ส่วน แต่ละส่วน มีคา่ ตังแต่
0255
เช่น 192.168.100.1 หรือ 172.16.10.1
ตัวเลขรหัสไอพีแอดเดรสจึงเสมือนเป็ นรหัสประจาตัวของ
่ ใช
่ ้ ตังแต่
้ พซ
เครืองที
ี ี ของผูใ้ ช ้จนถึงเซิร ์ฟเวอร ์ให ้บริการอยู่
่
่
้ น
ทัวโลก
ทุกเครืองต
้องมีรหัสไอพีแอดเดรสและต ้องไม่ซากั
่
เลยทัวโลก
่
การกาหนดไอพีแอดเดรสจะให ้องค ์กรจดทะเบียนเพือขอไอพี
แอดเดรส และมีการแบ่งไอพีแอดเดรส ตามกลุม
่ ขององค ์กร
เรียกว่า คลาส โดยแบ่งเป็ น คลาส A คลาส B คลาส C
่
ถามว่าทาไมต ้องแบ่งเป็ น Classต่าง ๆ เพืออะไร
่ าหร ับการจัดการการจัดสรร IP ตามขนาดขององกร
◦ เพือส
ให ้มีความเป็ นระเบียบเรียบร ้อย ไม่สบ
ั สน
Metropolitan Area Network คือ เครือข่ายข ้อมูล ที่
้ ทางภู
่
่
ครอบคลุมพืนที
มศ
ิ าสตร ์ทีใหญ่
ขนกว่
ึ้
า LAN เช่น การ
่
เชือมต่
อระหว่างองค ์กรต่างๆ ภายในอาเภอหรือจังหวัด เป็ น
่ ่หา่ งกัน
ลักษณะการนาเครือข่าย LAN หลายๆ เครือข่ายทีอยู
่ างๆ เช่น ไมโครเวฟ
มาต่อถึงกันผ่านทางสือต่
่ ทยุ, ผ่านดาวเทียม, คูส
(Microwave),คลืนวิ
่ ายสัญญาณเช่า
(Leased line),
ระบบเครือข่ายแบบ WAN หรือระบบเครือข่ายบริเวณกว ้าง จะ
่ อมโยงเครื
่
่ งแต่
้
เป็ นระบบเครือข่ายทีเชื
อข่ายแบบท ้องถินตั
2
้
่
เครือข่ายขึนไปเข
้าด ้วยกันผ่านระยะทางทีไกลมาก
โดยการ
่
่
เชือมโยงจะผ่
านช่องทางการสือสารข
้อมูลสาธารณะของบริษท
ั
โทรศัพท ์หรือองค ์การโทรศัพท ์ของประเทศต่างๆ เช่น
สายโทรศัพท ์แบบอนาลอก สายแบบดิจต
ิ อล ดาวเทียม
ไมโครเวฟ เป็ นต ้น
เครือข่าย WAN สามารถแบ่งเป็ นประเภทใหญ่ๆ คือ
้
1 . เครือข่ายส่วนตัว (private network) เป็ นการจัดตังระบบ
่ การใช ้งานเฉพาะองค ์กร เช่น องค ์กรทีมี
่ สาขา
เครือข่ายซึงมี
่ อมต่
่
อาจทาการสร ้างระบบเครือข่าย เพือเชื
อระหว่างสานักงาน
่ อยู่ เป็ นต ้น
ใหญ่กบั สาขาทีมี
2. เครือข่ายสาธารณะ (PDN: public data network) หรือ
้ั ยกว่าเครือข่ายมูลค่าเพิม
่ (VAN: Value Added
บางครงเรี
่ องค ์กรหนึ่ ง (third
Network) เป็ นเครือข่าย WAN ทีจะมี
่
party) เป็ นผูท้ าหน้าทีในการเดิ
นระบบเครือข่าย และให ้เช่า
่
่ ้องการสร ้างระบบ
ช่องทางการสือสารให
้กับ บริษท
ั ต่างๆ ทีต
่ ษท
เครือข่าย ซึงบริ
ั จะลดค่าใช ้จ่ายของตนลงได ้